จื่ออันกล่าวว่า “ข้ารู้ ทว่าหากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา สถานการณ์ของเราก็จะได้รับการแก้ไข และท่านสามารถปลดระวางภาระได้ในเวลานั้น”หากองค์จักรพรรดิยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ทั้งองค์รัชทายาทและอ๋องหนานหวายก็ไม่ถือเป็นภัยคุกคามอีกต่อไป แม้ว่าอ๋องหนานหวายจะตัดสินใจยอมแพ้ แต่นั่นคือจักรพรรดิมังกรตัวจริง ผู้ครองบัลลังก์มานานหลายปี ข้าราชบริพารทั้งหลายย่อมสนับสนุน แตกต่างจากมู่หรงเจี๋ยต่อให้เขาไม่ยอมแพ้แล้วอย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากองค์จักรพรรดิทรงหายจากพระอาการประชวรและกลับมาครองอำนาจอีกครั้ง อ๋องหนานหวายไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องกลับไปยังแคว้นทิศใต้ อย่างน้อยในช่วงสามถึงห้าปีหลังจากนี้คงไม่ก่อความวุ่นวายใด ๆ ภายในสามถึงห้าปีเดียวกันนี้ นางต้องหาทางแก้พิษได้แน่มู่หรงเจี๋ยยังคงไม่เห็นด้วย เขาไม่หวั่นเกรงเสียงติฉินนินทาของใคร หรือหวาดกลัวคำครหาของผู้ใดทั้งนั้น แต่เขาไม่สามารถปล่อยให้จื่ออันตกอยู่ในวังวนเช่นนั้นได้“มู่หรง ให้ข้าเข้าไปในวังเถิด อย่างน้อยขอเพียงข้าได้สังเกตอาการของพระองค์ หากข้าแน่ใจแล้ว ข้าจะรีบร้องขอคำสั่งเรียกเข้าวังเพื่อทำการรักษาทันที หากจนแล้วจนรอดยังไร้หนทาง ข้าสัญญา
ทว่าหากเขาขัดคำสั่งของผู้สำเร็จราชการแทนฯ เขาอาจเสียชีวิตก่อนที่องค์จักรพรรดิจะสิ้นพระชนม์สถานการณ์เวลานี้ชัดเจนมากว่าผู้ใดมีอำนาจและผู้ใดไร้อำนาจนายทหารรักษาพระองค์ยอมถอยกลับอย่างเงียบ ๆ “ท่านอ๋อง เชิญพ่ะย่ะค่ะ!”มู่หรงเจี๋ยพาจื่ออันเข้ามา แล้วเดินเข้าไปในห้องโถงโดยไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางเมื่อพวกเขาเข้าไปถึงห้องบรรทม เปากงกงและลู่กงกงจึงก้าวไปข้างหน้า มองไปที่มู่หรงเจี๋ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านอ๋อง ท่านพาคนเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”มู่หรงเจี๋ยกล่าว “ไม่เป็นไร เขาเป็นคนที่ข้าไว้วางใจได้ ฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้าง”ลู่กงกงถอนหายใจด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “พระอาการไม่ค่อยดี ย่ำแย่กว่าเดิมมาก”มู่หรงเจี๋ยตอบรับในลำคอ จากนั้นหันไปหาจื่ออันพลางออกคำสั่ง “มอบของให้ลู่กงกง”จื่ออันตอบรับและส่งมอบให้อีกฝ่ายมู่หรงเจี๋ยกล่าวต่อไป “นี่คือโสมพันปี ท่านจงนำไปตุ๋นซุปให้ฝ่าบาททรงดื่ม”ลู่กงกงยื่นมือไปรับมันไว้ ทว่าทันทีที่เขาเห็นมือของจื่ออันก็เกิดความตกใจเล็กน้อย หลังจากนั้นเมื่อเขาต้องการมองใบหน้าของจื่ออันให้ชัดเจน จื่ออันก็ก้มศีรษะลงแล้วลู่กงกงผู้รู้กาลเทศะเป็นอย่างดี จึงหันไปกล่าวกับเปากงกงว
หลังออกจากวัง ขณะอยู่ภายในรถม้า มู่หรงเจี๋ยเห็นว่าจื่ออันคล้ายกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ลึก ๆ จึงเอ่ยถาม “เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ?”จื่ออันเงยหน้าขึ้นมองเขา พบว่าแววตาอีกฝ่ายเต็มไปด้วยร่องรอยของความปรารถนาที่จะได้ยินข่าวดีจากปากนางจื่ออันกล่าว “ผื่นจุดแดงบนพระพักตร์ของพระองค์มิใช่โรคเดียวกันกับรอยแผลใบหน้ามนุษย์บนต้นแขน พระองค์ทรงมีผื่นจุดแดงลามไปทั่วพระวรกายด้วยใช่หรือไม่? โรคนี้เรียกว่าผื่นผีเสื้อ เป็นโรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เกิดขึ้นจากการแพ้ภูมิตนเอง ช่างเถิด อย่ากล่าวถึงศัพท์ทางการแพทย์เกี่ยวกับมันเลย โรคนี้ร้ายแรงมาก ข้าเข้าใจที่ท่านกล่าวแล้วว่ามันไม่มีทางรักษาได้ อันที่จริงข้าเองก็ไม่สามารถรักษาได้เช่นกัน ทว่าพอจะควบคุมอาการได้”“เจ้าควบคุมมันได้อย่างนั้นหรือ?” มู่หรงเจี๋ยรู้สึกเหลือเชื่อ “เจ้าเคยเห็นโรคนี้ด้วยหรือ? โรคนี้เป็นโรคหายาก อย่างน้อยก็มีบันทึกเกี่ยวกับมันไม่มากนัก”“สาเหตุที่ไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับมันมากนัก อาจเป็นเพราะทุกคนต่างนิยามโรคนี้ว่าเป็นโรคต้องสาป ผู้ป่วยเหล่านั้นจึงละอายใจที่จะเข้ารับการรักษา นอกจากนี้ ในทางการแพทย์ยังสรุปว่ามันเป็นโรคร้ายเรื้อรังระยะสุ
หวงไท่โฮ่วส่ายศีรษะ “เจ้าไร้เดียงสาเกินไป”มู่หรงเจี๋ยผ่อนลมหายใจออกและยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไร้เดียงสาหรือ? เสด็จแม่ เขายังเป็นพี่ชายของข้าด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”แววพระเนตรหวงไท่โฮ่วเศร้าสร้อย ตรัสเสียงเบาว่า “จริงด้วย บางครั้งข้าก็หลงลืมคำนึงถึงความรู้สึกของเจ้า อาเจี๋ย เจ้าคงมีช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่น้อย”มู่หรงเจี๋ยส่ายหน้า “ในเมื่อท่านไม่เห็นด้วย เช่นนั้นก็ช่างเถิด จริงสิ พระสนมอี้และพระสนมเหมยดูแลกิจการในวังเป็นอย่างไรบ้าง? การบริหารจัดการบัญชีภายในวังไม่ควรฟุ่มเฟือยเกินไป”“ไม่เลวเลย พวกนางทั้งสองทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องตำรานั้นต้องหาคนมาจัดการดูแลอย่างจริงจัง ฮองเฮา... เมื่อครั้งสนมเหลียงเป็นผู้รับผิดชอบ พระราชวังสูญเงินไปเป็นจำนวนมาก ยากที่จะรับประกันว่าอวี้สื่อจะไม่นำเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป”“หากเป็นเช่นนี้ ข้าจะให้นางเตรียมตัวเข้าวังภายในสองวัน” มู่หรงเจี๋ยกล่าวหวงไท่โฮ่วถอนหายใจเบา ๆ “ข้าแก่ชราลงไปมากแล้วจริง ๆ บางสิ่งบางอย่างก็ไม่สามารถควบคุมได้ เจ้าเคยบอกว่าข้าไม่ควรติดตามเรื่องของสนมอี้และองค์รัชทายาท ทว่าสำหรับข้าแล้ว มันกลับเป็นหนามยอกอก บอกข้ามาตามตรง พวกเขา
ช่วงนี้นางเป็นฝ่ายกระตือรือร้นเข้าหาเขาก่อนเป็นพิเศษ “ซุปนั่นมีประโยชน์จริง มันใหญ่กว่าก่อนหน้านี้มาก” มู่หรงเจี๋ยลอบสังเกตอย่างระมัดระวังจื่ออันตีมือเขา “ไม่ได้เป็นเพราะซุปเสียหน่อย”นางล้มตัวลงนอน รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย“แล้วเป็นเพราะอะไรกัน?”“เมื่อสตรีเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กหญิงเข้าสู่วัยสาวสะพรั่ง รูปร่างโดยรวมก็จะเปลี่ยนไปด้วย เริ่มแรกตอนที่ข้าอยู่กับท่าน กล่าวตามตรง ข้ายังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ร่างกายของข้าจะยังเติบโตได้มากขึ้น” ขณะที่จื่ออันกล่าวเช่นนี้ นางอดรู้สึกกระดากอายไม่ได้สำหรับเด็กสาวอายุประมาณสิบหกถึงสิบเจ็ดปี นับว่าเข้าสู่วัยผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์“จริงหรือ แล้วเจ้าจะสิ้นสุดการเติบโตเมื่อไร?” มู่หรงเจี๋ยขยับเข้าไปใกล้พลางเอ่ยถามจื่ออันหัวเราะคิกคักเห็นฟันขาวสะอาด แววตาสุกสว่างสดใส “ยี่สิบกระมัง”มู่หรงเจี๋ยพลิกตัวแล้วกดร่างนางเอนลง “เมื่อวานนี้เจ้าบอกว่าเจ้ารักข้า”“ใช่แล้ว” จื่ออันมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาพร่ามัว“แล้วเจ้าไม่ชอบข้าแล้วหรือ?” มู่หรงเจี๋ยถามยียวน“เช่นนั้นข้าจะเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ ข้าชอบท่าน” จื่ออันเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำมู
เดิมทีหานชิงชิวถูกฝังอยู่ในหลุมฝังศพที่เดียวกับบรรพบุรุษตระกูลเซียว ทว่าหลังจากจดหมายหย่าถูกประกาศออกมา ตระกูลเซียวก็ไม่สามารถปล่อยให้ร่างไร้วิญญาณของนางนอนอยู่ในหลุมฝังศพของบรรพบุรุษได้อีกต่อไป ทำการย้ายร่างนางไปฝังที่อื่นอย่างไร้เกียรติ แม้กระทั่งป้ายศิลาหน้าหลุมฝังศพยังถูกพรากไปการขุดหลุมฝังศพนั้นเป็นสิ่งผิดศีลธรรม ตาวเหล่าต้าเชื่อเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงยืนกรานไม่ให้จื่ออันทำท่าเดียว ก่อนจะขุดหลุมฝังศพตรงหน้าตามลำพังด้วยหยาดเหงื่อจื่ออันได้เตรียมหน้ากากที่แช่ในน้ำขิงไว้แล้ว หลังจากที่โลงศพถูกขุดขึ้นมา ตาวเหล่าต้าก็เปิดโลงศพออก ทันใดนั้นกลิ่นเหม็นเน่าพลันโชยตลบออกมา ถึงแม้พวกเขาจะสวมหน้ากากกันทั้งคู่ แต่กลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียนนั้นก็ยังทำให้ทั้งสองเกิดอาการคลื่นไส้สภาพศพบวมอืด โดยเฉพาะใบหน้าที่ขยายเสียจนมองไม่เห็นเค้าโครงเดิม ร่างภายในโลงปกคลุมไปด้วยหนอน แต่ละตัวหนาเท่าหางตะเกียบ ลำตัวยาวครึ่งนิ้ว“น่ากลัวเกินไปแล้ว” ตาวเหล่าต้าเอามือปิดจมูกพลางเอ่ยจื่ออันหยิบหม้อดินใบเล็กที่นำติดมาด้วยออกมา ใช้แหนบคีบแมลงใส่ลงไปแล้วจัดการปิดผนึกอย่างดีจากนั้นนางก็หยิบมีดออกมา กรีดตัดเสื้อผ้
จื่ออันออกไปต้อนรับ และพบกับซุนฟางเอ๋อร์ที่สนามหญ้าเป็นกรณีพิเศษ ลมหนาวพัดโชยกระทบใบไม้สีเหลืองที่เหี่ยวเฉา บรรยากาศช่างเย็นยะเยือกไม่นานซุนฟางเอ๋อร์ก็มาถึง นางสวมชุดกระโปรงซึ่งตัดเย็บจากผ้าสีขาวล้วนขลิบทอง ทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์ ส่งเสริมให้นางดูสง่างามและล่องลอย การเคลื่อนไหวขณะเดินของนางเป็นไปอย่างสงบใบหน้านวลผัดแป้งบางเบาจึงดูงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ ผิวขาวผ่องเป็นยองใยราวหิมะ ใสดุจแก้วที่สามารถเป่าให้แตกได้ เรียบเนียนเสียจนมองไม่เห็นกระทั่งรูขุมขน แววตาสุกใส จมูกได้รูป ริมฝีปากแดงระเรื่อ แม้นปราศจากชาดค่อย ๆ โค้งเป็นรอยยิ้ม เผยให้เห็นฟันที่เรียงตัวสวย ขาวสะอาดเกลี้ยงเกลานางสูงโปร่ง ดูเหมือนจะสูงกว่าจื่ออันด้วยซ้ำไป รูปร่างภายใต้เสื้อคลุมนั้นหรือก็เพรียวบางอย่างพอดี ขณะเยื้องกรายก็ลากเอาชายกระโปรงกวาดไปพร้อมกัน พลิ้วไหวประหนึ่งมังกรแหวกว่าย งามสง่าราวปักษาร่อนลมสตรีที่สวยงามระดับนี้ คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะเรียกขานนางว่าเทพธิดาจื่ออันเคยคิดว่าหยวนซื่อผู้เป็นแม่งดงามมากแล้ว แต่นางไม่คาดคิดว่าฟางเอ๋อร์จะงามยิ่งกว่าแม่ของนางด้วยซ้ำผู้หญิงคนนี้รักมู่หรงเจี๋
“ข้าได้ตรวจสอบตำราโบราณและข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับกู่ร่วมชะตาแล้ว ไม่มียาตัวใดใช้รักษาพิษของกู่ร่วมชะตาได้ ตำราโบราณเหล่านั้นไม่ควรผิดพลาด” จื่ออันกล่าว“เนื้อหาในตำราโบราณอาจไม่ผิดพลาดก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่ากู่ร่วมชะตาจะสิ้นไร้หนทางแก้ไขเสียเลย” คำกล่าวของซุนฟางเอ๋อร์ค่อนข้างขัดแย้งกันในตัว“งั้นหรือ เช่นนั้นช่วยบอกวิธีแก้ไขพิษกู่ให้ข้ารู้หน่อยสิ” จื่ออันกล่าวซุนฟางเอ๋อร์อดหัวเราะไม่ได้ ส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวยอกย้อน “พระชายา ข้าเพิ่งชื่นชมว่าท่านฉลาดหลักแหลมไปหยก ๆ แต่เหตุใดท่านจึงคิดเองไม่ได้กันหนอ? ข้าจะบอกวิธีการแก้ไขพิษของกู่ร่วมชะตากับท่านได้อย่างไร? เราสองต่างเป็นศัตรูกัน ท่านคงไม่ไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่าข้าจะยอมเอ่ยปากง่าย ๆ อย่างนั้นกระมัง?”จื่ออันเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ “เจ้าบอกเองว่าเจ้ารู้วิธีรักษาพิษกู่ แต่กลับไม่ยอมบอกข้ามาโดยดี แล้วจะไม่ให้ข้าอยากฆ่าเจ้าได้อย่างไร?”ซุนฟางเอ๋อร์ไม่เชื่อว่านางจะกล้า “เอาเถิด ชีวิตของข้าอยู่ในมือของท่านแล้ว พระชายาจะทำอย่างไรกับข้าก็สุดแล้วแต่”จื่ออันยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าท่าทีค่อย ๆ ผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีวี่แ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว