หลานยู่กล่าวอย่างเหยียดหยาม "ร้องทุกข์? นางไม่ใช่คนเปิดศาลเสียหน่อย ถึงนางบอกว่าจะไปร้องทุกข์แต่ก็ต้องมีหลักฐาน จะว่าไปแล้วกับอีแค่บ่าวรับใช้เพียงสองคน ทางศาลคงจะไม่รับเรื่องร้องทุกข์หรอกเจ้าค่ะ"ฮูหยินผู้เฒ่ามองนางด้วยสายตาอันว่างเปล่า แทบจะไม่เชื่อเลยว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากของนางได้นึกถึงเมื่อครั้งเก่าก่อนที่เลือกพวกนางสองคนให้มาอยู่ข้างกาย นั่นก็เพราะพวกนางฉลาดและมีไหวพริบ ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พวกนางเปลี่ยนไปเป็นคนที่อวดดีเจ้ากี้เจ้าการ อีกทั้งโง่เขลาเบาปัญญา?"เจ้าหมายความว่า บุตรตรีของจวนเสนาบดีผู้สง่างามไปร้องทุกข์ แล้วทางศาลจะไม่รับฟ้องอย่างนั้นเหรอ?" ฮูหยินผู้เฒ่าถามด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว"บ่าว..." ป้าหลานยู่เห็นฮูหยินผู้เฒ่าที่จู่ ๆ ก็โกรธขึ้นมา ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าตนเองได้ล้ำเส้นนางเข้าให้แล้ว จึงได้รีบคุกเข่าลง "ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดระงับโทสะด้วยเจ้าค่ะ นางบอกว่าจะไปร้องทุกข์ ท่านก็แค่ไม่ให้นางไปก็ได้นี่เจ้าคะ? ท่านสามารถคุมขังนางไว้ได้ อีกทั้งคนในจวนก็ล้วนเป็นคนของท่าน ฟังแต่คำสั่งของท่าน เพียงแค่คุมขังนางไว้ และไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปที่เรือนเซี่ยจื่อหย่วน น
พอบ่าวรับใช้ยกน้ำชามาให้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยกขึ้นมาจิบเล็กน้อย นางมองจื่ออันผ่านความอึมครึม ก็รู้ได้ถึงเป้าหมายของนาง ไปร้องทุกข์ก็จะยิ่งดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก เช่นนั้นทุกคนก็จะจับจ้องมาที่จวนมหาเสนาบดี เท่ากับจวนถูกควบคุมดูแลฮูหยินผู้เฒ่าสงบสติอารมณ์ "หลานยู่ก็ถูกเจ้าลงโทษไปแล้ว เรื่องนี้ก็ให้แล้ว ๆ กันไปเถิด ข้าจะให้คนส่งของไปให้ทางเรือนเซี่ยจื่อหย่วน เพื่อแทนคำขอโทษจากหลานยู่ เจ้าคิดว่าดีหรือไม่?"จื่ออันยิ้มเย้ยหยัน "ไม่ดีเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่า เรือนเซี่ยจื่อหย่วนแม้ว่าจะไม่มั่งคั่งเหมือนเรือนอื่น ๆ ในจวนมหาเสนาบดี ทว่าของที่จำเป็นก็มีครบหมดแล้ว ไม่ต้องการของมีค่าอื่นใดอีก"ป้าหลานยู่ที่ได้ยินคำพูดก้าวร้าวของจื่ออัน ก็รู้สึกไม่อยากอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย "เจ้าก็ทุบตีข้าไปแล้วนี่? หากต้องไต่สวน ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไต่สวนเจ้าได้เช่นกัน""เจ้าเป็นคนก่อเรื่องก่อน ไม่รู้หรืออย่างไร?" จื่ออันกวาดสายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา "อีกเรื่อง ข้าคุยกับฮูหยินผู้เฒ่า เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? กลับไปยืนด้านข้างซะ"ฮูหยินผู้เฒ่ามองใบหน้าที่เกรี้ยวกราดของหลานยู่ "พอได้แล้ว เจ้าออกไปเถิด"หลานยู่กล่าว
ฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะโยนจื่ออันออกไปข้างนอกจริง ๆ การเซ้าซี้นี้ ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยไปทั้งกายและใจ "ดี นอกจากเรื่องไปร้องทุกข์ นอกนั้นก็แล้วแต่เจ้าจะจัดการเลย"จื่ออันที่รอคำพูดนี้อยู่ "ดียิ่งนัก ในเมื่อท่านพูดแล้ว เช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็มอบตัวหลานยู่ให้แก่ข้าก็แล้วกัน""ข้าก็บอกไปแล้วอย่างไรเล่าว่า ให้เจ้าทุบตีนางได้อีกครั้ง" ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกไปอย่างไม่เต็มใจ"ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการจะทุบตีนาง หรือลงโทษนางเสียหน่อย ข้าแค่ต้องการให้ฮูหยินผู้เฒ่ามอบนางให้แก่ข้า" จื่ออันกล่าวแก้ไข"หมายความว่าอย่างไร?" ฮูหยินผู้เฒ่าชะงักไปเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงจ้องไปที่จื่ออันแล้วถาม"มอบนางให้แก่ข้า...เดี๋ยวข้าจัดการเอง!"ฮูหยินผู้เฒ่าตระหนักได้ในทันทีว่า เป้าหมายที่นางมาที่นี่ในคืนนี้หาใช่ต้องการไปร้องทุกข์ไม่ แต่นางต้องการตัวหลานยู่นางจะฆ่าหลานยู่? กล้าเหรอ?แม้ว่าหลานยู่จะอวดดีและโง่เขลา แต่ก็เป็นคนที่คอยรับใช้นางมาเป็นเวลาเนิ่นนานหลายปีแล้ว ฆ่าหลานยู่ก็เท่ากับเป็นการบอกบ่าวผู้ภักดีของนางที่อยู่ในจวนแห่งนี้ว่า ฮูหยินผู้เฒ่าผู้สูงส่ง ไม่อาจปกป้องบ่าวเพียงค
ตาวเหล่าต้าเป็นคนที่จริงใจ เขานึกว่าหลานยู่ต้องการขอขมาจริง ๆ จึงถอนหายใจแรง แล้วรับชาไป "อย่าคิดว่ายกชาแล้วโขกหัวขอขมาแล้วเรื่องจะจบนะ เจ้าทำร้ายกุ้ยหยวนจนสาหัสขนาดนั้น ทั้งยังขายเสี่ยวซุนให้กับโรงเหล้าเดือนค้างฟ้าอีก แค่ชาจอกเดียวจบเรื่องนี้ไม่ได้หรอกนะ"หลานยู่จ้องไปที่ชาจอกนั้น แสดงท่าทีที่ดูนับถืออย่างเปี่ยมล้น "บ่าววู่วามไปชั่วขณะ ทำร้ายกุ้ยหยวนกับเสี่ยวซุน สายเกินไปที่จะกลับใจ คุณหนูใหญ่จะจัดการกับบ่าวอย่างไร บ่าวจะไม่โทษท่านเด็ดขาด แต่ว่าคุณหนูใหญ่โปรดอย่าได้กล่าวโทษฮูหยินผู้เฒ่าเลยเจ้าค่ะ เรื่องนี้เป็นแผนของบ่าวเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับฮูหยินผู้เฒ่าแม้แต่น้อย"จื่ออันรับจอกชามาจากตาวเหล่าต้า นางเปิดฝาออกเหลือบมองเล็กน้อย แต่กลับไม่รีบดื่มหลานยู่กลืนน้ำลายดังเอื๊อก กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระชับแน่น มองตรงไปอย่างจดจ่อ แล้วกำมือทั้งสองไว้ เห็นได้ว่านางประหม่าเป็นอย่างยิ่งฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบมองไปที่ชุ่ยยู่ด้วยสายตาที่ดุร้าย นางเข้าใจความหมายดี จึงก้าวไปข้างหน้าแล้วกล่าว "คุณหนูใหญ่ ดื่มชาตอนดึกไม่ดีนะเจ้าคะ จะทำให้นอนไม่หลับ บ่าวจะเอาไปเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าให้ท่านเองเจ้าค่ะ""ชุ่ยยู่"
ฮูหยินผู้เฒ่าหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อม นางกำลังพยายามอดทนอย่างสุดกำลัง"เจ้ามีเรื่องอันใดจะพูดคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวหรือ?" ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ หรี่ตาลง เผยให้เห็นความแตกแยกจากนัยน์ตา และมีประกายความเยือกเย็นพาดผ่านจื่ออันมองดูนางที่กำลังโกรธตนเองมาก ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย"เมื่อครู่นี้ท่านพูดว่า หลานยู่รับใช้ท่านมาหลายปี ข้าอย่าได้ทำให้นางลำบาก ใช่หรือไม่?"ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวอย่างเมินเฉย "เจ้ายังสงสารบ่าวรับใช้สองคนนั้นที่อยู่ในเรือนของเจ้าได้ หรือว่าข้าจะรู้สึกสงสารบ่าวที่รับใช้ข้ามาตั้งสามสิบกว่าปีมิได้เชียวหรือ? คนหาใช่ต้นหญ้า ตอไม้ ที่จะได้ไร้ซึ่งความรู้สึก?""พูดได้ดี คนหาใช่ต้นหญ้า ตอไม้ ที่จะได้ไร้ซึ่งความรู้สึก!" จื่ออันขึ้นเสียงดัง "คน ๆ หนึ่งที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันกับท่านเลย ทว่าท่านก็ยังให้ความสำคัญ แล้วข้าเล่า เป็นถึงบุตรสาวเพียงคนเดียวของเซี่ยหวายจุน บุตรชายของท่าน ข้าเป็นหลานสาวท่าน แต่ท่านกลับต้องการให้ข้าตาย ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า มันเป็นเพราะอะไรกันแน่?"สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนไปเป็นขาวซีด จ้องมองไปที่จื่ออันอย่างไม่โอนอ่อน "เจ้าไม่ควร ไม่ควรเลยจริง
ในป่าไผ่ มีเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนดังออกมา ทำให้พวกนกที่อาศัยอยู่ในป่าตกใจกระเจิดกระเจิงตาวเหล่าต้ารู้สึกโกรธหลานยู่เป็นอย่างมาก หลังจากมัดนางไว้แล้ว ก็กล่าวอย่างสะใจในความโชคร้ายของนาง "เจ้าก็มีวันนี้จนได้ ให้เจ้ารอคอยความตายอยู่ที่นี่อย่างช้า ๆ ลิ้มรสความเจ็บปวดที่กุ้ยหยวนได้รับ""ข้าไม่ได้ฆ่าเขา ข้าไม่ได้ฆ่าเขาเสียหน่อย" หลานยู่ตะโกนเสียงดัง "เจ้าอายุยังน้อยแต่เหี้ยมโหดได้ถึงเพียงนี้ เจ้าจะต้องไม่ตายดีแน่ ติดตามเซี่ยจื่ออันเจ้าเด็กนอกคอกนั่น เจ้าไม่มีจุดจบที่ดีเป็นแน่""จะมีจุดจบไม่ดีสักเพียงใด ก็คงไม่มากไปกว่าเจ้า ดูเจ้าสิตอนนี้อยู่สถานการณ์แบบไหน? เจ้าไม่ได้ฆ่ากุ้ยหยวนก็จริง แต่ว่าหากคืนนี้ช่วยกุ้ยหยวนกลับมาไม่ได้ เขาที่อยู่ในป่าจะไม่ถูกหมาป่ากัดกินหรืออย่างไร? ยังมีเสี่ยวซุนอีก หากนางหาทางออกไม่ได้คิดฆ่าตัวตาย เจ้าก็เป็นหนี้สองชีวิตแล้ว ข้าเกลียดคนแบบเจ้าที่สุด รักชีวิตตนเอง แต่ชีวิตผู้อื่นหาได้สนใจใยดีไม่"หลานยู่ส่ายหัวอย่างตื่นตระหนก พยายามดิ้นร้น "ไม่ เจ้าปล่อยข้าไป แล้วข้าจะให้เงินแก่เจ้า เจ้าอยากได้เท่าไหร่ข้าให้หมดเลย ดีหรือไม่?"ตาวเหล่าต้ายังคงไม่เคลื่อนไหวใด ๆ "แ
มหาเสนาบดีเซี่ยรีบเดินออกไปดู ก็เห็นเพียงชิ้นเล็ก ๆกระจัดกระจายไปทั่วเซี่ยจื่ออัน เจ้าตายแน่!เขากัดฟันพูดเช้าวันรุ่งขึ้น จื่ออันก็แบกกล่องยาออกไปเช่นเคย ราวกับว่าเมื่อคืนนี้หาได้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นไม่แต่ว่าก็ถูกมหาเสนาบดีเซี่ยหยุดเอาไว้ที่ด้านหน้าประตูจวน"เป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่?" มหาเสนาบดีเซี่ยโกรธจนหน้าเขียวหน้าดำ จ้องไปที่จื่ออันราวกับหมาป่าที่ดุร้ายจื่ออันเงยหน้าขึ้น ผุดรอยยิ้มบางเบาขึ้นที่ริมฝีปาก "ท่านมหาเสนาบดีจะโยนความผิดให้ข้าอย่างนั้นเหรอเจ้าคะ?""ในเมื่อกล้าทำเหตุใดถึงไม่กล้ารับเล่า? เมื่อก่อนเจ้าไม่ได้เป็นคนเช่นนี้" มหาเสนาบดีเซี่ยมองนางอย่างหยามเหยียดจื่ออันขยับกล่องยาเล็กน้อย "ท่านมหาเสนาบดีกล่าวชมเกินไปแล้ว!"ความไร้ยางอายนี้ ก็เรียนรู้มาจากพวกเขานี่? จู่ ๆ จื่ออันก็พบว่า ทฤษฎีวันโกหกของหมาป่านั้นมีประโยชน์ ใช่ เป็นฝีมือของนางเอง แต่นางไม่ยอมรับเสียอย่าง แล้วจะทำอะไรนางได้เล่า?"เซี่ยจื่ออัน เจ้าปิดกั้นทางออกของตนเอง ต่อไปอย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจก็แล้วกัน"จื่ออันยิ้มร่า "พูดเช่นนี้ แสดงว่าที่ผ่านมาท่านมหาเสนาบดีมีน้ำใจต่อข้าสินะ? ใช่แล้ว พูดถึงส่วนของทา
การตายของหลานยู่ ดูเหมือนจะไม่ได้จุดประกายไฟแห่งโทสะแต่อย่างใด ทว่านางได้ปลุกเร้าความเกลียดชัง ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่อาจลบล้างมันออกจากใจได้จื่ออันคิดว่ากุ้ยหยวนจะอยู่ที่จวนมหาเสนาบดีแห่งนี้ต่อไปอีกไม่ได้ ดังนั้นตอนที่นางอยู่จวนอ๋องเหลียง ก็ได้ถามเขาว่าจะรับกุ้ยหยวนเอาไว้เป็นบ่าวรับใช้ได้หรือไม่อ๋องเหลียงส่ายหัว "หากเจ้าหวังให้เขามีอนาคตที่สดใส ก็ควรจะไปหาเสด็จอา ให้เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในกองทัพเสียหน่อย""กองทัพ?" ความจริงแล้วจื่ออันก็เคยคิดเช่นนี้ แต่ก็เกรงว่ากุ้ยหยวนจะใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพไม่ได้"ใช่" อ๋องเหลียงกล่าวจื่ออันพยักหน้า "หม่อมฉันจะลองถามเขาดูเพคะ"อ๋องเหลียงมองนางอย่างแปลกใจ "เขาเป็นเพียงเด็กรับใช้ของเจ้า จำเป็นต้องถามเขาก่อนด้วยหรือ? จัดการเองโดยตรงเลยสิ อย่างไรเสียเจ้าก็ทำเพื่อเขา"จื่ออันมองอ๋องเหลียง "เขาคือเด็กรับใช้ของหม่อมฉันก็จริง ทว่าก็เป็นคนที่มีอิสระในเวลาเดียวกันด้วย เขามีความคิดเป็นของตัวเอง และสิ่งที่เขาอยากทำ หากเขาไม่อยากเข้าร่วมกองทัพ แต่หม่อมฉันบีบบังคับให้เขาไป เขาก็ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุขเพคะ"อ๋องเหลียงมองนางอย่างมึนงง "คนที่มีอิสร
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว