ไม่ต้องเอ่ยว่าเซี่ยจื่ออันคนเดียว แม้แต่จะเซี่ยจื่ออันหลายคน ก็ล้วนแต่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของงูเหล่านี้ คืนวานนี้ก็มีหญิงชรามาอีกหนึ่งคน นางบอกว่าเป็นหญิงชรา ทว่านางไม่อาจจะแน่ใจได้ เพราะว่าใบหน้านั้นถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าคลุม ทำได้เพียงมองเห็นเสื้อผ้าล้าสมัยที่สวมใส่อยู่ ทว่าหญิงสาวผู้นี้ค่อนข้างจะเย่อหยิ่ง วางท่าใหญ่โต เมื่อมาแล้วก็เล่นอยู่กับงูเหลือม โดยที่ไม่ทำงานใด ตกปลาล้วนแต่เป็นหญิงอีกคนหนึ่งที่เป็นคนทำ และก็ไม่เอ่ยอะไรกับนางออกมาก่อน ทำเพียงแค่ปรายตามองนางอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ไม่สนใจอะไรอีก วันหนึ่งหลังจากที่จื่ออันย่างปลาจนเสร็จแล้ว ได้นำไปให้กับป้าอาเฉอนั้น นางเหลือบมายังจื่ออันแล้วเอ่ยออกมา “นำไปให้ท่านผู้เฒ่า” ท่านผู้เฒ่าที่นางเอ่ยถึงนั้น ก็คือหญิงที่มาในภายหลัง จื่ออันทำได้เพียงแต่หยิบปลาแล้วเดินเข้าไป ท่านผู้เฒ่านั้นนอนเอนกายครึ่งตัวบนหาดทราย งูเหลือมตัวหนึ่งนอนอยู่ตรงส่วนศีรษะของนาง และนางใช้งูเหลือมตัวนั้นเป็นหมอนหนุน นางหวาดกลัวงูเหลือมตัวอวบอ้วนนั่นจริง ๆ จึงทำเพียงแต่เอ่ยออกไปจากที่ไกล “ท่านผู้เฒ่า กินปลากันเถิด” “อืม!” ท่านผู้เฒ่าเหลือบมองยังนางอย่างเรีย
จวนมหาเสนาบดี เมื่อดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าปรากฏเส้นเลือดสีแดงออกมานั้น มหาเสนาบดีเซี่ยก็ได้สั่งคนให้จับนางมัดเอาไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องมองมหาเสนาบดีเซี่ยด้วยความโกรธ ดิ้นรนออกมาไม่หยุด “ไม่ ข้ายังไม่ได้มีอาการกำเริบ เจ้าลูกอกตัญญู แม้แต่มารดาของเจ้าก็ยังกล้าทำให้ขุ่นเคือง? เจ้าไม่กลัวว่าฟ้าจะผ่าเอาหรืออย่างไร?” มหาเสนาบดีเซี่ยเอ่ยออกมาอย่างเศร้าใจ “ท่านแม่ ลูกไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านเป็นเช่นนี้ เพียงแต่จำเป็นต้องทำ หากไม่มัดท่านเอาไว้ เมื่อท่านมีอาการแล้วกระโจนออกไป ก็จะต้องถูกพาตัวไปยังพื้นที่ภัยพิบัติ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมาอย่างโกรธเคือง “เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่รีบไปตามหาเซี่ยจื่ออันกลับมา? ตามหานางกลับมาเสีย” มหาเสนาบดีไม่รู้ว่าเซียวท่าได้ใบสั่งยามาแล้ว และตอนนี้กำลังศึกษาสูตรยาอยู่บนเกาะวิปลาส มู่หรงเจี๋ยปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ หนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนชั่วร้ายมาทำลายเข้า สองเพื่อพุ่งเป้าไปยังนาง มหาเสนาบดีเซี่ยเอ่ย “ได้สั่งคนให้ออกไปตามหาแล้ว ตอนนี้ทางด้านจี้ชุนมีคนมากมายลงน้ำออกไปตามหานางกัน วัน ๆ หนึ่งมีเรือขนาดใหญ่ที่ออกไปมากกว่าสิบ แต่คาดว่านางคงจะตายไปแล้ว” และนี่ล้วน
ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปยังนาง “กรมอาญา? เจ้าไปทำอะไรที่กรมอาญา?” “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ท่านอ๋องออกคำสั่งให้กรมอาญาตรวจสอบเรื่องของโรคผีดิบ บ่าวไปยังกรมอาญา นำทุกอย่างที่รู้บอกออกมาจนหมด” ป้าชุ่ยยู่เอ่ยเย้ยหยันออกมา “แม้แต่เจ้าก็ยังหักหลังข้า?” ฮูหยินผู้เฒ่าอ้าปากค้าง จ้องมองไปยังป้าชุ่ยยู่อย่างไม่อยากเชื่อสายตา ใบหน้าของชุ่ยยู่ซีดขาว “ใช่แล้ว บ่าวเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมีวันหนึ่งที่จะต้องหักหลังท่าน และก็เหมือนกับบ่าวเช่นกัน ที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะทำร้ายคนในครอบครัวของบ่าว” “เจ้า......” ฮูหยินผู้เฒ่ากลอกตาไปมา จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “กระทำการใหญ่จะไม่สนใจเรื่องเล็ก ครอบครัวของเจ้าเองก็ไม่ได้ทำดีกับเจ้า หลายปีมานี้ เจ้าทำเพื่อพวกเขาไปมากเท่าไหร่ พวกเขาไม่เคยตอบแทนเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วจะมีอันใดให้น่าเสียดายกัน? แต่หลายปีมานี้ ข้าปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร ในใจของเจ้าชัดแจ้งดี?” “นี่เป็นความสัมพันธ์ในครอบครัว ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะไม่มีทางเข้าใจ ก็เหมือนกับที่ท่านทำกับคุณหนูใหญ่ ทำกับตานชิงเสี้ยนจู่เช่นนั้น ท่านเพียงแต่มองเห็นผลป
โหรวเหย๋าเสี้ยนจู่ตามออกมาถามจ้วงจ้วง “ตามหาจื่ออันพบแล้วหรือ?” จ้วงจ้วงส่ายศีรษะออกมา “ยัง ข้าเพียงแต่เอ่ยออกไปเช่นนี้กับนาง เพื่อให้นางตายไปอย่างไม่เต็มใจเท่านั้น” ดวงตาของโหรวเหย๋ามืดมน “ข้านึกว่าหาพบแล้ว” จ้วงจ้วงมองไปยังสถานการณ์อันน่าอนาถใจของหมู่บ้านศิลา “นางจะต้องกลับมา” มหาเสนาบดีเซี่ยประสบกับหายนะ พัวพันกับคดีทุจริตมากมาย ความมั่งคั่งของจวนมหาเสนาบดี ล้วนแต่แยกไม่ออกจากการทุจริตเหล่านี้ เมื่อกรมอาญาตรวจสอบลึกลงไป ก็ขุดพบกลุ่มผู้ทุจริตกลุ่มใหญ่ และขุนนางกลุ่มนี้ ในตอนที่มหาเสนาบดีเซี่ยร่วมกันกับราชครูเหลียงนั้น ต่างก็ถูกแนะนำให้กับราชครูเหลียงทีละคน สามารถเอ่ยได้ว่า มหาเสนาบดีล้มลง คนกลุ่มนี้ก็พากันติดตามราชครูเหลียงแทน ราชครูเหลียงมองไปยังมหาเสนาบดีเซี่ย ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เขาเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงของคน มาตอนนี้เขาได้รับเส้นสายเหล่านั้นแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องละทิ้งการใช้ประโยชน์จากมหาเสนาบดีเซี่ย ไม่จำเป็นต้องเก็บรักษาเอาไว้อีก และที่เขาได้ใจมากนั้น ถึงแม้ว่าโรคผีดิบที่ทำให้ราชสำนักเกิดความวุ่นวายขึ้นนั้นจะถูกมู่หรงเจี๋ยจัดการเอาไว้ได้ แต่เขาก็ยังได้คนม
หวงไท่โฮ่วยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าข้าจะมีเรื่องอันใดหรอก เพียงแต่ว่าข้ามาเพื่อประกาศพระราชเสาวนีย์” “พระราชเสาวนีย์? เป็นพระราชเสาวนีย์ของใครกันพ่ะย่ะค่ะ?” มู่หรงเจี๋ยตะลึงเล็กน้อย บรรดาขุนนางเองก็พากันมองหน้ากัน เป็นพระราชเสาวนีย์ของหวงไท่โฮ่วเอง หรือว่าฝ่าบาทฟื้นขึ้นมากันแล้วนะ? หวงไท่โฮ่วบีบพระหัตถ์ แล้วทรงตรัสออกมากับซุนกงกง “ประกาศพระราชเสาวนีย์เถิด!” ซุนกงกงเดินก้าวมายังเบื้องหน้า เปิดพระราชเสาวนีย์ที่อยู่ในมือออกมา แล้วค่อย ๆ อ่านออกมาให้กับเหล่าขุนนางฟัง “ใต้เท้าทุกท่าน เหล่านายน้อยทุกท่าน ข้าออกจากเมืองหลวงมาจนถึงวันนี้ เป็นเวลาสามสี่ปี หรือห้าหกปีแล้ว หรืออาจจะสิบกว่ายี่สิบกว่า ข้าชราแล้วเริ่มที่จะสับสนจำได้ไม่ชัดเจน แต่ใต้เท้าทุกท่าน หากยังจำข้าได้ ในสามวันถัดมา ก็ขอให้ไปยังจวนผู้สำเร็จราชการแทน ร่วมอวยพรและแสดงความยินดีกับงานอภิเษกสมรสของหลานชายข้ามู่หรงเจี๋ย เพราะเวลากระชั้นชิดนั้น พิธีอภิเษกไม่ได้จัดเตรียมพร้อมมากนัก เหล้าอาหารมีเพียงเล็กน้อย ขอใต้เท้าทุกท่านมาพร้อมกับของขวัญและใจที่ไม่รังเกียจ เพื่อร่วมดื่มเหล้า จบพระราชเสาวนีย์!” เมื่อพระราชเสาวนีย์นี้ถูกป
มู่หรงเจี๋ยรู้ว่าที่หวงไท่โฮ่วตรัสออกมานั้นล้วนแต่เป็นเรื่องจริง ทว่าเขาไม่มีทางที่จะแต่งงานในตอนนี้ “เสด็จแม่ไม่จำเป็นต้องตรัสแล้ว หากว่าบรรพชนต้องการจะบีบบังคับ ข้าก็จะไปจากเมืองหลวงเสีย ทิ้งความวุ่นวายเอาไว้ ให้นางผู้ชรากลับมาจัดการเอง” เมื่อเอ่ยออกมาจบแล้ว ก็เดินจากไป หวงไท่โฮ่วยิ้มขมขื่นออกมา “เจ้าเด็กคนนี้ ดื้อรั้นยิ่งนัก!” ซุนกงกงเอ่ยออกมาด้วยความเป็นกังวล “ไม่รู้ว่าทำไมบรรพชนท่านถึงได้มีพระราชเสาวนีย์เช่นนี้? ต้องการจะแต่งกับคนเช่นไร ก็ไม่ทรงตรัสออกมาให้กระจ่าง ช่างทำให้คนเป็นกังวลเสียจริง” "ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? นางเองก็ไม่ได้ใส่ใจต่อราชสำนักมานานหลายปีแล้ว เกรงว่านางคงจะใช้ชีวิตสุขสบายจนเกินไป ก็เลยคิดจะกลับมาหาอะไรทำ ทั้ง ๆ ที่นางเองก็รู้จักนิสัยของอาเจี๋ยดี แล้วจะไปบีบบังคับเขาได้อย่างไร? จริง ๆ เลย” หวงไท่โฮ่วทรงบ่นออกมา เกาะเล็กนอกเมืองเปี๋ยเหลียง จื่ออันคิดหาวิธีหลบหนีอยู่ทุกวัน นางติดอยู่ที่นี่เกือบจะสิบวันแล้ว บนเกาะนั้นมีน้ำจืดให้อาบ แต่ก็ไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ เสื้อผ้าบนกายนาง ไม่ได้เปลี่ยนมาเป็นเวลาสิบวันแล้ว นางยังได้กลิ่
ท่านผู้เฒ่ายังคงนั่งอยู่บนหาดทราย ใบหน้าปกคลุมไปด้วยผ้าผืนบาง สายตากวาดมอองบนใบหน้าจื่ออันอย่างแผ่วเบา กวักมือเรียกป้าอาเฉอไปนั่งข้างกายโดยที่ไม่สนใจนางอีก ดูเหมือนต้องการจะพูดคุยกัน จื่ออันต้องการเอียงตัวเข้าไปฟัง ป้าอาเฉอขว้างส้อมมาให้นางก่อนจะเอ่ย “ไปตกปลา” จื่ออันหยิบส้อมขึ้นมา เดินไปข้างหน้าได้สองสามก้าว จู่ ๆ ก็หันศีรษะกลับมา แล้วโยนส้อมลงบนพื้นอย่างแรง เอ่ยออกมาอย่างโกรธจัด “พวกท่านพอแล้วหรือยัง ข้าอดทนมานานมากพอแล้ว ตกลงแล้วพวกท่านเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงต้องขังข้าเอาไว้ที่นี่ด้วย?” “ไปตกปลาซะ!” ป้าอาเฉอเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ข้าจะตีพวกท่านซะ หากว่าพวกท่านยังไม่ปล่อยข้าไป หากคู่หมั้นของข้ารู้เข้า จะต้องไม่ปล่อยพวกท่านไปแน่” จื่ออันเสียสติไปแล้ว สบถคำด่าหยาบคายออกมา ช่างน่ารำคาญเกินไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีบุญคุณช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจลักพาตัวนางเพื่อไปแต่งงานกับคนโง่ได้ “คู่หมั้นของนางมีที่มาใหญ่โตอย่างนั้นหรือ?” ท่านผู้เฒ่ามองไปยังป้าอาเฉอ ก่อนจะเอ่ยถามออกมา ป้าอาเฉอเอ่ย “ถือว่าใหญ่โต เป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทน” จื่ออันอ้าปากค้างออกมา พวกนางรู้? ตกลงแล้วพวกพวกนางเป็นใ
ความรู้สึกทางการเมืองของเธออ่อนไหวกว่าใคร อีกทั้งกายยังอาศัยอยู่ในวัด สิ่งที่นางมองเห็นนั้นสูงกว่าผู้มีอำนาจเหล่านั้นอยู่มาก นางเองก็ไม่คิดที่จะเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องในราชสำนักอีกแล้ว ทว่าตั้งแต่ที่เกิดโรคผีดิบขึ้น เซี่ยจื่ออันในตอนนี้มีชื่อเสียงที่ดีไปทั่วทั้งเมืองหลวง นางจะต้องจัดการให้ทั้งสองคนแต่งงานกันให้จงได้ ชื่อเสียงของเซี่ยจื่ออันนั้นสามารถช่วยเหลือมู่หรงเจี๋ยทำให้ราชสำนักมั่นคง มีเพียงราชสำนักมั่นคงแล้ว ถึงจะจัดการกับศัตรูภายนอกได้ การแย่งชิงอำนาจขององค์จักรพรรดินั้นเป็นเพียงปัญหาภายในเท่านั้น ภัยคุกคามที่ใหญ่กว่านั้นคือ แคว้นต่าง ๆ ที่อยู่รอบทิศ โดยเฉพาะเป่ยโม่ที่เพิ่งจะลงนามสงบศึกไป อ๋องฉีจะยืนหยัดต่อจักรพรรดิเป่ยโม่ที่ต้องการจะรุกรานทางใต้ได้หรือไม่? เกรงว่าคงจะไม่ได้ การต่อสู้ในครั้งนี้คงจะยากที่หลีกเลี่ยงได้แล้ว นางอยากจะฆ่ากุ้ยไท่เฟยไปเสียจริง แต่ถูกสถานะของตระกูลหลงควบคุมเอาไว้ นางไม่อาจที่จะฆ่าคนได้ตามใจชอบ โดยเฉพาะคนในตระกูลราชวงศ์ “เจ้าเจ็ดหากว่าไม่เห็นด้วย ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อ?” ป้าอาเฉอเอ่ยถาม หลงจ่านเหยียนเอ่ย “เจ้าไปบอกเขาด้วยตัวเองสักรอบ บอกว่าหากเข
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว