เซี่ยหลินเงยหน้าขึ้นมา เมื่อมองเห็นจื่ออัน เขาก็รีบพุ่งเข้ามากอดจื่ออันเอาไว้แน่น “พี่ใหญ่!” มู่หรงเจี๋ย อ๋องอัน และคนอื่น ๆ ต่างเดินออกมา เมื่อมองเห็นฉากนี้ ต่างก็พากันตื่นตกใจ เซี่ยหลินผู้นั้นไม่ใช่ว่าตายไปแล้วหรอกหรือ? ทำไมถึงได้ยังมีชีวิตอยู่อีก? ไม่ง่ายเลยที่สองพี่น้องจะกอดกันจนพอใจ มู่หรงเจี๋ยถึงได้เดินมาข้างหน้า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?” จื่ออันเช็ดน้ำตาออกไป แล้วมองไปยังเซี่ยหลิน “ใช่แล้ว ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น? เจ้าออกจากวังมาได้อย่างไร? ใครช่วยเจ้าเอาไว้?” เซี่ยหลินส่ายศีรษะออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่รู้ว่าใครช่วยข้าไว้” พั่งจื่อฟันหักส่งเสียงมืดมนออกมา “อาสุ่ย เป็นอากงที่ช่วยเจ้าเอาไว้ บอกกับเจ้าไปตั้งหลายครั้งก็ไม่ยอมจำเอาไว้” เซี่ยหลินดูเหมือนว่าจะจำได้ขึ้นมาในทันที จึงแลบลิ้นออกมาอย่างเขินอาย “ใช่แล้ว เป็นอากงที่ช่วยข้าเอาไว้ พวกเขาล้วนแต่บอกมาเช่นนี้” “อากง?” จื่ออันมองไปยังพั่งจื่อฟันหัก “เป็นท่านอ๋องอันหรานอย่างนั้นหรือ?” “ใช่แล้ว” พั่งจื่อฟันหักพยักหน้าเอ่ยออกมา มู่หรงเจี๋ยรู้สึกสับสนเล็กน้อย “เขาเรียกเจ้าว่าอาสุ่ย หรือว่าคนที่ท่านอ๋องบอกว่าสามารถถอนพ
จื่ออันปลอบพั่งจื่อฟันหักแล้ว เมื่อเห็นว่าเขาหยุดร้องไห้ จึงเอ่ยถามออกมา “เจ้าว่าเซียวเซียวตายแล้ว เกิดอะไรขึ้น?” พั่งจื่อฟันหักสะอึกสะอื้นเอ่ยออกมา “เป็นอากงบอกว่าเขาตายไปแล้ว แต่ถ้าหากไม่ตายไป ก็ช่วยให้มีชีวิตขึ้นมาไม่ได้” “เพราะอะไรกัน?” จื่ออันประหลาดใจอย่างมาก ทำไมถึงถ้าไม่ตายไปก็ช่วยให้มีชีวิตกลับมาไม่ได้? พั่งจื่อฟันหักส่ายศีรษะออกมา “ไม่รู้เช่นกัน เป็นอากงที่บอกออกมา” จื่ออันหันกลับไปมองมู่หรงเจี๋ย มู่หรงเจี๋ยเหลือบมองอ๋องอัน อ๋องอันก็หันไปมองอ๋องหลี่ที่เพิ่งจะปรากกขึ้นตรงประตู ทั้งสี่คนต่างก็อิบายไม่ได้ ทำไมพั่งจื่อถึงได้โง่งมเสียยิ่งกว่าเซี่ยหลินกัน? จื่ออันถอดใจที่จะถามเขาต่อ หันไปถามเซี่ยหลินแทน “หลินหลิน พี่ชายที่อากงนำกลับไปเมื่อวานนี้ ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” เซี่ยหลินเหลือบมองมู่หรงเจี๋ยด้ยความหวาดกลัว ราวกับกลัวว่าหากเขาเอ่ยออกมาแล้ว มู่หรงเจี๋ยจะทำร้ายเขา จื่ออันหันไปโบกมือ “ท่านออกไปไกลเสียหน่อย” มู่หรงเจี๋ยทำได้เพียงแค่ก้าวถอยออกไปสองก้าว ในใจบ่นพึมพำออกมา พูดคุยกับเจ้าพวกโง่งมเหล่านี้ช่างน่ารำคาญจริง ๆ เซี่ยหลินเมื่อเห็นว่าเขาถอยห่างออกไป ถึงไ
เซียวท่าส่งเสียงหัวเราะออกมา “ขนมน้ำตาลเคลือบ? ฮาฮา นี่ก็มีพิษด้วยอย่างนั้นหรือ? แต่ข้าชอบกิน เอามาให้ข้า!” เขายื่นมือคว้ามันออกมา ก่อนจะกัดเข้าไปคำหนึ่ง เซี่ยหลินเอ่ยออกมาอย่างเป็นกังวล “เจ้าอย่ากินมันมากจนเกินไป กินมากไปอาจจะโดนพิษเข้า อีกทั้ง ข้ายังทำมันทั้งวัน” “แล้วถ้าหากข้าอยากจะกินเล่า” เซียวท่ากัดเข้าไปอีกคำหนึ่ง กัดเสียจนสองแก้มโป่งพองขึ้น เปรี้ยวกำลังพอดี แต่ความหวานไม่พอ จื่ออันค่อนข้างที่จะผิดหวัง ดูเหมือนว่า เซี่ยหลินแม้แต่ยาพิษก็ไม่รู้ว่าคืออะไร และก็ใช่ เด็กที่มีความคิดเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ยังจะเรียกร้องให้เขาเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้อย่างไร พั่งจือฟันหักจ้องมองเซียวท่าอยู่ตลอดเวลา เซียวท่าคิดว่าเขาตะกละจนเกินไป ที่เหลืออีกหนึ่งชิ้นจึงได้ส่งให้เขา “มา ข้าจะให้รางวัลเจ้า” พั่งจื่อฟันหักก้าวถอยออกไปหนึ่งก้าว “ข้าไม่ได้อยากได้” “ไม่อยากได้ เช่นนั้นข้าก็จะกินแล้ว” เซียวท่ากัดกินเข้าไป นำไม้ไผ่โยนทิ้งไปข้างทาง จื่ออันเป็นกังวลเป็นอย่างมาก นี่มันวันที่สองเข้าไปแล้ว คืนวันที่สามอย่างน้อยแล้วก็ต้องปลดผนึกออกมา เมื่อถึงเวลานั้นแล้วจ้วงจ้วงจะทำอย่างไร? นา
มู่หรงเจี๋ยรีบสั่งคนให้ประคองเขาเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ จื่ออันตรวจชีพจรให้กับเขา อีกทั้งยังตรวจสอบเปลือกตาและลิ้น จึงเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ “เขาถูกวางยาพิษแล้ว” เซียวท่าตื่นตกใจเสียจนใบหน้าซีดขาว แต่กลับเอ่ยเป็นคำพูดไม่ออก เพียงแต่ใบหน้านั้นกระตุกออกมา “เร็ว รีบตามหลินหลินกลับมา” ทันใดนั้น จื่ออันก็นึกถึงอะไรขึ้นมาได้ รีบหันไปเอ่ยกับมู่หรงเจี๋ย มู่หรงเจี๋ยวิ่งออกไปด้วยตนเอง ขี่ม้าไล่ตามไปด้วยตนเอง เซียวท่าที่กระตุกเพียงเล็กน้อยในตอนต้น แต่แขนขาของเขาก็ค่อย ๆ แข็งค้างขึ้นมา ใบหน้าที่กระตุกหยุดชะงักลง แต่ก็ไม่อาจแสดงท่าที่ใดออกมาได้ เขาเริ่มรู้สึกหายใจออกมาอย่างยากลำบาก รู้สึกแย่ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างที่มากดทับลงบนหน้าอก เขาต้องการจะยืดคอขึ้นเพื่อที่จะหายใจ กลับพบว่าลำคอแข็งค้างจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ โชคดีที่เซี่ยหลินยังไปได้ไม่ไกลนัก มู่หรงเจี๋ยรีบคว้าเขาขึ้นหลังม้า แล้วพุ่งออกไป จื่ออันเมื่อเห็นว่าเซี่ยหลินเข้ามาแล้ว ก็รีบดึงเขาเข้ามา แล้วเอ่ยอย่างเป็นกังวล “หลินหลิน ยาถอนพิษของขนมน้ำตาลเคลือบ” เซี่ยหลินส่งเสียงออกมาคำหนึ่ง แล้วก็หยิบยาลูกกลอนเม็ดสีชมพูออกมาจากกระ
จื่ออันเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้นที่ซีเจียง? ทำไมพวกท่านเพียงแค่ได้ยินว่าเป็นอักษรซีเจียงสีหน้าถึงได้พากันซีดขาว?” อ๋องอันเอ่ยอธิบายออกมา “ซีเจียงเป็นชนเผ่าแห่งหนึ่ง อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของต้าโจวของพวกเรา ขึ้นชื่อเรื่องการวางยาพิษ พิษต่าง ๆ อีกทั้งคนซีเจียงแต่ละคนนั้นมีจิตใจชั่วร้าย เอะอะอะไรก็วางยาพิษผู้อื่น ในตอนที่จักรพรรดิฮุ่ยมีพระชนมายุสิบหกปีนั้น คนจากซีเจียงวางยาพิษคนในหมู่บ้านขอบชายแดนต้าโจวพวกเราไปกว่าห้าร้อยชีวิต จักรพรรดิฮุ่ยทรงโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ส่งกองกำลังเข้าไปยึดครอง เผาตำราทุกเล่มของซีเจียงทิ้งไปเสีย ในคราวนั้น ซีเจียงถือได้ว่าเกิดภัยพิบัติเข้าแล้ว คนที่กระโดดหนีออกมานั้นมีไม่มากนัก ประมาณเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น” “ความหมายของท่านอ๋องก็คือ คัมภีร์พิษเล่มนี้สืบทอดมาจากซีเจียงอย่างนั้นหรือ? แต่ทำไมถึงได้มาอยู่ในมือผู้เฒ่าอันหรานได้อย่างไรกัน?” จื่ออันเอ่ยถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน จะต้องถามเขาถึงจะรู้” อ๋องอันมองไปยังเซี่ยหลิน “เป็นใครที่สอนให้เจ้ารู้จักอักษรเหล่านี้กัน?” “อากงน่ะสิ” เซี่ยหลินเอ่ยตอบกลับ “อ
หลังจากที่ซื้อยาสมุนไพรกลับมาแล้ว เซี่ยหลินให้พั่งจือฟันหักต้มยาให้กับเขา ฉินจือสั่งคนนำเตาถ่านมาให้เขาสิบกว่าอัน หม้อยาสิบกว่าใบ แล้วต้มยาในลานบ้านนั่นเลย จื่ออันและหมอหลวงเองก็เข้าร่วมอยู่ในนั้น คราวนี้จื่ออันนับได้ว่ามองเห็นหนทางแล้ว เขาคำนวณพิษออกมาหลายชนิด แต่ละชนิดของพิษนั้นแตกต่างกันออกไป วิธีการถอนพิษเองก็แตกต่างกันออกไป ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำนั้นก็คือถอนพิษแต่ละชนิดออกมาเสียก่อน จากนั้นก็ผสมเข้าด้วยกัน แล้วทดสอบการถอนพิษในท้ายที่สุด แต่นี่เป็นขั้นตอนขนาดใหญ่ มีเวลาเพียงแค่หนึ่งวัน ไม่อาจที่จะสำเร็จลงได้ เพราะฉะนั้น หลังจากที่ทดลองครั้งแรกแล้ว จื่ออันก็เอ่ยถามเซี่ยหลิน “หลินหลิน พรุ่งนี้ข้าจะต้องปลดเข็มที่ฝังให้นางเอาไว้ หากเป็นเช่นนี้แล้วก็จะพิษก็จะแพร่กระจายออกไปในทันที ตอนนี้เจ้ามีวิธีใดที่จะทำให้พิษหยุดแพร่กระจายออกไปได้ชั่วคราวบ้างหรือไม่?” เซี่ยหลินควานหาอยู่ในถุงผ้าอยู่ชั่วครู่ หาขวดใบหนึ่งออกมา ในขวดนั้นใส่แมลงเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะเป็นตะขาบ แต่ว่าไม่ได้มีขามากมายเหมือนเช่นตะขาบ ม้วนขดตัวอยู่ ร่างกายแดงก่ำ เคลื่อนไหวอยู่ช้า ๆ ในขวดนั้น เมื่อมองออกไปแล้วเซี่ยหลินก็
ไม่พบก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี วันที่สาม หลังจากที่จื่ออันปลดผนึกจุดฝังเข็มแล้ว เซี่ยหลินก็นำแมลงเจ็ดส่วนวางเข้าสู่ปากของจ้วงจ้วง หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม นางก็เริ่มฝังเข็ม จ้วงจ้วงก็ยังไม่ฟื้นสติขึ้นมา วันที่สี่ จ้วงจ้วงก็ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ก็ยังคงป้อนน้ำข้าวบางส่วนเข้าไป นางยังคงสามารถกลืนกินเข้าไปได้บ้าง คืนวันที่สี่ ในที่สุดเซี่ยหลินก็แยกพิษออกมาได้ อีกทั้งยังสกัดพิษออกมาได้ เขาใช้พิษที่สกัดออกมาใส่เข้าไปในน้ำ ป้อนให้วัวตัวหนึ่งดื่มเข้าไป ไม่นานนัก วัวตัวที่แข็งแรงนั้นก็ล้มลงพื้นแล้วสลบไป หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ ก็หมดลมไป วัวไม่ได้ดิ้นรน ไม่มีอาการเจ็บปวด ดูสอดคล้องกับคุณสมบัติของยานิทรารมณ์ ใช้วิธีการนี้หลอมยาพิษออกมา ก็จะมีวิธีการถอนพิษ และสามารถรู้ได้ว่าในพิษแปดชนิดนี้ มีสองชนิดที่รวมกันแล้วจะต่อต้านกัน มีพิษสองชนิดที่รวมกันแล้วก็จะกลายยาพิษอีกชนิดหนึ่ง พิษที่เหลืออีกสี่ชนิด เมื่อผสมเข้าด้วยกันแล้วก็จะทำให้มึนงง เป็นเหมือนกับยานอนหลับที่ใช้ให้คนหลับใหลไปในตอนที่กำลังจะตาย เพื่อลดความเจ็บปวด สำหรับยาพิษที่ออกฤทธิ์ต้านทานกันทั้งสองชนิด ไม่ได้มีผลใด เพียงแต่ใช้เพื่อบดบังการหา
ต่อมาก็จะมีการพลิกหน้าหนังสือจำนวนมาก เพื่อค้นหาว่าที่ใดมีการบันทึกเกี่ยวกับละมั่งโลหิตเอาไว้บ้าง อย่างไรก็ตาม พลิกหาไปครึ่งค่อนวัน ก็มองไม่เห็นข้อมูลบันทึกเกี่ยวกับละมั่งโลหิตเลยแม้แต่น้อย ขณะที่กำลังเศร้าหดหู่อยู่นั้น หยวนพ่านก็ออกมาจากวัง เขาได้ยินถึงละมั่งโลหิต ถึงกับตกตะลึงอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จึงขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิด จากนั้นก็เอ่ยกับมู่หรงเจี๋ยว่า “กระหม่อมได้ยินมาว่าในวังของแคว้นต้าเหลียงมีเขาละมั่งโลหิตอยู่คู่หนึ่ง ในอดีตนั้นเป็นของท่านหมอเวินอี้ ภายหลังมอบให้กับองค์หญิงใหญ่จิงมั่ว ได้ยินมาว่าภายหลังองค์หญิงใหญ่ได้มอบให้กับองค์รัชทายาทของแคว้นต้าเหลียง” คำพูดของหยวนพ่าน ทำให้ทุกคนเลือดสูบฉีดขึ้นโดยที่ไม่ต้องสงสัย เพราะว่าคืนวันนี้องค์รัชทายาทของแคว้นต้าเหลียงก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว หากว่าเขามีเขาของละมั่งโลหิตจริง และยินยอมที่จะให้หยิบยืม ใช้ม้าเร็วรีบไปยังแคว้นต้าเหลียงแล้วกลับมา ก็คงจะประมาณสิบวัน ตอนนี้แมลงเจ็ดส่วนสามารถอยู่ในร่างกายได้เจ็ดวัน เมื่อนำแมลงเจ็ดส่วนออกมาแล้ว ก็ยังคงฝังเข็มได้อีกครั้ง ก็จะมีเวลาอีกสามวัน รวมกันก็จะเป็นเวลาสิบวัน องค์รัชทายาทแคว้นต้าเหล
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว