“หลังจากลูกกู่ตาย แม่กูจะตายด้วยหรือไม่?”แม่นมส่ายหน้า “ไม่ทราบเจ้าค่ะ”“แล้วอาการของผู้ที่โดนพิษกู่ชนิดนี้เป็นอย่างไร?”แม่นมส่ายหน้าอีกครั้ง “ข้าน้อยไม่ทราบถึงขั้นนั้นหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองไปถามจากท่านหยวนพ่านดูก็ได้ ข้าได้ยินมาว่าเขารู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับศาสตร์นี้มากทีเดียว”“เช่นนั้นข้าจะเข้าวัง” จื่ออันรอช้าไม่ได้แล้ว เดินนำตาวเหล่าต้าเข้าไปในวังทันทีหลังจากที่จื่ออันเข้าไปในเขตวังหลวงแล้ว นางก็ตรงไปหาหยวนพ่าน เพื่อสอบถามเกี่ยวกับกู่ร่วมชะตาหยวนพ่านรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินคำว่ากู่ร่วมชะตา “พระชายา ท่านถามเช่นนี้ หมายความว่าท่านพบกับคนที่ถูกกู่ร่วมชะตาทำร้ายงั้นหรือ?”“ข้าก็ไม่แน่ใจ ข้าไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์คาถา ดังนั้นจึงมาถามจากท่านเพื่อความแน่นอน” จื่ออันยังรู้สึกประหม่าไม่หาย เนื่องจากไม่นานมานี้ นางสังเกตเห็นว่าชีพจรและหัวใจของมู่หรงเจี๋ยเต้นผิดปกติเล็กน้อยหยวนพ่านเดินนำจื่ออันเข้าไปในห้องตำรา ซึ่งมีขนาดใหญ่โต มีตำรานับไม่ถ้วนวางเรียงเป็นแถวยาวไม่รู้จบทั้งหมดล้วนเป็นตำราทางการแพทย์จื่ออันตกตะลึง นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าตำราแพทย์แผนโบราณจำนวนนับไม่ถ้วนจะถูกเก็บรวบรว
หัวใจของจื่ออันบีบรัดแน่นยิ่งขึ้น “ผู้ที่ถูกพิษกู่ร่วมชะตามีข้อสังเกตอาการหรือไม่? หากเป็นไปตามที่ท่านกล่าว”“ยากที่จะล่วงรู้ว่าอาการเป็นอย่างไร เนื่องจากกู่ชะตานั้นแฝงตัวอยู่ภายใน ดังนั้นต้องทำการกระตุ้นเส้นลมปราณบริเวณเยื่อหุ้มหัวใจเท่านั้น ถึงจะสามารถสังเกตเห็นอาการได้ ผู้ที่ถูกพิษกู่ร่วมชะตามีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นพิเศษต่อการฝังเข็มบนตำแหน่งที่สอดคล้องกัน ครั้นแทงถูกจุดแล้วจะรู้สึกปวดแปลบที่หัวใจ เพราะเป็นจุดแฝงตัวของหนอนกู่”หยวนพ่านมองหน้านาง “พระชายา ผู้ป่วยที่ท่านพบคนนี้เป็นใครกัน?”จื่ออันส่ายหน้า “ไม่ ไม่ใช่ผู้ป่วยหรอก ข้าเพียงนึกสนใจพิษนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน”หยางพ่าานกล่าว “พิษกู่เป็นอันตรายต่อผู้คนมาก จึงถูกเก็บรักษาองค์ความรู้ไว้เป็นความลับในพระราชวัง พระชายาไม่พยายามศึกษามันจะเป็นการดีที่สุด หวงไท่โฮ่วไม่ทรงโปรด”“เข้าใจแล้ว” จื่ออันตอบกลับสุดท้ายแล้วนางก็ไม่พบข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากภายในพระราชวัง ยามที่นางออกมาจากวังก็มืดค่ำแล้วเมื่อกลับมาถึงพระตำหนัก มู่หรงเจี๋ยรอนางกลับมาทานอาหารร่วมกัน วันนี้แม่นมเข้าครัวด้วยตนเอง แน่นอนว่าฝีมือการปรุงอาหารของนางย่อมดีกว่าจื่
หัวใจของจื่ออันทรุดลง กระนั้นนางก็ปลอบโยนเขา “อาการเจ็บปวดถือเป็นเรื่องปกติ ช่วงนี้ท่านน่าจะยุ่งเกินไป และพักผ่อนไม่เพียงพอ”“จริงหรือ?” มู่หรงเจี๋ยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขายังรู้สึกว่าตนเองสุขภาพแข็งแรงดีจื่ออันกล่าวต่อ “จริงสิ ข้าจะลองฝังเข็มอีกครั้ง คราวนี้ท่านต้องบอกข้าว่าตนเองรู้สึกอย่างไร”“เจ้าคิดจะฝังเข็มข้าอีกแล้วหรือ?” มู่หรงเจี๋ยเริ่มไม่พอใจ“อีกครั้งเดียวเอง อดทนหน่อยนะ” จื่ออันเอ่ยเสียงเบา ขอบตาของนางเริ่มแดงเล็กน้อยแล้วเมื่อฝังเข็มอีกครั้ง มู่หรงเจี๋ยบอกความรู้สึกหลังจากถูกฝังเข็มแต่ละจุดตามคำแนะนำของจื่ออันเมื่อเข็มเจาะเข้าไปยังจุดที่ตรงกับตำแหน่งเยื่อหุ้มหัวใจ เขาจะรู้สึกไม่สบาย หรือเจ็บปวดไม่มากก็น้อย รู้สึกแสบร้อนและคันยุบยิบขึ้นมาเป็นครั้งคราว ส่วนจุดฝังเข็มอื่น ๆ มีอาการเจ็บเพียงเล็กน้อยซึ่งเป็นเรื่องปกติหลังจากดึงเข็มออก จื่ออันตรวจสอบชีพจรและอัตราการเต้นของหัวใจความถี่การเต้นของหัวใจนั้นไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่หลังจากฟังอยู่นานจึงจับสังเกตได้ว่าหัวใจเหมือนจะหยุดเต้นไปประมาณสองถึงสามวินาที แล้วฟื้นคืนดังเดิมอย่างรวดเร็ว“ช่วงนี้ท่านรู้สึกอึดอัดบริเวณหน้า
จื่ออันโผเข้าสู่อ้อมแขนของเขา ฝังศีรษะไว้ที่หน้าอก ฟังเพื่อเสียงหัวใจของเขา ก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว “ข้ามีเรื่องบางอย่างจริง”“บอกข้า บอกข้าสิว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นกับเจ้า? เราจะได้เผชิญปัญหาร่วมกัน” มู่หรงเจี๋ยกอดนางแน่นกว่าเก่า ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับนางทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจมากจื่ออันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวออกด้วยความหดหู่ใจ “ข้าพบว่านับวันข้ายิ่งไม่สามารถทอดทิ้งท่านมากขึ้นเรื่อย ๆ มู่หรง ข้าคิดว่าตนเองตกหลุมรักท่านเข้าแล้วจริง ๆ”มู่หรงเจี๋ยผงะ นี่เป็นถ้อยคำที่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยปริปากกล่าวออกมาตามตรงมาก่อน ถึงแม้ว่าทั้งสองจะรับรู้ความรู้สึกลึกซึ้งของกันและกัน ทว่าพวกเขากลับไม่เคยเอ่ยมันออกมาอย่างง่ายดาย กระทั่งเขาคิดไปเองว่าทั้งชีวิตนี้นางอาจจะไม่กล่าวถึงเลยด้วยซ้ำไป“เกิดอะไรขึ้น?” มู่หรงเจี๋ยเข้าใจอารมณ์ของนางเป็นอย่างดี นางหาใช่ผู้ที่แสดงอารมณ์อ่อนไหวออกมาโดยไร้สาเหตุ หมายความว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นจื่ออันเงยหน้า “ข้าสารภาพความในใจกับท่านอย่างตรงไปตรงมา นี่คือปฏิกิริยาตอบรับของท่านหรอกหรือ?”มู่หรงเจี๋ยรีบส่ายหน้ารัว “ไม่ ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีบางอย่างซ่อนอยู่
จื่ออันพยักหน้า “พระนางไม่ได้เอ่ยโดยตรง อันที่จริงข้าเพิ่งพบว่าชีพจรและอัตราการเต้นของหัวใจท่านผิดปกติเมื่อไม่นานมานี้เอง ทว่าเวลานั้นข้ายังมิได้คิดไปถึงเรื่องอื่น กระทั่งในวันนี้ นางกล่าวถึงกู่ร่วมชะตากับข้า ข้าจึงเข้าไปวังทันทีเพื่อขอคำชี้แนะเพิ่มเติมจากหยวนพ่านให้กระจ่าง หลังจากได้รับข้อมูลเบื้องต้นของกู่ร่วมชะตาแล้ว หลังจากนั้นข้าถึงได้กลับมาหาข้ออ้างฝังเข็ม ณ จุดที่ตรงกับเยื่อหุ้มหัวใจของท่าน จึงพบว่าท่านมีอาการเข้าข่ายนั้นจริง ๆ”มู่หรงเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “หากข้าไม่สังหารเขา ข้าก็จะยังปลอดภัยอย่างนั้นหรือ?”“หากจะกล่าวเช่นนั้นก็ได้เจ้า” จื่ออันไม่รู้เรื่องคาถาอาคมมากนัก เพียงกล่าวไปตามคำอธิบายของหยวนพ่าน“ต่อให้ข้าไม่สังหารเขาโดยตรง ก็มีอีกนับร้อยพันวิธีที่จะจัดการกับเขา เช่นนั้นเจ้ายังต้องกังวลเรื่องใดอีก?” มู่หรงเจี๋ยกล่าว“ท่านไม่ฆ่าเขา ท่านปล่อยเขาไปแล้วอย่างไร? หากปล่อยเขาไปจริง เขาต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะยึดราชสำนัก นั่นหมายความว่าต้าโจวจะตกอยู่ในความวุ่นวายเป็นเวลาอย่างน้อยสองถึงสามทศวรรษ หรือใช้วิธีกักขังเขาแทน? ตราบใดที่เขารู้ตัวว่าตนเองชวดตำแหน
จื่ออันกล่าวว่า “ข้ารู้ ทว่าหากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา สถานการณ์ของเราก็จะได้รับการแก้ไข และท่านสามารถปลดระวางภาระได้ในเวลานั้น”หากองค์จักรพรรดิยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ทั้งองค์รัชทายาทและอ๋องหนานหวายก็ไม่ถือเป็นภัยคุกคามอีกต่อไป แม้ว่าอ๋องหนานหวายจะตัดสินใจยอมแพ้ แต่นั่นคือจักรพรรดิมังกรตัวจริง ผู้ครองบัลลังก์มานานหลายปี ข้าราชบริพารทั้งหลายย่อมสนับสนุน แตกต่างจากมู่หรงเจี๋ยต่อให้เขาไม่ยอมแพ้แล้วอย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากองค์จักรพรรดิทรงหายจากพระอาการประชวรและกลับมาครองอำนาจอีกครั้ง อ๋องหนานหวายไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องกลับไปยังแคว้นทิศใต้ อย่างน้อยในช่วงสามถึงห้าปีหลังจากนี้คงไม่ก่อความวุ่นวายใด ๆ ภายในสามถึงห้าปีเดียวกันนี้ นางต้องหาทางแก้พิษได้แน่มู่หรงเจี๋ยยังคงไม่เห็นด้วย เขาไม่หวั่นเกรงเสียงติฉินนินทาของใคร หรือหวาดกลัวคำครหาของผู้ใดทั้งนั้น แต่เขาไม่สามารถปล่อยให้จื่ออันตกอยู่ในวังวนเช่นนั้นได้“มู่หรง ให้ข้าเข้าไปในวังเถิด อย่างน้อยขอเพียงข้าได้สังเกตอาการของพระองค์ หากข้าแน่ใจแล้ว ข้าจะรีบร้องขอคำสั่งเรียกเข้าวังเพื่อทำการรักษาทันที หากจนแล้วจนรอดยังไร้หนทาง ข้าสัญญา
ทว่าหากเขาขัดคำสั่งของผู้สำเร็จราชการแทนฯ เขาอาจเสียชีวิตก่อนที่องค์จักรพรรดิจะสิ้นพระชนม์สถานการณ์เวลานี้ชัดเจนมากว่าผู้ใดมีอำนาจและผู้ใดไร้อำนาจนายทหารรักษาพระองค์ยอมถอยกลับอย่างเงียบ ๆ “ท่านอ๋อง เชิญพ่ะย่ะค่ะ!”มู่หรงเจี๋ยพาจื่ออันเข้ามา แล้วเดินเข้าไปในห้องโถงโดยไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางเมื่อพวกเขาเข้าไปถึงห้องบรรทม เปากงกงและลู่กงกงจึงก้าวไปข้างหน้า มองไปที่มู่หรงเจี๋ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านอ๋อง ท่านพาคนเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”มู่หรงเจี๋ยกล่าว “ไม่เป็นไร เขาเป็นคนที่ข้าไว้วางใจได้ ฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้าง”ลู่กงกงถอนหายใจด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “พระอาการไม่ค่อยดี ย่ำแย่กว่าเดิมมาก”มู่หรงเจี๋ยตอบรับในลำคอ จากนั้นหันไปหาจื่ออันพลางออกคำสั่ง “มอบของให้ลู่กงกง”จื่ออันตอบรับและส่งมอบให้อีกฝ่ายมู่หรงเจี๋ยกล่าวต่อไป “นี่คือโสมพันปี ท่านจงนำไปตุ๋นซุปให้ฝ่าบาททรงดื่ม”ลู่กงกงยื่นมือไปรับมันไว้ ทว่าทันทีที่เขาเห็นมือของจื่ออันก็เกิดความตกใจเล็กน้อย หลังจากนั้นเมื่อเขาต้องการมองใบหน้าของจื่ออันให้ชัดเจน จื่ออันก็ก้มศีรษะลงแล้วลู่กงกงผู้รู้กาลเทศะเป็นอย่างดี จึงหันไปกล่าวกับเปากงกงว
หลังออกจากวัง ขณะอยู่ภายในรถม้า มู่หรงเจี๋ยเห็นว่าจื่ออันคล้ายกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ลึก ๆ จึงเอ่ยถาม “เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ?”จื่ออันเงยหน้าขึ้นมองเขา พบว่าแววตาอีกฝ่ายเต็มไปด้วยร่องรอยของความปรารถนาที่จะได้ยินข่าวดีจากปากนางจื่ออันกล่าว “ผื่นจุดแดงบนพระพักตร์ของพระองค์มิใช่โรคเดียวกันกับรอยแผลใบหน้ามนุษย์บนต้นแขน พระองค์ทรงมีผื่นจุดแดงลามไปทั่วพระวรกายด้วยใช่หรือไม่? โรคนี้เรียกว่าผื่นผีเสื้อ เป็นโรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เกิดขึ้นจากการแพ้ภูมิตนเอง ช่างเถิด อย่ากล่าวถึงศัพท์ทางการแพทย์เกี่ยวกับมันเลย โรคนี้ร้ายแรงมาก ข้าเข้าใจที่ท่านกล่าวแล้วว่ามันไม่มีทางรักษาได้ อันที่จริงข้าเองก็ไม่สามารถรักษาได้เช่นกัน ทว่าพอจะควบคุมอาการได้”“เจ้าควบคุมมันได้อย่างนั้นหรือ?” มู่หรงเจี๋ยรู้สึกเหลือเชื่อ “เจ้าเคยเห็นโรคนี้ด้วยหรือ? โรคนี้เป็นโรคหายาก อย่างน้อยก็มีบันทึกเกี่ยวกับมันไม่มากนัก”“สาเหตุที่ไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับมันมากนัก อาจเป็นเพราะทุกคนต่างนิยามโรคนี้ว่าเป็นโรคต้องสาป ผู้ป่วยเหล่านั้นจึงละอายใจที่จะเข้ารับการรักษา นอกจากนี้ ในทางการแพทย์ยังสรุปว่ามันเป็นโรคร้ายเรื้อรังระยะสุ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว