มหาเสนาบดีเซี่ยส่ายหัว "ไม่ ท่านแม่ บางครั้งสถานการณ์ก็ตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลง ระหว่างนี้อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันมากมาย มันไม่มีทางคาดเดาได้ พวกเราต้องควบคุมจำนวนคนที่ติดเชื้อ ไม่ให้ออกไปแพร่เชื้ออีก""ตอนนี้พวกเราควบคุมมันไม่ได้แล้ว ตั้งแต่ที่ปล่อยเชื้อไว้ที่จุดหนึ่ง พวกเราก็ไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป เจ้าก็อย่าได้กังวลมากนัก เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ดำเนินตามแผนการไปก็พอ คนระดับล่างตายไปไม่กี่คน ไม่ต้องเอามาใส่ใจ "มหาเสนาบดีเซี่ยรู้สึกว่ามันไม่เข้าท่าเลย หลังจากเรื่องนี้คลี่คลายลงแล้ว หากมีคนตามสืบขึ้นมา ก็อาจจะสืบสาวมาถึงตัวตนเองได้"ถ้าถูกตามสืบเล่า?"ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ "ตามสืบก็สืบไม่ถึงตัวของเจ้าหรอก หมอจากสำนักฮุ่ยหมิน ถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว คนที่เป็นต้นตอของเชื้อที่เขาพากลับมาด้วยก็ตายแล้ว ใครจะสืบมาถึงตัวเจ้าได้”มหาเสนาบดีเซี่ยคิดแล้วคิดอีก จากนั้นก็กัดฟันพูดออกไป "จะทำการใหญ่ให้สำเร็จ ต้องไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่ควรห่วงหน้าพะวงหลังเลยจริง ๆ""เจ้าคิดเช่นนี้เป็นเรื่องที่ถูกแล้ว รอดูกันต่อไปก็แล้วกัน ทิศตะวันออกของเมืองหลวงให้ปล่อยคนติดเชื้อเข้าไปอีก ทั้งสี่จุดก็ครบหมดแล
เฉินหลิวหลิ่วส่งจดหมายให้หูฮวนสี่แล้วนางอ่านจดหมาย พับแล้วก็วางไว้บนโต๊ะ เงยหน้ามองเฉินหลิวหลิ่ว "เซี่ยจื่ออันมั่นใจเหรอว่าจะจัดการกับโรคผีดิบนี้ได้?"เฉินหลิวหลิ่วกล่าว "เรื่องนี้ข้าไม่รู้ นางไม่ได้บอก"หูฮวนสี่พยักหน้า "ดี เจ้ากลับไปบอกนาง ข้าช่วยนางได้ แต่ก็ต้องขอให้นางทำตามในจดหมายนี้ด้วย ใช้ความดีความชอบที่ได้รับในครั้งนี้เพื่อช่วยข้า""เจ้าวางใจเถิด นางทำได้แน่นอน" เฉินหลิวหลิ่วกล่าวหูฮวนสี่เหลือบมองนางเล็กน้อย "จดหมายฉบับนี้ เจ้าอ่านแล้วเหรอ?""เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!" เฉินหลิวหลิ่วกล่าวอย่างโมโห "ข้าจะแอบอ่านจดหมายของพวกเจ้าได้อย่างไร?""จดหมายเคยถูกเปิดมาก่อน" หูฮวนสี่นั่งพิงบนเก้าอี้ไม้โบราณ ดวงตาฉายแววความหลักแหลมเฉินหลิวหลิ่วกล่าวอย่างประหลาดใจ "จริงเหรอ? ถูกเปิดมาก่อน? ข้าไม่ได้ทันได้สังเกต"หูฮวนสี่จ้องนางอยู่สักพัก "หลานสาวของเฉินไท่จวินใช่หรือไม่? อืม ข้าไว้ใจเหล่าไท่จวินได้ ก็ย่อมจะไว้ใจหลานสาวของนางได้เช่นกัน"เฉินหลิวหลิ่วกล่าวอืมอย่างสุภาพ "เช่นนั้นข้าจะกลับไปแจ้งจื่ออัน ว่าการสมคบคิดกันของพวกเจ้าก็เป็นไปตามนี้"หูฮวนสี่ยิ้มขึ้นมา "สมคบคิดกัน? ดีมาก
คำพูดของตาวเหล่าต้าได้ทำให้จื่ออันได้ฉุกคิดขึ้นมาในทันทีนางลุกขึ้นอย่างกะทันหัน "เจ้ารีบไปยังลานนอกเมือง ดูว่ามีใครอยู่บ้าง และถามดูว่าให้หนี่หรงมาหาข้าที่นี่ได้ไหม"ตาวเหล่าต้ารับคำสั่ง "ขอรับ!"เมื่อตาวเหล่าต้าไปถึงชานเมือง ก็เห็นว่าเซียวท่าคอยเฝ้าระวังที่นั่นไว้อยู่ พอได้ยินว่าจื่ออันไม่ได้ออกจากเมืองหลวงไป ทั้งยังพักอยู่ที่เรือนเล็กของตระกูลเฉิน ก็โมโหมาก "เฉินหลิวหลิ่วบอกว่าจะพานางออกไปเองมิใช่หรือ? ท่านอ๋องก็มีคำสั่งลงมาแล้ว ให้คุณหนูใหญ่ของเจ้าออกจากเมืองหลวงไป นางไม่ไปเพราะต้องการให้มีคนตายเพิ่มอีกถึงจะพอใจใช่หรือไม่?"ตาวเหล่าต้ารู้สึกไม่พอใจเซียวท่าที่พูดทำนองนี้มาตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว ตอนนี้พอได้ยินเขายังพูดแบบนี้อีก จึงชักแส้ออกมาเสียงดังวืด "หากยังด่าคุณหนูใหญ่อีกล่ะก็ข้าจะสู้ตายกับเจ้า"เซียวท่ามองบน "เจ้าเด็กโง่!"ตาวเหล่าต้ากล่าว "เจ้าด่าข้าได้ แต่ว่าจะด่าคุณหนูใหญ่ไม่ได้"หนี่หรงเดินออกมา "คุณหนูใหญ่ต้องการให้ข้าไปหาใช่หรือไม่?"เขาก็อยู่ที่นี่ด้วยและได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกัน"ใช่ คุณหนูใหญ่บอกว่าต้องการคิดค้นสูตรยาเพื่อรักษาโรคผีดิบ ดังนั้นจึงให้ข้ามาเชิญท่านไป
หลังจากจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เซียวท่าจึงเข้าไปแจ้งมู่หรงเจี๋ยว่าจื่ออันยังไม่ได้ออกจากเมืองหลวง มู่หรงเจี๋ยจึงโกรธมาก"เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ในที่ประชุม มีคนเสนอขึ้นมาว่า ได้ยินข่าวลือว่าเซี่ยจื่ออันสามารถรักษาโรคผีดิบนี้ได้? หลักจากที่ข่าวนี้แพร่ออกไป จะมีคนมากมายเท่าไหร่ที่จะบีบบังคับให้ข้าออกคำสั่งให้นางไปยังเขตที่มีการระบาด?""มีข่าวนี้แพร่ออกมา? ใครเป็นคนแพร่ข่าวกัน? นี่เป็นการทำร้ายนางชัด ๆ?" เซียท่าตกใจมาก"จะมีใครอีกเล่า? ใครเป็นคนก่อเรื่องนี้ก็คนนั้นนั่นแหละที่เป็นคนปล่อยข่าว” เห็นได้ชัดว่ามู่หรงเจี๋ยโกรธมาก และเหนื่อยล้ามากเช่นกัน แค่จัดการกับความตื่นตระหนกกับการคาดเดาของขุนนางเหล่านั้น ก็ทำให้จะบ้าตายอยู่แล้ว นี่ยังมีข่าวลือแพร่ออกมาอีก"เป็นเฉินไท่จวินที่เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ ให้เฉินหลิวหลิ่วพาตัวนางไป อีกทั้งเฉินไท่จวินก็ทราบข่าวมาว่า มีคนซุ่มโจมตีอยู่ตลอดทาง ดังนั้นจึงออกจากเมืองหลวงไปไม่ได้"มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างโมโห "ในเมื่อข้าเตรียมการให้นางไป ก็ย่อมจะตระหนักถีงจุดนี้ ทางนั้นส่งคนมาซุ่มโจมตีตลอดทาง ข้าเองก็เตรียมคนไว้ต่อสู้กับมือสังหารเหล่านั้นไว้แล้วเหม
ซูชิงชะงักไปเล็กน้อย "เซียวท่า เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?"เซียวท่าเหลือบมองเขาเล็กน้อย แล้วหัวเราะเยาะ "มันไม่ชัดเจนหรืออย่างไร? ซูชิงผู้ที่ชอบคนบ้า เฉินหลิวหลิ่วหญิงสาวผู้ฟั่นเฟือน เจ้าไปมาหาสู่กับนางบ่อย ๆ มิใช่หรือ?" ซูชิงกล่าว "ดูแล้วคนที่บ้าน่าจะเป็นท่านมากกว่ากระมัง? นี่มันก็ถือเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ? เจ้าจะดึงเฉินหลิวหลิ่วเข้ามาเกี่ยวข้องทำไม? ช่วงนี้นางก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับเจ้านี่?"มู่หรงเจี๋ยมองดูพวกเขาอย่างไม่สบอารมณ์ "พอแล้ว หากพวกเจ้าทั้งสองไม่อยากฟัง ก็ไสหัวออกไปให้พ้นหน้าข้าซะ!"ซูชิงเงียบปาก แต่เหลือบมองเซียวท่าอย่างดุร้ายเล็กน้อย เซียวท่าก็มองกลับไปเช่นกัน ใครไม่มีตาบ้าง จริง ๆ เลยเชียว!มู่หรงเจี๋ยกล่าวถามต่อไป "พบอะไรที่เกาะวิปลาสนั่นอีกบ้าง?"ทหารองครักษ์กล่าวตอบ "กระหม่อมไม่พบสิ่งใดที่ผิดปกติเลยพ่ะย่ะค่ะ คนบ้าจากตระกูลหลิวก็ถูกขังแยกไว้ต่างหาก เพราะเขามีพฤติกรรมก้าวร้าวมาก ทหารรักษาการณ์บอกว่าในหนึ่งเดือนอาการบ้าของเขาจะกำเริบขึ้นมาสองสามครั้ง หากหาคนระบายไม่ได้ในตอนที่อาการกำเริบ เขาก็จะกระแทกกรง""ไม่มีอาการที่จะกัดคนเลยเหรอ?" ซูชิงรีบกล่าวถามท
สำนักสืออ้ายหย่วน เป็นหน่วยงานการกุศลที่ก่อตั้งมาเพื่อประชาชนโดยทั่วไป ผู้ริเริ่มก็คือนายท่านผู้เฒ่าของตระกูลหูตอนนี้หลังจากที่หูฮวนสี่ดูแลกิจการทั้งหมดของตระกูลหู สำนักสืออ้ายหย้วนก็อยู่ในอำนาจการดูแลของนางนางจงใจนัดหมายองค์รัชทายาทให้ไปพบกันที่สำนักสืออ้ายหย้วน เพราะว่าที่นี่ข่าวลือจะแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วเสมอสำนักสืออ้ายหย้วนตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวง รอบด้านล้อมรอบไปด้วยที่พักอาศัย ซึ่งเป็นที่ ๆ คนยากจนพักอาศัยอยู่ คนเหล่านี้มีทั้งทำงานเป็นจับกังที่ท่าเรือ เป็นลูกน้องในโรงเตี้ยมขนาดใหญ่ และไม่ก็ไปเป็นบ่าวรับใช้ในเรือนของพวกขุนนางที่ร่ำรวยพลังการกระจายข่าวของคนระดับล่างนั้นน่าทึ่งมาก ภายในระยะเวลาอันสั้นเปลี่ยนเป็นแรงกดดันได้องค์รัชทายาทที่ได้รับคำเชิญจากคุณหนูใหญ่ ก็ย่อมจะปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่งราชครูเคยบอกกับเขาว่า หากได้ทรัพย์สินจากตระกูลหูมาช่วยเหลือ แม้ว่ามู่หรงเจี๋ยต้องการยึดครองแผ่นดิน แต่เขาก็จะสามารถกำราบมู่หรงเจี๋ยลงได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าทรัพย์สมบัติของตระกูลหู เพียงพอให้เขาซื้ออาวุธชั้นยอดที่สุด ม้าที่ดีที่สุด และจ้างยอดฝีมือที่เก่งที่สุดในแผ่นดินมาได้
ซูชิงกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ "การแสดงสนุก ๆ ของคุณหนูใหญ่ตระกูลหูอยู่ตรงไหน? ปล่อยให้นางตบนางด่าแบบนี้มันน่าสนุกอย่างนั้นเหรอ? นี่มันเหลวไหลสิ้นดี? ขนาดเซี่ยหว่านเอ๋อยังจัดการไม่ได้ เกรงว่าชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่ตระกูลหูจะเป็นเรื่องที่พูดกันเกินจริงเสียกระมัง"แม้ว่าเซียวท่าจะไม่อยากเห็นพ้องด้วยกันกับซูชิง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าว "ใช่ นางถูกตบ ถ้าองค์รัชทายาทอยู่ที่นั่นด้วยก็ยังดีหน่อย แต่เขาก็จากไปแล้ว นางถูกตบแล้วมันจะมีความหมายอันใด?"มู่หรงเจี๋ยกล่าว "ดังนั้นพวกเจ้าก็อย่าได้มองเรื่องอะไรแต่เพียงผิวเผิน องค์รัชทายาทไปแล้วก็จริง แต่ว่าประชาชนยังอยู่ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ช้าก็จะไปถึงหูของฮองเฮา พอนางได้ยินเรื่องนี้แล้ว พวกเจ้าคิดว่าหวงไท่โฮ่วจะยอมรับหลานสะใภ้ที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ได้อย่างนั้นหรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ประชาชนได้เห็นพฤติกรรมของนางแล้วด้วย ถึงอยากจะปกปิดก็ทำไม่ได้แล้ว""แค่เพียงเพราะข่าวลือไม่กี่คำ ก็ทำให้ถูกตบแล้ว ไม่คุ้มกันเลยหนา อีกทั้งยังไม่รู้ว่าหวงไท่โฮ่วจะมีพระราชเสาวนีย์ให้ยกเลิกการอภิเษกลงมาอย่างเป็นทางการไหม" ซูงชิงกล่าวที่จื่ออันกับหูฮวนสี่ทำเช่นนี้
หลังจากที่เซี่ยหว่านเอ๋อจากไป ทุกคนก็ต่างรู้สึกแย่แทนหูฮวนสี่ และทยอยด่าทอคุณหนูรองตระกูลเซี่ยว่าเป็นคนที่อหังการทำอะไรตามอำเภอใจหูฮวนสี่ก้มหน้าน้ำตาคลอเบ้าเดินเข้าไปในสำนักสืออ้ายหย้วนในเวลาเดียวกัน เซี่ยหว่านเอ๋อก็นั่งบนรถม้าแล้วจากไปสาวใช้ยิ้มพลางพูดไปพลาง "ใคร ๆ ต่างก็พูดกันว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหูเก่งกาจอย่างโน้นอย่างนี้ บ่าวดูแล้วคงเป็นแค่คำพูดที่เลื่อนลอยเสียกระมัง ถูกคุณหนูรองข่มขู่ขนาดนั้น นางไม่กล้าพูดตอบโต้มาแม้นเพียงสักคำเดียว ดูท่าทางที่ขี้ขลาดนั่นสิเจ้าคะ ยังจะกล้าคิดไปอภิเษกกับองค์รัชทายาทอีก"ครั้งนี้เซี่ยหว่านเอ๋อถือว่ายอมเสี่ยงทุกอย่าง แต่นางก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว หากไม่ขจัดความคิดที่จะปีนป่ายขึ้นที่สูงของหูฮวนสี่ จนทำให้องค์รัชทายาทชอบพอนางขึ้นมามันก็จะยุ่งยากขึ้นไปอีกแม้จะบอกว่าการกระทำในวันนี้จะเป็นการทำลายภาพลักษ์ของตนเองเหมือนกัน แต่ประชาชนคนระดับล่างพวกนี้ ต่อไปนางก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวด้วยอีกแล้ว จะสนทำไมว่าพวกเขาจะมองนางอย่างไร?นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เกลียดชัง "ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาขวางเส้นทางที่จะนำข้าไปสู่ตำแหน่งพระชายาเอกขององค์รัชทายาทเป็นแน่ หากมีครั้งต่อ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว