ประมาณกว่าครึ่งชั่วยาม รถม้าคันหนึ่งก็หยุดลงด้านนอกจวนองค์หญิง หูฮวนสี่เข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มที่สวมชุดเสื้อคลุมนกอินทรี และชายชราที่สวมชุดคลุมสีเทา ด้านหลังของชายชรายังมีเด็กอ้วนที่ฟันหลุดหายไป ทั้งสามคนตรงเข้าไปยังห้องนอนของจวนองค์หญิง จื่ออันเงยหน้าขึ้นมามอง รู้สึกได้ว่าชายชุดคลุมนกอินทรีย์นั้นดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า ในตอนที่นางแต่งงานนั้น เคยถูกคนผู้หนึ่งนำตัวไปด้านนอกเมือง และยังตกลงไปในหล่มโคลน มีบางคนใช้กิ่งไม้แหย่ลงบนศีรษะของนางไม่หยุด คนชุดดำนั้นก็คือ ชายชุดคลุมนกอินทรีย์ที่อยู่ตรงหน้า นางจำได้ จำดวงตาคู่นี้ได้ ทุกคนต่างก็หลบออกไป ไม่ใช่เพราะชายชุดคลุมนกอินทรีย์ แต่เป็นเพราะชายชราคนนี้ ปากของเขาคาบบุหรี่เอาไว้ แล้วเดินตรงมาข้างกายของเซียวเซียว เขาเหลือบมอง ก่อนจะหันไปมองจื่ออัน “ทักษะการฝังเข็มทอง?” จื่ออันกลั้นหายใจเอาไว้ “ใช่แล้ว!” ชายชราวางถุงบุหรี่ลง ส่งให้กับพั่งเสี่ยวจือ “เสี่ยวพั่ง นำเข็มทองของข้ามา” พั่งเสี่ยวจือนำกระเป๋าเข็มออกมาจากกระเป๋าด้านหลัง ส่งให้กับชายชรา ทุกคนต่างก็มองไปยังเขา เห็นเขานำเข็มทองเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋
จื่ออันเงยหน้าขึ้นมองชายชรา “อาสุ่ยเป็นใครกัน?” “ลูกศิษย์คนใหม่ของข้าเอง เรียนเรื่องยาพิษมาแล้วหนึ่งเดือน คงจะพอมีความสำเร็จอยู่บ้าง” ชายชราพูดออกมา จื่ออันอดไม่ได้ที่จะผิดหวังขึ้นมา เพียงแค่เดือนเดียว? หนึ่งเดือนจะไปมีความสำเร็จอะไรกัน? คิดไปคิดมาแล้วชายชราก็คงจะหลอกลวงนาง ก่อนที่ท่านโหวเซียวจะมานั้น ท่านอ๋องอันหรานก็ฝังเข็มให้กับเซียวเซียวอีกครั้ง และยังให้เซียวเซียวกินยาลูกกลอนลงไป ยาลูกกลอนแดง กลิ่นของยานั้นหอมประหลาด เมื่อกินลงไปแล้ว ร่างกายของเซียวเซียวก็เย็นขึ้นราวกับน้ำแข็ง เมื่อท่านโหวเซียวเดินโซซัดโซเซเข้ามานั้น ยังมีบิดาและมารดา จางซือของเซียวเซียวอีกด้วย คนในตระกูลเซียวที่เหลืออยู่ตรงประตูไม่ได้เข้ามา ท่านโหวเซียวมองเห็นเซียวเซียวและจ้วงจ้วง ก็เอ่ยพึมพำออกมา “สวรรค์ ข้าไปทำเวรทำกรรมอะไรกันไว้!” เซียวท่าประคองเขาเอาไว้ เศร้าเสียใจจนไม่อาจจะเอ่ยออกมาได้ จางซืออ่อนแรงอยู่บนพื้น ตลอดทางที่มานั้น นางร้องไห้จนแทบจะทรุดลงไป “ท่านโหว ไม่ได้เจอกันนานแล้ว!” ทันใดนั้นชายชราก็เดินเข้ามา เอ่ยกับท่านโหวเซียว ท่านโหวเซียวหันกลับไปในทันที ดวงตาเผยความประหลาดใจจนแทบไม่อย
พระสนมเหมยนำองค์ชายสามมาด้วย องค์ชายพอรู้ความแล้ว ปกติก็มักชอบจะอยู่ใกล้กับป้าสะใภ้ มาตอนนี้เมื่อเห็นว่าป้าสะใภ้ใกล้จะตาย เขาก็ยิ่งร้องไห้ จับมือจ้วงจ้วงไว้แล้วร้องเรียกนาง จื่ออันถอยออกมาอย่างเงียบ ๆ ภายในห้องนั้นดูรู้สึกอึดอัด นางแทบจะหายใจไม่ออก หูฮวนสี่คอยอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นนางออกมา ก็เดินเข้ามานั่งกับนางตรงระเบียง “เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่ว่าใครต่างก็ไม่คาดคิด อย่าได้เสียใจจนเกินไปเลย” นางเอ่ยออกมาเช่นนี้ แต่ตนเองกลับดวงตาแดงก่ำไปก่อนแล้ว จ้วงจ้วงเองก็ถือได้ว่าเป็นสหายที่ดีของนาง ในยุคสมัยนี้ มีหนึ่งในสหายที่ดีเพียงแค่ไม่กี่คน “ชายชราคนนั้นเป็นใครกัน? ทำไมอ๋องเจ็ดถึงได้ให้เจ้าไปตามหา?” จื่ออันเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “ท่านอ๋องอันหราน เป็นคนแคว้นต้าเหลียง เบาะแสของเขายังคงเป็นเงื่อนงำอยู่ คนที่รู้เบาะแสของเขามีเพียงแค่ท่านอ๋องเยี่ย ส่วนคนที่รู้ว่าท่าอ๋องเยี่ยอยู่ที่ใดนั้น ก็มีไม่มาก ข้าเองก็รู้” หูฮวนสี่เอ่ยออกมาอย่างไม่ปิดบัง “อ๋องเยี่ย? อ๋องเยี่ยเป็นใคร?” จื่ออันถามออกมาด้วยความสงสัย “แม้แต่น้องเขยของเจ้าก็ยังไม่รู้จักหรือ?” “น้องเขย? เขาเป็นน้องชายของมู
มู่หรงเจี๋ยเกลี้ยกล่อมให้หวงไท่โฮ่วกลับไป และแน่นอนว่าสนมในวังหลังเองก็ต้องตามกลับไป หวงไท่โฮ่วทรงกรรณแสงเสียจนพระเนตรบวมเป่ง ในตอนที่เดินอยู่นั้น ขาทั้งสองข้างก็ยังอ่อนแรง จนฮองเฮาและพระสนมเหมยต้องประคองออกไป หูฮวนสี่ ซูชิง เซียวท่า และคนอื่น ๆ คอยเฝ้าอยู่ในลาน หมอหลวง อ๋องอัน และอ๋องหลี่อยู่ห้องด้านนอก จื่ออันและมู่หรงเจี๋ยคอยเฝ้าอยู่ด้านใน วันนี้มู่หรงเจี๋ยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว เขาถึงได้ถามฉินจือ “จางซือเคยมาอย่างนั้นหรือ?” ฉินจือนำเรื่องที่จางซือมายังจวนองค์หญิง เอ่ยอะไรออกมาบ้างบอกกับมู่หรงเจี๋ย มู่หรงเจี๋ยเงยหน้าขึ้นด้วยความเศร้าหมอง “ตระกูลเซียวหวาดกลัวถึงเพียงนี้ กระทั่งไม่กลัวที่จะให้จางซือมาเตือนจ้วงจ้วง แสดงว่าวันนั้นองค์จักรพรรดิจะต้องคุกคามพวกเขาอย่างหนัก” เขาลุกขึ้นยืน “จื่ออัน เจ้าคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าวัง” “ท่านจะไปพบองค์จักรพรรดิอย่างนั้นหรือ? องค์จักรพรรดิทรงสลบอยู่มิใช่หรือ?” จื่ออันเอ่ยถาม มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “เขาเองก็มีช่วงที่ได้สติขึ้นมา ข้าไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว จะต้องรู้เรื่องราวทั้งหมดให้ได้” “ตกลง ท่านไปเ
อ๋องอันที่ได้ยินเสียง จึงรีบเดินออกมาจากด้านใน ก็พบว่าองค์รัชทายาทก่นด่าเซียวท่าอย่างโกรธเกรี้ยว ก็โมโหขึ้นมาทันที โดยไม่จำต้องคิด ตบลงบนหน้าขององค์รัชทายาทในทันที ตะเบ็งเสียงเอ่ยออกมา “ป้าของเจ้านอนอยู่ด้านในเป็นตายยังไม่รู้แจ้ง เจ้ากลับมาก่อเรื่องที่นี่? ไสหัวไป!” องค์รัชทายาทไม่เคยพบกับอ๋องอันที่โมโหถึงเพียงนี้ และก็ไม่คิดว่าอ๋องอันจะลงมือตบเขา อีกทั้งยังต่อหน้าของหูฮวนสี่ เซียวท่า และซูชิง สำหรับเขาแล้วช่างเป็นที่น่าอัปยศจริง ๆ อ๋องอันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องในราชสำนักมานานแล้ว และไปมาหาสู่กับองค์รัชทายาทน้อยมาก ปกติแล้วองค์รัชทายาทเองก็ไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตา มาตอนนี้โดนฝ่ามือเขาไป จะยอมแพ้ได้อย่างไร จับจ้องใบหน้าอ๋องอันด้วยความเกลียดชัง “ดี มู่หรงจื่อ ข้าจะกลับไปรายงานเสด็จแม่ ฝ่ามือนี่ข้าเองก็จะจำเอาไว้เช่นกัน” อ๋องอันเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “หากว่าเจ้ายังไม่ไป ข้าจะหักขาเจ้าเสีย” พระสนมอี๋ไม่ได้ไร้เดียงสา และโง่เขลาเหมือนกับองค์รัชทายาท นางรู้ความร้ายกาจของอ๋องอัน จึงได้เอ่ยออกมากับองค์รัชทายาท “ฝ่าบาทเพคะ พวกเราไปกันก่อนเถอะเพคะ องค์หญิงเกิดเรื่องขึ้น ทุกคนล้วนแต่ใจคอไม่ดี
มู่หรงเจี๋ยต่อยเข้าไปที่ข้างเตียง จนเตียงไม้จันทร์หอมนั้นเป็นรูโหว่ หลังมือของเขามีเลือดสดไหลซึม เขาไม่ใส่ใจต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ส่งเสียงร้องคำรามอออกมา “บอกมา!” องค์จักรพรรดิทรงตรัสออกมา “เจ้าไปเสียเถิด วันเวลาของข้าเหลือไม่มากแล้ว เจ้าไม่จำเป็นจะต้องบีบบังคับข้า หากว่าข้าทำไม่ถูกต้อง เมื่อไปถึงยังปรโลก ก็เพียงแต่ยอมรับผิดขออภัยกับท่านอาเล็ก” มู่หรงเจี๋ยจ้องมองเขา “ท่านคุกคามเซียวเซียวว่าสบคบคิดกับศัตรูทำลายบ้านเมืองใช่หรือไม่?” องค์จักรพรรดิหัวเราะเย้ยหยันออกมา “ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ทำไมถึงต้องมาถามข้ากัน? ดูเหมือนว่าเซียวเซียวคงจะบอกกับเจ้าทุกอย่างแล้ว” “เซียวเซียวไม่ได้บอกอะไรทั้งสิ้น หลังจากที่ท่านอาเล็กกินยาไปแล้ว เขาก็ฆ่าตัวตายตามไป กริชเดียวแทงลงไปยังหัวใจของเขา โหดร้ายเสียจนสิ้นทางถอยหลังกลับ” องค์จักพรรดิจ้องมองเขาอย่างตกตะลึง ใบหน้าที่ปกคลุมด้วยจุดสีแดงนั้นเกิดอารมณ์แปลกประหลาดออกมา เขาค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ไม่น่ามองเสียยิ่งกว่าร้องไห้ “ดี ในที่สุดพวกเขาก็ได้อยู่ด้วยกันแล้ว” มู่หรงเจี๋ยจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา “ไม่คิดเลยว่า เรื่องราวตั้งมากมาย ไม่คิดเลยจริง ๆ
จื่ออันและมู่หรงเจี๋ยต่างก็ไม่ได้นอนหลับ พากันเฝ้าจ้วงจ้วงอยู่หน้าเตียง ที่สามารถทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว ตอนนี้มีเพียงแค่อย่างเดียวที่สามารถทำได้ ก็คือคอยเฝ้านางเอาไว้ นางล้วนแต่อยู่ในความรุ่งโรจน์มาโดยตลอด แต่นางก็โดดเดี่ยวมาโดยตลอด ในจวนองค์หญิงที่มั่งคั่งนี้ ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวที่มั่งคั่งอย่างถึงขีดสุด ข้างกายมีเพียงสาวใช้สองคนที่อยู่เป็นเพื่อน ยังมีกองภูเขาเงินภูเขาทอง ความมั่งคั่งนับไม่ถ้วน แสงสีทองนับไม่ถ้วน นางมีสิ่งที่คนมากมายใฝ่ฝันถึง ทว่าสิ่งที่นางต้องการกลับไม่มี นางใช้วิธีที่กล้าหาญมากที่สุด เพื่อบอกลาโลกใบนี้ จื่ออันร้องไห้อยู่หลายครั้ง ดวงตาบวมแดงเหมือนลูกพีช มู่หรงเจี๋ยออกมาจากวัง นางเองก็ไม่ได้ถามเขาว่า ตกลงแล้วองค์จักรพรรดิเอ่ยว่าอะไร ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ก็หมดสติได้รับบาดเจ็บสาหัส ไล่ตามสิ่งเหล่านั้น ก็ไม่มีประโยชน์อะไร หลงจากที่มู่หรงเจี๋ยออกจากวังมา อารมณ์ก็ดูจะไม่ค่อยมั่นคง เขากลับถามตนเองซ้ำ ๆ หากว่าเขาอยู่ในสถานะที่สูงส่งนั้น เขาจะยอมเสียสละความสุขทั้งชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่ง เพื่อให้ตนเองไร้กังวลหรือไม่ คำตอบคือไม่มีทาง รักษาครอบครั
เซี่ยหลินเงยหน้าขึ้นมา เมื่อมองเห็นจื่ออัน เขาก็รีบพุ่งเข้ามากอดจื่ออันเอาไว้แน่น “พี่ใหญ่!” มู่หรงเจี๋ย อ๋องอัน และคนอื่น ๆ ต่างเดินออกมา เมื่อมองเห็นฉากนี้ ต่างก็พากันตื่นตกใจ เซี่ยหลินผู้นั้นไม่ใช่ว่าตายไปแล้วหรอกหรือ? ทำไมถึงได้ยังมีชีวิตอยู่อีก? ไม่ง่ายเลยที่สองพี่น้องจะกอดกันจนพอใจ มู่หรงเจี๋ยถึงได้เดินมาข้างหน้า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?” จื่ออันเช็ดน้ำตาออกไป แล้วมองไปยังเซี่ยหลิน “ใช่แล้ว ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น? เจ้าออกจากวังมาได้อย่างไร? ใครช่วยเจ้าเอาไว้?” เซี่ยหลินส่ายศีรษะออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่รู้ว่าใครช่วยข้าไว้” พั่งจื่อฟันหักส่งเสียงมืดมนออกมา “อาสุ่ย เป็นอากงที่ช่วยเจ้าเอาไว้ บอกกับเจ้าไปตั้งหลายครั้งก็ไม่ยอมจำเอาไว้” เซี่ยหลินดูเหมือนว่าจะจำได้ขึ้นมาในทันที จึงแลบลิ้นออกมาอย่างเขินอาย “ใช่แล้ว เป็นอากงที่ช่วยข้าเอาไว้ พวกเขาล้วนแต่บอกมาเช่นนี้” “อากง?” จื่ออันมองไปยังพั่งจื่อฟันหัก “เป็นท่านอ๋องอันหรานอย่างนั้นหรือ?” “ใช่แล้ว” พั่งจื่อฟันหักพยักหน้าเอ่ยออกมา มู่หรงเจี๋ยรู้สึกสับสนเล็กน้อย “เขาเรียกเจ้าว่าอาสุ่ย หรือว่าคนที่ท่านอ๋องบอกว่าสามารถถอนพ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว