จางซือฮูหยินใหญ่ของจวนโหว เป็นมารดาของเซียวท่าและเซียวเซียว เมื่อได้ยินคำสั่งของท่านโหว จางซือก็ส่ายศีรษะออกมาเบา ๆ “ทำไมต้องโรยเกลือลงบาดแผลกัน?” ท่านโหวมองยังนางด้วยความสงบนิ่ง “เจ้าเป็นคนที่รู้เรื่องรู้ราวมาโดยตลอด คงไม่จำเป็นให้ข้าต้องอธิบายออกมาว่าทำไม นี่มันเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนในตระกูลเซียวนับร้อย หลายปีมานี้ ถึงแม้ว่าข้าจะกระทำการอย่างถ่อมตนสงบเสงี่ยม แต่องค์จักรพรรดิก็ยังคงหวาดกลัวพวกเรา มาตอนนี้องค์หญิงทรงรู้ความจริงแล้ว หากว่านางไปหาเซียวเซียวขึ้นมา เซียวเซียวจะอดทนได้หรือ?” เขาเหลือบมองไปรอบ ๆ กดเสียงลงต่ำเอ่ยออกมา “องค์จักรพรรดิเพียงแต่ทรงประชวร ยังไม่ได้สวรรคตไป!” จางซือนิ่งเงียบ ใช่แล้ว เซียวเซียวไม่มีแรงต้านทานต่อองค์หญิงเลยแม้แต่น้อย หากว่าองค์หญิงพูดคำอ่อนโยนต่อหน้าของเขาแล้ว แม้แต่ชีวิตเขาก็อาจจะมอบให้นางได้ หากว่าทั้งสองเกี่ยวข้องกันขึ้นมา จะต้องเกิดปัญหาขึ้นไม่รู้จบ โดยเฉพาะหลายปีมานี้ อำนาจขององค์หญิงก็ยิ่งสั่นสะเทือนเพิ่มมากยิ่งขึ้น เบื้องหลังยังมีผู้สำเร็จราชการแทน อ๋องอัน อ๋องหลี่ ตระกูลเฉิน ตระกูลหู ที่สำคัญที่สุดก็คือทรัพยากรอันหนาแน่น แล้วองค์จ
เขามายังร้านจู้เสียน หาห้องส่วนตัวเพื่อดื่มเหล้า ดื่มเหล้าร้อนแรงเพียงลำพังไปห้าจอก เขาก็ฟุบลงบนโต๊ะ ดื่มจนกระทั่งในใจไม่มีความรู้สึกใดท่ามกลางความมึนเมา เขาเหมือนจะได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา มีคนนั่งลงอย่างแผ่วเบา ด้านข้างกายของเขามีคนกอดเขาไว้ แล้วเอ่ยออกมาข้างหูเขา เอ่ยว่าอะไรนั้นเขาเองก็ไม่ได้ยิน ทว่ากลับคิดถึงความอ่อนโยนนี้ ความอ่อนโยนที่ห่างหายไปเสียนานเหมือนกับครั้งแรกที่เขากอดจ้วงจ้วง และจูบนาง โดยที่ไม่สนใจสิ่งใด เขาอยากจะกลับไปเป็นตนเองในตอนนั้นยิ่งนักกลับไปไม่ได้แล้ว พวกเขาล้วนแต่ไม่มีความกล้าดั่งเช่นในตอนนั้นแล้ว และก็ไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนตอนต้นแล้ว “จ้วงจ้วง!” ริมฝีปากของเขาพึมพำชื่อนี้ออกมา รับรู้ได้ว่าใบหน้าของหญิงสาวที่กอดเขาอยู่นั้นมีน้ำตาไหลซึมออกมาเป็นจ้วงจ้วงจริง ๆ ที่มาหาเขาในยามมืด นางมาแล้วนางกอดเขาเอาไว้ ไม่มีความคิดอื่นใด นางเพียงหวังว่าตนเองจะจดจำรสชาติเช่นนี้ได้ นางลืมไปนานมากแล้ว ความรู้สึกของการสัมผัสแนบเนื้อเช่นนี้ในที่สุดเขาก็กลับมามองเห็นชัดเจน มองไปยังนางจ้วงจ้วงผละออกไปมองเขาด้วยรอยยิ้ม “รู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ ข้าก็เลยจะมาพูดคุยด้วย”เซี
คืนนี้จื่ออันกระสับกระส่ายอยู่ตลอดทั้งคืน พลิกกายไปมาอยู่บนเตียงอย่างนอนไม่หลับ มู่หรงเจี๋ยขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป? ใกล้จะเวลาจื่อแล้ว ทำไมถึงยังไม่นอนอีก?” จื่ออันลุกขึ้นนั่ง กอดผ้าห่มแล้วเอ่ยออกมาอย่างเป็นกังวล “ข้าไม่รู้ ในใจรู้สึกสับสน” “เป็นเพราะว่าเรื่องของจ้วงจ้วงหรือ?” มู่หรงเจี๋ยเองก็ลุกขึ้นนั่ง แล้วมองยังนาง “ใช่แล้ว ข้ามักจะรู้สึกว่า คืนนี้ในตอนที่จ้วงจ้วงมาคืนเชือกบ่วงบาศนั้น เหมือนจะมีความรู้สึกสิ้นหวังอยู่” มู่หรงเจี๋ยตะลึงไป “เจ้าหมายความว่าจ้วงจ้วงอาจจะคิดไม่ตก?” “ข้าไม่รู้” มู่หรงเจี๋ยส่ายศีรษะออกมา “เป็นไปไม่ได้ ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว นางไม่มีทางคิดไม่ตกเพราะว่าเรื่องนี้ ในปีนั้น นางคิดว่าเป็นเพราะเซียวเซียวหักหลังนาง นางยังฝืนอดทน มาตอนนี้รู้แล้วว่าเซียวเซียวไม่ได้หักหลังนาง ยังคงรักนางดังเดิม ทำไมถึงจะคิดไม่ตกกัน? เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” จื่ออันรู้สึกว่าที่เขาเอ่ยออกมานั้นก็มีเหตุผล ในตอนนั้นยากลำบากถึงเพียงนั้น ยังอดทนผ่านมาได้ แล้วทำไมถึงจะได้มาคิดไม่ตกเอาตอนนี้? ความต้านทานต่อความเครียดของจ้วงจ้วงไม่ได้ด้อยเพียงนั้นหรอกกระมัง? นางเอนกายลงอีก
“ไปที่ใดกัน?” ฉินจือเอ่ยถาม “ข้าอยากจะไปพักอยู่ที่เขาน้ำพุร้อนสักระยะหนึ่ง พวกเจ้าเป็นเก็บของพวกเจ้าให้เรียบร้อยก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยมาเก็บให้ข้า” จ้วงจ้วงเอ่ยออกมา ฉยงหวาพยักหน้า “ไปเขาน้ำพุร้อนก็ดี ไปพักผ่อนให้สบายใจ” พวกนางถอนหายใจออกมา หากว่าองค์หญิงยินยอมออกจากเมืองหลวงไป บางทีเรื่องราวอาจจะดีขึ้นมาบ้างก็ได้ “อืม ไปเถิด ข้าเริ่มง่วงแล้ว จะต้องนอนพักให้เร็วเสียหน่อย” จ้วงจ้วงเอ่ย ฉินจือลุกขึ้นยืน เอ่ยออกมากับฉยงหวา “ข้าจะออกไปบอกกับคนขับรถม้าก่อน เจ้ากลับไปเก็บของของเจ้า รวมทั้งของพวกนั้นของข้า ก็เก็บไปพร้อมกันเลย เอาเสื้อผ้าไปมากเสียหน่อย พวกเราพักกันสักหลายวัน” “ตกลง” ฉยงหวาเอ่ย ทั้งสองคนรับใช้รอจนจ้วงจ้วงนอนหลับถึงได้ออกไป จ้วงจ้วงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของทั้งสองคนค่อย ๆ ไกลออกไป นางถึงได้ลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ กอดผ้าห่มเอาไว้ นั่งอย่างนั้นอยู่นาน ก่อนลุกเดินออกไปช้า ๆ เทียนในห้องนอนถูกจุดเอาไว้ เปลวไฟลุกโชนขึ้นมา นางมองไปยังเปลวไฟนั้น ดวงตาสะท้อนแสงไฟสว่างไสว กลับไม่รู้ว่าน้ำตาไหลออกมา หรือว่าเป็นเปลวไฟกันแน่ บนโต๊ะชานั้นมีกาน้ำชาและน้ำอยู่ นางรินออกมาหนึ่งจอก
เมื่อทำทุกอย่างจนเสร็จ นางก็นอนลงบนเตียง นำขวดจากหัวเตียงออกมาเทผงยา แล้วเข้าปากไป นางหลับตาลงอย่างช้าช้า น้ำตาไหลนองลงจากหางตา ทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับนางอีก นางเหนื่อยแล้ว ไม่มีแรงที่จะต้านทานสิ่งใดในโลกใบนี้อีก เพราะว่าทุกสิ่งอย่างล้วนแต่ไร้ซึ่งความหมาย ด้านนอกมีฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้น ตามมาด้วยน้ำเสียงอันร้อนรนของฉินจือที่รั้งเอาไว้ “พระชายา องค์หญิงทรงบรรทมไปแล้ว ท่านมีเรื่องสำคัญอะไร ค่อยมาใหม่พรุ่งนี้เถิดเพคะ” ในขณะที่ความมืดกำลังปกคลุมจ้วงจ้วงนั้น ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น คืนนี้ไม่ว่าจะอย่างไร จื่ออันก็ไม่อาจจะนอนหลับลงได้ ไม่ว่ามู่หรงเจี๋ยจะปลอบโยนอย่างไร นางก็รู้สึกว่าในใจไม่อาจจะสงบลงได้ มักจะรู้สึกว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว นางลุกขึ้นมา ต้องการจะไปยังจวนองค์หญิงสักรอบหนึ่งถึงจะวางใจลงได้ มู่หรงเจี๋ยรั้งนางเอาไว้ไม่ได้ ทำได้เพียงมาพร้อมกันกับนาง แต่ก็ยังเอ่ยออกมาตลอดทางว่านางกัวลจนเกินไป มาค่ำคืนเช่นนี้ จะทำให้จ้วงจ้วงตื่นตกใจเอาได้ จื่ออันกระแทกยังประตู พุ่งเข้าไป ปากยังร้องเรียก “จ้วงจ้วง!” มู่หรงเจี๋ยไม่ได้เข้
“เป็นพิษอะไร? รู้หรือไม่ว่ามันคือพิษอะไร?” จื่ออันร้องไห้เอ่ยถามมู่หรงเจี๋ยออกมา พิษที่จ้วงจ้วงสามารถใช้ได้ โดยมากแล้วจะต้องมาจากราชสำนัก บางทีเขาอาจจะรู้ก็เป็นได้ มู่หรงเจี๋ยพลิกหาอยู่ครู่หนึ่ง หาเจอขวดหนึ่งจากตรงหัวเตียง เทผงมันออกมา สีหน้าเปลี่ยนไป “ยานิทรารมณ์?” “ยานิทรารมณ์? คืออะไรกัน?” จื่ออันเอ่ยถาม มู่หรงเจี๋ยแทบจะต้องกัดฟันเอ่ยออกมา “เป็นยาที่หมอหลวงศึกษากันออกมา เพื่อประทานให้กับนางสนมในวังที่ได้รับโทษตาย” “ในเมื่อเป็นหมอหลวงที่ศึกษาออกมา ก็รีบให้คนไปเรียกหมอหลวงมาเข้า ยาถอนพิษเล่า!” จื่ออันเอ่ยออกมาอย่างยินดี แต่ความยินดีของนางก็หายไปอย่างรวดเร็ว เพราะว่าสีหน้าของมู่หรงเจี๋ยที่ดูเคร่งขรึม นางปล่อยแขนลง เอ่ยถามออกไปอย่างยากลำบาก “ไม่มียาถอนพิษหรือ?” “ไม่มี!” ปากของมู่หรงเจี๋ยพ่นออกมาสองคำ ทำลายความหวังของจื่ออันลง ในใจของจื่ออันมืดมนลง ถึงแม้ว่าจะปิดเส้นชีพจรเอาไว้ได้ชั่วคราว เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของพิษเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจจะผนึกเอาไว้ตลอดไป ภายในสามวัน อย่างไรแล้วก็ต้องปลดออก มิฉะนั้นก็มีแต่ต้องตายไปอย่างเดียว “พิษที่หมอหลวงศึกษาออกมา กลับไม่มียาถอนพิษ? เช่
องค์รักษ์เงาตามหาเซียวเซียวจนพบในร้านจู้เสียน หลังจากที่จ้วงจ้วงจากไปแล้ว เซียวเซียว หูฮวนสี่เองวันนี้ก็ไม่ได้จากไปไหน รออยู่ที่นี้ เมื่อเห็นองค์รักษ์เงาปรากฏกายออกมาพร้อมกับตราสัญลักษณ์ของมู่หรงเจี๋ย หัวในของนางก็จมดิ่งลงไป นางนำองค์รักษ์เงาไปยังห้องส่วนตัว ออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึมให้คนโยนเซียวเซียวลงไปในทะเสสาบเย็นเยือกของร้านจู้เสียน ให้เขาได้สติขึ้นมา เซียวเซียวที่กึ่งเมากึ่งได้สติ ถูกจับตัวขึ้นมา หูฮวนสี่ย่อกายลงข้างกายเขา เอ่ยออกมาน้ำเสียงเย็นชา “จ้วงจ้วงฆ่าตัวตาย!” สี่คำนั้น เมื่อได้ยินเข้าหูของเซียวเซียว ก็เป็นเหมือนสายฟ้าอันน่าหวาดกลัว เขาวิ่งออกไปยังจวนองค์หญิงอย่างบ้าคลั่ง ยืนอยู่ตรงหน้าประตู หอบหายใจตลอดทางที่วิ่งออกมานั้นทำให้กลิ่นเหล้านั้นแพร่กระจายออกไป ความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงมาในหัวใจนั้นชัดเจนขึ้น เขายืนอยู่ตรงหน้าประตู ไม่ได้เข้าไป ทุกครั้งที่เขากลับเมืองหลวงมา ล้วนแต่จะต้องมาที่นี่ คอยอยู่ที่นี่ ราวกับว่าที่นี่เหมือนจะเข้าใกล้นางได้ สุดท้าย เป็นอ๋องหลี่และอ๋องอันที่มาเพราะข่าวอันน่าตื่นตกใจนำเขาเข้าไป เสียงทุกอย่างที่อยู่ในหูของเขาเป็นเหมือนราวกับคว
องค์จักรพรรดิทรงตรัสออกมา ได้ เจ้าไปคุ้มครองนางที่แคว้นต้าเหลียง หากว่าเจ้าไม่แต่งงานแล้ว นางจะต้องอภิเษกให้กับองค์รัชทายาทแคว้นต้าเหลียง ในวันนั้นเขาเป็นเหมือนกับคนบ้าก่อเรื่องวุ่นวายในห้องทรงอักษร ข้อเสนอทุกอย่างที่องค์จักรพรรดิทรงเสนอออกมานั้น เขาล้วนแต่ไม่เห็นด้วย สุดท้ายแล้ว องค์จักรพรรดิก็โยนหนังสือมาให้เขาชุดหนึ่ง เป็นหนังสือที่บอกว่าตระกูลเซียวร่วมมือกันกับศัตรู เขารู้ว่าเป็นการปลอมแปลงขึ้นมา ทว่าหนังสือชุดนี้กลับทำให้คนนับร้อยของตระกูลเซียวถูกตัดลงด้วย เขายอมแพ้แล้ว เขายอมแต่งกับหานชิงชิว ตระกูลเซียวก็ยังคงเป็นตระกูลทางทหารที่โดดเด่นและมีศักดิ์ศรีดังเดิม องค์จักรพรรดิก็ยังคงเป็นองค์จักรพรรดิ สูงส่งเหนือสิ่งกังวลใด มีเพียงเขาและจ้วงจ้วง ที่ไม่มีหัวใจอีกต่อ หลงทางอยู่ในโลกใบนี้ ตอนต้นหัวใจของพวกเราอยู่ด้วยกัน แต่พวกเรากลับไม่อาจเดินไปด้วยกันได้ ท่านปู่บอกเอาไว้ เจ้าเป็นหลานชายคนโตของตระกูลเซียว จะต้องแบกรับเกียรติยศของตระกูลเอาไว้ ชายหนุ่มไม่มีอะไรที่ทนรับไม่ได้ เพียงแค่หญิงสาวคนเดียว บนโลกใบนี้มีหญิงสาวที่ดีมากกว่าองค์หญิงมากมาย แต่ที่เขารักนั้นมีเพียงคนนั้น คนอ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว