หากว่าเป็นเช่นนี้แล้วนั้น ก็คงจะไม่อาจล่วงเกินสกุลหูได้จริง ๆเมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้ ฮองเฮาจึงได้ให้คนส่งจดหมายให้แก่ราชครู ให้กรมอาญาจัดการอย่างเป็นกลางทางด้านกรมอาญา เมื่อได้รับคำสั่งลงมาแล้วนั้น แน่นอนว่าต้องจัดการลงไปอย่างยุติธรรม เรื่องนี้จึงจำต้องส่งมอบกลับไปยังจิงจ้าวหยิ่นที่ศาลาว่าการเมื่อดูไปดูมาแล้ว ลองมองกลับไปยังทางด้านของใต้เท้าเหลียง ใต้เท้าเหลียงนั้นปิดบังใบหน้าเอาไว้ ก่อนจะส่งเสียงร้องออกมากูไหน่หน่ายทั้งสองท่านล้วนมิอาจล่วงเกินได้ เซี่ยหว่านเอ๋อมีจวนมหาเสนาบดี สกุลหูมีทรัพย์สมบัติที่มั่งคั่งยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่คิดอย่างรอบคอบ จึงได้เอ่ยออกมาว่า “ใต้เท้า ใยท่านจะต้องคิดให้มากมายเช่นนี้? ไม่ใช่บอกว่าจะจัดการอย่างเป็นธรรมไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็จัดการอย่างเป็นธรรมเถิด ท่านก็ทำตามพระราชเสาวนีย์เถิด”ใต้เท้าเหลียงถูกผู้เชี่ยวชาญเอ่ยดึงสติเอาไว้ เมื่อดูจากการกระทำแล้ว สำหรับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องนั้น ทำร้ายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ แต่อาการไม่ร้ายแรง จะต้องตัดสินให้จำคุกห้าสิบวันจิ้นกั๋วกงได้มาหามหาเสนาบดีเซี่ย พร้อมทั้งเอ่ย “ข้าได้ทำไปสุดความสามารถแล้ว ก่อนหน้า
มหาเสนาบดีเซี่ยมองบาดแผลบนใบหน้านาง ถึงแม้ว่าจะดูน่าเบื่อน่ารำคาญ แต่กลับเชื่อคำพูดนางอยู่หลายส่วนหรือว่าหูฮวนสี่นั้นทุบตีนางเข้าจริง? แต่ว่าตามที่ทางด้านกรมอาญา และจิ้งจ้าวหยิ่นส่งมอบคำให้การของชาวบ้านมานั้น เรื่องราวในครั้งนี้นั้นไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นมาได้ อีกทั้งหูฮวนสี่นั้นก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยยังมีอีกจุดจุดหนึ่ง หูฮวนสี่ทำไมถึงได้ทำเยี่ยงนี้ นอกเสียจากว่า นางเองก็อยากที่จะเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท ดังนั้นจึงได้วางแผนการทำทุกอย่างเพื่อที่จะทำลายงานอภิเษกขององค์รัชทายาทและเซี่ยหว่านเอ๋อเมื่อคิดมาจนถึงจุดนี้ เขาจึงได้เอ่ยออกมา “เจ้านำลำดับก่อนหลังของเรื่องราวที่เกิดขึ้น เอ่ยออกมาอีกครั้ง มิอาจปิดบังได้แม้แต่น้อย ไม่งั้นพ่อเองก็คงจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว”เซี่ยหว่านเอ๋อห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลลงมา จำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นว่า ได้อาศัยช่วงเวลาที่องค์รัชทายาทออกไปแล้วตบหน้าหูฮวนสี่ต่อหน้าผู้คนอย่างไร อีกทั้งเรื่องที่ดุด่านางไปอย่างไรก็เอ่ยออกมาจนหมดสิ้น แม้เมื่อจากไปแล้ว ได้กีดขวาง ตบตีหูฮวนสี่อย่างไร ก็เอ่ยออกมาจนหมด และครั้งนี้ก็ไม่ได้มีการป
กลับเป็นใบหน้าของตาวเหล่าต้าที่แดงก่ำขึ้นมาอย่างกะทันหัน“เป็นอย่างไรบ้าง? มีกิริยาอะไรตอบกลับมาบ้าง?” จื่ออันไม่มีวิธีที่จะใช้เข็มทยานเข้าไปในสมองของเขาภายในอึดใจเดียว แต่ว่ารู้สึกได้ว่าเมื่อถึงจุดเฟิงซือนั้น ตาวเหล่าต้านั้นมีอาการบางอย่างที่แปลกประหลาดขึ้น“กิริยาตอบกลับหรือขอรับ…” ตาวเหล่าต้าเอียงศีรษะคิดอยู่ครู่หนึ่ง มีความรู้สึกว่าไม่รู้จะเริ่มอธิบายขึ้นมาได้อย่างไรดี“เจ้าเอ่ยออกมาตามตรงก็พอแล้ว” จื่ออันนั่งอยู่ตรงหน้าเขา แล้วเอ่ยถามตาวเหล่าต้าส่งเสียงเอ่อออกมา เอ่ยออกมาด้วยความเขินอาย “ข้าต้องการแม่นางคนหนึ่ง"“หาแม่นาง? หาแม่นางอะไรกัน?” จื่ออันตกตะลึงไปชั่วขณะ“ก็คือไปหาแม่นางสักคน แม่นางที่ต้องมอบเงินให้ไป” ตาวเหล่าต้าเอ่ยออกมาแล้วรู้สึกว่าช่างน่าอับอายนัก แต่ว่าคุณหนูใหญ่บอกมาแล้วว่าจะต้องเอ่ย ถึงกิริยาตอบกลับของร่างกายโดยตรง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะปิดบังจื่ออันมองมายังเขาด้วยความตกตะลึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะทั้งน้ำตา เข็มทยานนี้กลับส่งผลเช่นนี้ด้วยหรือ?มิน่าเล่าวันนั้นที่ซูชิงทำการทดสอบ ซูชิงถึงได้มีท่าทีแปลกประหลาด“ค่ำนี้ข้าไม่กินข้าว ไม่ต้องเรียกข้าแล้ว” จื
หวงไท่โฮ่วเมื่อได้ฟังคำประโยคนี้ ในใจนั้นก็รู้สึกแย่เป็นอย่างมาก “จิ้นกั๋วกง คำพูดนั้นเอ่ยออกมาเยี่ยงนี้ไม่ผิดนัก แต่ทว่า หากว่าต้องการจะเผาทำลายหมู่บ้านนั้นทิ้ง ก็จะหมายถึงว่าจำต้องเผาทำลายชีวิตของชาวบ้านในหมู่บ้าศิลาหลายร้อยชีวิต มีบางคนที่เป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ พวกเขายังมิได้ติดโรคร้ายนี้”จิ้นกั๋วกงเอ่ยตอบกลับในทันที “หวงไท่โฮ่ว หากว่าต้องเผาทำลายชีวิตผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ ผู้ใดก็ไม่ยินยอม แต่แล้วจะมีวิธีการใดอีก? จนถึงทุกวันนี้ หมอหลวงและสำนักฮุ้ยหมินยังคิดถึงวิธีการรับมือกับโรคระบาดในครั้งนี้ไม่ได้ ราษฎรต่างก็เริ่มที่จะมีการคาดเดากันแล้วว่า นี่ไม่ใช่โรคระบาดอะไรทั้งนั้น แต่เป็นผีสาง ว่าเป็นเพราะสวรรค์กำลังลงทัณฑ์ต้าโจวอยู่ คำพูดซุบซิบเหล่านี้หากว่าแพร่ออกไปในทุกท้องที่แล้ว จะต้องทำให้เกิดความโกลาหลในหมู่ราษฎรเป็นแน่ หากว่ามีผู้ที่ใจคิดการใหญ่จะต้องอาศัยช่วงโอกาสนี้ลงมือเป็นแน่ ทำลายขุนเขาของต้าโจวทิ้งเสีย เมื่อถึงตอนนั้น ขุนเขาของตระกูลมู่หรงก็จะอันตรายแล้ว”ราชครูเหลียงเองก็ไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ จึงได้เอ่ยออกมา “หวงไท่โฮ่ว หม่อนฉันก็เห็นด้วยกับวิธีการที่จิ้นกั๋วกงเอ่ยออกมาพ่ะย่ะ
มหาเสนาบดีเซี่ยตกตะลึงไปอยู่ชั่วขณะ เอ่ยออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เจ้า คำพูดนี้ไปฟังมาจากผู้ใดเอ่ยกัน? ไม่มีอะไรทั้งนั้น บุตรสาวข้านั้นเป็นเพียงสตรีที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน จะไปรู้ทักษะทางการแพทย์ได้เยี่ยงไรกัน?”จิ้นกั๋วกงส่งเสียงฮึมฮัมแล้วเอ่ย “มหาเสนาบดีเซี่ยอย่าได้ถ่อมตนไปเลย เซี่ยจื่ออันนั้นรักษาโรคลมบ้าหมูของอ๋องเหลียงจนหายดี แม้แต่ท่านเองที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายในเพียงระยะเวลาสั้นก็สามารถรักษาจนหายได้ นี่ไม่ใช่หลักฐานที่ว่าทักษะทางการแพทย์ของนางนั้นสูงส่งหรอกหรือ?”หวงไท่โฮ่วเมื่อได้ฟังคำนี้ ก็ยินดียิ่งนัก มองมายังมหาเสนาบดีเซี่ย “อ้ายชิง จื่ออันนั้นรู้วิธีการรักษาโรคระบาดนี้หรือไม่?”มหาเสนาบดีเซี่ยแสดงท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ทูลคำของหวงไท่โฮ่ว นางจริง ๆ แล้วเคยเอ่ยว่ามีความเข้าใจอยู่บ้าง แต่ว่าก็เป็นเพียงความเข้าใจเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่เข้าใจไปทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”“จริงรึ? นางเอ่ยออกมาเยี่ยงนี้จริง ๆ รึ?” หวงไท่โฮ่วเอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นเต้นมหาเสนาบดีเซี่ยผงกศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะ”ราชครูเหลี่ยงกลับเอ่ยออกมา “มหาเสนาบดี นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะมาแก่งแย่งชิงดีกัน อย่าได้พู
ดังนั้นทุกคนจึงต่างพากันคิดว่าเขานั้นไม่ได้สนใจ เป็นแค่การกระทำใหญ่โตที่ทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวก็เท่านั้นเขามองไปยังฝูงชนทั้งหลาย แล้วจึงค่อย ๆ เอ่ยออกมาว่า “ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคจนถึงทุกวันนี้ มีผู้คนมากกว่าหนึ่งรายที่ตายลงเพราะโรคนี้ ทั่วทั้งท้องตลาดต่างก็มีการคาดเดาเกี่ยวกับโรคนี้มากมายนัก โดยบอกว่าเป็นการลงทันฑ์ต้าโจวจากพระเจ้า จึงทำให้เกิดโรคระบาดขึ้นบนโลกนี้ ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการพูดจาไร้ราสะ แต่ก็หมายถึงเสียงที่ดังมาจากราษฎร ตอนนี้ราษฎรในเมืองหลวงนั้นมีความต้องการที่จะหลีกหนีจากเมืองหลวงไป คนเหล่านี้ไม่ว่าไปที่ใด ก็จะนำเอาความตื่นตระหนกนี้ติดตามไปด้วย จิ้นกั๋วกงที่เสนอให้มีการเผาหมู่บ้านทิ้ง เป็นหนึ่งในวิธีการควบคุมโรคระบาด แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีนัก ส่วนคำของมหาเสนาบดีเซี่ยนั้น วิธีการที่ดีที่สุดคือการหาวิธีการรักษาโรคระบาดนี้”ราชครูเหลียงเอ่ยออกมา “ถ้าเช่นนั้น ท่านอ๋องเห็นด้วยที่จะให้เซี่ยจื่ออันไปยังพื้นที่ภัยพิบัติหรือพ่ะย่ะค่ะ?”มู่หรงเจี๋ยมองมายังราชครู “หากว่าเซี่ยจื่ออันมีความสามารถที่จะออกใบสั่งยาเพื่อควบคุมโรคได้ ทำไมข้าถึงจะไม่ยินยอมกันเล่า?”ราชครูเอ่ย “กระหม่อม
“หากว่าไม่ใช่คนของกรมอาญาแล้ว ผู้ใดจะสามารถอ่านข้อกฎหมายได้?” หวงไท่โฮ่วจึงได้วางใจลงได้เป็นดั่งคำที่นางเอ่ยออกมา นางนั้นไม่ได้สนใจว่าเซี่ยจื่ออันนั้นจะเป็นหรือตาย นางเพียงแต่กังวลว่ามู่หรงเจี๋ยจะพลาดความสุขในชีวิตไปนางรู้ดีว่าอาเจี๋ยนั้นทุ่มเทไปมากเพียงใดเพื่อราชวงศ์ต้าโจว จึงอดไม่ได้ที่ร้องเรียกเขาด้วยความรู้สึกผิดพระราชโองการก็ประทานลงมาเยี่ยงนี้ มหาเสนาบดีเซี่ยเซ็นชื่อและประทับลายนิ้วมือ ใช้ตำแหน่งของเขาและชีวิตของเซี่ยจื่ออันมาเป็นประกัน ภายในครึ่งเดือนนี้ หากว่าเซี่ยจื่ออันไม่มีวิธีที่จะออกใบสั่งยาเพื่อควบคุมโรคนี้แล้ว ก็จะต้องทำตามในพระราชโองการนี้หลังจากที่ราชการเสร็จสิ้นแล้ว มหาเสนาบดีเซี่ยจึงได้หยุดราชครูเหลียงเอาไว้ใบหน้าเขาดูมืดมนลง “ราชครู นี่หมายความว่าอย่างไรกัน? ข้านั้นคิดว่า พวกเราก่อนหน้านั้นต่างก็พูดคุยกันดีแล้ว จิ้นกั๋วกงเอ่ยเรื่องนี่ออกมา ข้าจะใช้ชีวิตของเซี่ยจื่อเพื่อขอพระราชโองการ ท่านให้องค์รัชทายาทลากข้าไปด้วยเพื่ออะไรกัน?”ราชครูนั้นใบหน้าดูรู้สึกผิด “มหาเสนาบดีเซี่ยเข้าใจผิดแล้ว ข้านั้นไม่ได้มีความหมายเช่นนี้เป็นแน่ ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะองค์รัชทายาท
ในขณะเดียวกันนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนมหาเสนาบดีก็ได้สั่งให้คนคอยแพร่กระจายข่าว เซี่ยจื่ออันนั้น ต่อหน้าราชสำนักได้รับพระราชโองการมา ภายในครึ่งเดือนนี้ จะทำการจ่ายใบสั่งยารักษาโรคระบาดนี้ให้แก่ผู้ป่วยแต่ว่าภายในข่าวลือนั้นไม่ได้เอ่ยถึงว่ามหาเสนาบดีเซี่ยใช้ตำแหน่งเป็นประกันข่าวลือนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นเหมือนการวางระเบิดไว้ในเมืองหลวง ทำให้บรรยากาศอันเงียบงันของเมืองหลวงนั้นลุกฮือขึ้นมาอีกครั้งถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นั้นจะมีข่าวลืออกมาโดยตลอดว่า เซี่ยจื่ออันสามารถที่จะรักษาโรคระบาดนี้ได้ แต่ว่าผู้คนสวนมากเพียงแต่เล่าลือกัน ไม่ได้เชื่อแต่อย่างใด เพราะว่าผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิได้จัดส่งแพทย์ของสำนักหมอหลวง และสำนักฮุ้ยหมินไปยังหมู่บ้านศิลามาแล้ว ต่างก็ไม่มีวิธีการที่จะรักษาได้ บวกกับที่มีประกาศจากราชสำนักแล้ว ก็มีแพทย์จำนวนมากไปยังที่นั่นด้วยตนเอง แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จกลับมามาวันนี้เซี่ยจื่ออันรับพระราชโองการ ใช้ชีวิตของตนเองเป็นประกัน จึงทำให้ความน่าเชื่อถือนี้เป็นไปได้มากขึ้น ราษฎรที่มีใจจะจากเมืองหลวงไปนั้น ต่างก็รั้งรอคอยดูอยู่ด้วยความหวัง อย่างน้อย ก็ยังไม่เร่
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว