จ้วงจ้วงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยทันที “ให้ฉินจือนำเหล้าเข้ามาไหหนึ่ง จู่ ๆ ข้าก็อยากจะดื่มเหล้า” จื่ออันลุกขึ้นยืน “ดี ข้าจะออกไปสั่ง ดื่มเหล้าสักเล็กน้อยเถิด” ดื่มเหล้าสามารถช่วยปลดปล่อยอารมณ์ตนเองได้ นางหวังว่าจ้วงจ้วงจะไม่ทรมานตนเองให้เจ็บปวดเช่นนี้ต่อไป เพราะว่าอากาศเริ่มที่จะหนาวขึ้นเล็กน้อย ฉินจือเองก็เห็นองค์หญิงร้องไห้ออกมา จึงไปอุ่นเหล้าก่อนจะนำออกมา “ดื่มให้น้อยหน่อยนะเพคะ!” ฉินจือรินเหล้าให้กับองค์หญิง ก่อนจะรินอีกแก้วแล้ววางลงมาอีกครั้ง “ช่างเถอะ อยากจะดื่มเท่าไหร่ก็ดื่มเท่านั้นเถิดเพคะ ดื่มจนเมา จะไปทุบตีคนก็ไปทุบตีเถิด คนที่สมควรฆ่าก็ฆ่าเสีย การที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ พวกเราจะไม่ทนมัน” ความเป็นห่วงของฉินจือที่มีต่อจ้วงจ้วงนั้น ดูเหนือเกินกว่าสาวใช้จะเป็นห่วงองค์หญิง นางดูรักห่วงใยจ้วงจ้วงจากใจจริง ความสัมพันธ์นายบ่าวเช่นนี้ ทำให้จื่ออันซาบซึ้งใจยิ่งนัก จ้วงจ้วงเงยหน้าขึ้นมาเหลือบมองไปยังฉินจือ เอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าออกไปก่อน ฉยงหวาจะกลับมาแล้ว พวกเจ้าไปเตรียมการกันเถิด ให้พระชายาอยู่ร่วมรับประทานอาหารที่นี่” “ดีเพคะ มีพระชายาอย
จ้วงจ้วงรินเหล้าลงอีกจอก ดื่มลงไป หลังจากที่ดื่มไปแล้ว ก็ยิ้มแล้วเอ่ยออกมาต่อ “ในตอนนั้น ข้างกายของข้ามีสาวใช้อยู่สี่คน ฉินจือ ฉยงหวา เหยาจื่อ ชิงชิว ทั้งสี่คนดีกับข้ามาก เพราะว่าทุกคนล้วนแต่เติมโตขึ้นมาพร้อมกับข้า พวกนางอายุเพียงแค่เจ็ดขวบก็อยู่ข้างกายข้าแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นนายบ่าว แต่จริง ๆ แล้วเป็นเหมือนเพื่อนเล่น เพื่อนสนิทที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาด้วยกัน” “และด้วยอายุที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้น เซียวเซียวยังไม่ได้บอกกับข้าว่าชอบข้า ในใจของข้าร้อนรน ข้าแอบส่งสัญญาณทั้งในที่แจ้ง ในที่ลับให้เขารู้ แต่เจ้าท่อนไม้นี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ข้าโมโหยิ่งนัก รู้สึกว่าเขาไม่ชอบข้า และก็เป็นในเวลานั้น องค์รัชทายาทของแคว้นต้าเหลียงก็เข้ามา เขาบอกว่าเพียงแค่ชั่วแวบเดียวก็ถูกใจข้า เสนอขออภิเษกกับเสด็จพี่ บอกว่าจะขอข้าแต่งกลับไปยังต้าเหลียง ในปีนั้น ข้าอายุสิบห้าปี” รอยยิ้มของนางยิ่งดูขมขื่น หยุดชะงักไปนาน อารมณ์ซับซ้อน ราวกับว่าเรื่องราวเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นในชาติที่แล้ว “แน่นอนว่าข้าไม่ยอมอภิเษกเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ ข้าไม่อยากจะจากเซียวเซียวไป ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นท่อนไม้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้บอ
จ้วงจ้วงเอ่ยคำเหล่านี้จบแล้ว ก็ดื่มลงไปติดต่อกันสามจอก เหล้าที่ร้อนแรง ทำให้นางไอกระแอมออกมานาน ก่อนจะกลับคืนเป็นปกติ “หลังจากที่ทุกอย่างค่อย ๆ เรียบร้อย เสด็จพี่กลับเสด็จสวรรคต องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ และแต่งตั้งให้ข้ากลายเป็นองค์หญิงใหญ่ พี่สะใภ้ถูกแต่งตั้งให้เป็นหวงไท่โฮ่ว แล้วก็รักเอ็นดูข้ามาโดยตลอด จึงได้ร้องขอกับองค์จักรพรรดิ และก็นำพระราชโองการที่เสด็จพ่อทิ้งเอาไว้ พระราชโองการบอกว่า ไม่ว่าใครก็ไม่อาจบีบบังคับให้ข้าทำในเรื่องที่ไม่ยินยอมได้” จื่ออันฟังมาจนถึงตรงนี้ ก็รู้สึกไม่เข้าใจ “พระราชโองการนั้น ทำไมถึงได้ไม่นำออกมาแต่ต้น?” จ้วงจ้วงมองมายังจื่ออัน ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ในตอนนั้นเป็นเพราะเสด็จพี่และฮองเฮา พระราชโองการนี้มีเสด็จพี่ที่เก็บรักษามาโดยตลอด นางไม่อาจที่จะเอามันมาได้ ต่อให้จะเอามาได้ เจ้าคิดว่าเสด็จพี่จะปล่อยให้นางนำพระราชโองการนี้มาประกาศให้โลกรู้หรือ? หลังจากที่เสด็จพี่สวรรคต นางถึงได้พระราชโองการนี้มา ส่วนองค์จักรพรรดินั้นเป็นโอรสของนาง นางจึงไม่อำนาจที่จะพูดออกมา หลังจากที่นำพระราชโองการฉบับนี้ออกมาแล้ว พี่สะใภ้ก็ประกาศออกมากลางราชสำนัก องค์จักรพ
จื่ออันเมื่อเห็นว่าจ้วงจ้วงหลับสนิท ก็คิดที่จะจากไป ในตอนที่ลุกขึ้นมา จ้วงจ้วงก็ดึงมือนางเอาไว้ แล้วมองยังนาง “จื่ออัน เจ้าเคยรักใครสักคนมากหรือไม่? รักจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี!” น้ำตาของจื่ออันแทบจะร่วงไหลลงมา ลูบลงบนหัวของนางเบา ๆ “มี เจ้านี่ไง ข้ารักเจ้ามาก ๆ” จ้วงจ้วงยิ้มออกมา เต็มไปด้วยความเมามาย นางถอนหายใจ "หากว่าข้าเป็นผู้ชาย ก็คงจะแต่งงานกับเจ้า ดูเหมือนว่าข้าจะเสียเปรียบเจ้าเจ็ดไปแล้ว” นางค่อย ๆ หลับตาลง แล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง จึงหลับลงไป นางรู้สึกสงสารจ้วงจ้วงเป็นอย่างมาก ยิ่งรู้สึกโกรธเซียวเซียวมากยิ่งนัก เดิมทีจื่นอันคิดที่จะอยู่เป็นเพื่อนกับจ้วงจ้วงให้มาก ทว่านางอดทนต่อความกรุ่นโกรธนั้นไม่ได้แล้ว เมื่อออกจากจวนองค์หญิง ก็เอ่ยสั่งตาวเหล่าต้า “ไปหาเซียวเซียว ดูว่าอยู่ที่จวนโหวหรือว่าจวนแม่ทัพใหญ่กัน!” “แม่ทัพใหญ่เซียว? วันนี้เขาจะต้องมายังจวนท่านอ๋องขอรับ!” ตาวเหล่าต้าเอ่ยออกมา “เจ้ารู้ได้อย่างไร?” จื่ออันเอ่ยถาม “เมื่อวานนี้ข้าได้ยินแม่ทัพซูเอ่ยออกมา” “กลับจวน!” จื่ออันเอ่ยสั่ง เมื่อกลับมาถึงจวนอ๋อง เซียวเซียวก็มาถึงแล้ว หนี่หรงบอกว่าเขากำลังพูดค
จื่ออันเดินเข้ามาทีละก้าว ดวงตาลุกโชนขึ้นด้วยเปลวไฟ “ข้าพูดอะไรในใจของเจ้ารู้ดี ข้ารู้ว่าเจ้าจะเป็นพ่อคนแล้ว ตอนนี้เจ้ามีความสุขแล้ว ทว่าจะดูแลควบคุมฮูหยินเอาไว้ได้หรือไม่ อย่าได้ไปอวดดีหยิ่งผยองต่อหน้าจ้วงจ้วง? ความสุขของพวกเจ้าสร้างขึ้นมาบนบาดแผลของคนอื่น พวกเจ้าจะสงบใจได้จริงหรือ?” สีหน้าของเซียวเซียวเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ความหมายของพระชายาคือ หานชิงชิวไปหาองค์หญิง? นางบอกกับองค์หญิงว่าตั้งครรภ์?” มู่หรงเจี๋ยเดินเข้ามา เอ่ยถามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้น? หานชิงชิวตั้งครรภ์แล้ว?” จื่ออันไม่ได้ตอบมู่หรงเจี๋ย เอ่ยเสียงดังขึ้นกับเซียวเซียว “ไม่ผิด วันนี้นางไปยังจวนองค์หญิง บอกว่าไปถวายพระพร ทว่ากลับเหมือนตั้งใจที่จะบอกกับองค์หญิงว่านางตั้งครรภ์ลูกของเจ้า เซียวเซียว อ่า หัวใจของคนทำมาจากเนื้อ ความสุขของพวกเจ้าเป็นเรื่องของพวกเจ้า อย่าได้ไปทำร้ายคนอื่น ดีหรือไม่? นึกถึงที่เจ้าและจ้วงจ้วงเติบโตขึ้นมาด้วยกัน ได้โปรดเมตตากับนางสักเล็กน้อย หลายปีมานี้ นางใช้ชีวิตมาอย่างไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะใช้กัน ข้าที่เป็นคนนอกเองก็ยังปวดใจ เจ้าเองก็เคยรักนางมาก่อน ปล่อยนางไปเสีย ได้หรือไม่?" จื่ออันเอ่ยออ
เซียวเซียวเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย “ใช่แล้ว!” มือของพ่อบ้านหยุดอยู่กลางอากาศ ราวกับว่ายากที่จะรับได้ “เพิ่งจะกลับมา ก็จะออกไปอีกแล้ว? จะไม่พักอยู่สักหลายวันหรือ?” “ไม่ล่ะ ไว้คราวหลัง!” เซียวเซียวเอ่ย ใบหน้าไม่มีอารมณ์ใด พ่อบ้านตอบรับ “ขอรับ ไว้คราวหลัง บ่าวจะรอท่านแม่ทัพกลับมา หากว่าบ่าวยังจะมีชีวิตอยู่อีกนานขนาดนั้น” จื่ออันได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็ยิ่งสับสนมากยิ่งขึ้น เซียวเซียวกลับเมืองหลวงมาสองเดือนกว่าแล้ว ทำไมพ่อบ้านถึงทำเหมือนราวกับว่าไม่ได้พบกับเขาเสียอย่างไรอย่างนั้น ด้านนอกประตูเกิดเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างร้อนรน จื่ออันเงยหน้าขึ้นมามองไปยังหานชิงชิวที่นำสาวใช้สองคนเข้ามา ใบหน้าของหานชิงชิวมีความยินดี กระทั่งมองไม่เห็นแม้แต่มู่หรงเจี๋ยและจื่ออัน เดินตรงมายังเบื้องหน้าของเซียวเซียว จ้องมองยังเขา “ท่านกลับมาแล้ว?” เซียวเซียวเงยหน้าขึ้นมองยังนางด้วยสายตามืดดำ ใบหน้าเย็นชา ริมฝีปากโค้งยิ้มเย้ยหยันออกมา “ฮูหยินตั้งครรภ์ ตัวข้าก็เลยต้องแสดงความยินดีด้วย? และก็อยากให้ฮูหยินชี้แจงสักหน่อย เด็กในท้องของเจ้านั้นไม่ใช่ของข้า เลี่ยงไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดกัน” ใบหน้าของหานชิงชิวเปล
เซียวเซียวเก็บความโมโหเอาไว้ เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “หากยังคิดที่จะรักษาสถานะฮูหยินแม่ทัพของเจ้าเอาไว้ และยังคิดถึงวันเวลาที่มั่งคั่งแล้ว ก็ระมัดระวังสักเล็กน้อย ทุกสิ่งอย่างที่เจ้ามีทุกวันนี้ แล้วแต่แย่งชิงมา ในเมื่อเป็นโจรขโมย ก็ควรเก็บหางทำตัวเป็นคนเสีย หากเจ้ายังกล้าไปยั่วยุนาง? ไม่รู้จักที่ตาย!” เมื่อเอ่ยจบแล้ว เซียวเซียวก็จากไปอย่างเย็นชา ในที่สุด จื่ออันก็ถือว่าฟังจนเข้าใจแล้ว งานแต่งงานในครั้งนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ล้วนแต่เป็นเพียงแค่ข้อตกลงกัน ทว่าทำไมถึงได้ทำข้อตกลงกัน? แล้วตกลงแลกเปลี่ยนอะไร? แล้วใครที่เป็นผู้กำหนดการตกลงครั้งนี้? หานชิงชิวทั้งเศร้าเสียใจ ทั้งโกรธ ร้องตะโกนใส่แผ่นหลังเซียวเซียว “ท่านจะต้องเสียใจ” นางลุกขึ้นยืน รั้งจื่ออันที่ต้องการจะเดินออกไป เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ท่านกลับไปบอกกับมู่หรงจ้วงจ้วง ให้นางรู้จักอายเสียบ้าง อย่าได้มาพบกับสามีของข้าอีก” จื่ออันยังไม่ทันได้เอ่ยออกมา มู่หรงเจี๋ยก็เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “เจ้าไม่กล้าจะบอกกับนางหรือ? เช่นนั้นก็ดี ข้าบอกแทนเจ้าเอง บอกออกไปให้องค์รักษ์เงาทุกนายที่มีอยู่ในจวนองค์หญิงได้ฟัง” หานชิงชิวคิดไม่ถึงเลยว่า
กุ้ยไท่เฟย องค์รัชทายาท ราชครู ฮองเฮา อ๋องหนานหวาย เฉินหลิงหลง เซี่ยหว่านเอ๋อร์ สนมรองซุน และยังมีพระสนมอี๋ท่านนั้น เพราะว่าเรื่องนั้นของพระสนมอี๋และองค์รัชทายาทนั้น นางรู้แล้ว จื่ออันแอบนับคนเหล่านี้อยู่ในใจ บ่นพึมพำและสาปแช่งออกมาลับ ๆ มายังที่นี่ได้ไม่นานนัก กลับสร้างศัตรูเอาไว้ไม่น้อย “ศัตรูเยอะเกินไปสินะ?” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยล้อเล่นออกมา จื่ออันหันกลับไปถามนาง “ศัตรูของท่านเล่า มีเยอะหรือไม่?” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมา “ข้าแทบจะไม่มีศัตรูเลย” “คนอื่นข้าไม่เอ่ยถึง องค์รัชทายาท ราชครู และฮองเฮาล้วนแต่เกลียดท่านเป็นอย่างมาก” “พวกเขาไม่นับว่าเป็นศัตรู เป็นตัวตลก” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย “ระวังตัวตลกพวกนี้ หากมันกระโดดขึ้นมาจริง ๆ แล้วจะเอาชีวิตคน” จื่ออันเอ่ย “เป็นห่วงข้าหรือ?” มู่หรงเจี๋ยมองยังนางเหมือนกับเด็กน้อย จื่ออันส่งเสียงออกมา “ห่วงท่านแล้วจะอย่างไร? ระหว่างสามีภรรยา หากว่ามีความสุขก็สุขด้วยกัน หากเจ็บปวดก็เจ็บปวดด้วยกัน ข้าเองก็หวังว่าท่านจะสบายดี และข้าเองก็จะได้มีชีวิตที่สงบสุข” “อืม ไม่คิดจะให้ข้าได้แต่งพระชายารองหรอกหรือ?” มู่หรงเจี๋ยยิ้มเย็นออกมา
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว