การตายของหลานยู่ ดูเหมือนจะไม่ได้จุดประกายไฟแห่งโทสะแต่อย่างใด ทว่านางได้ปลุกเร้าความเกลียดชัง ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่อาจลบล้างมันออกจากใจได้จื่ออันคิดว่ากุ้ยหยวนจะอยู่ที่จวนมหาเสนาบดีแห่งนี้ต่อไปอีกไม่ได้ ดังนั้นตอนที่นางอยู่จวนอ๋องเหลียง ก็ได้ถามเขาว่าจะรับกุ้ยหยวนเอาไว้เป็นบ่าวรับใช้ได้หรือไม่อ๋องเหลียงส่ายหัว "หากเจ้าหวังให้เขามีอนาคตที่สดใส ก็ควรจะไปหาเสด็จอา ให้เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในกองทัพเสียหน่อย""กองทัพ?" ความจริงแล้วจื่ออันก็เคยคิดเช่นนี้ แต่ก็เกรงว่ากุ้ยหยวนจะใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพไม่ได้"ใช่" อ๋องเหลียงกล่าวจื่ออันพยักหน้า "หม่อมฉันจะลองถามเขาดูเพคะ"อ๋องเหลียงมองนางอย่างแปลกใจ "เขาเป็นเพียงเด็กรับใช้ของเจ้า จำเป็นต้องถามเขาก่อนด้วยหรือ? จัดการเองโดยตรงเลยสิ อย่างไรเสียเจ้าก็ทำเพื่อเขา"จื่ออันมองอ๋องเหลียง "เขาคือเด็กรับใช้ของหม่อมฉันก็จริง ทว่าก็เป็นคนที่มีอิสระในเวลาเดียวกันด้วย เขามีความคิดเป็นของตัวเอง และสิ่งที่เขาอยากทำ หากเขาไม่อยากเข้าร่วมกองทัพ แต่หม่อมฉันบีบบังคับให้เขาไป เขาก็ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุขเพคะ"อ๋องเหลียงมองนางอย่างมึนงง "คนที่มีอิสร
"เจ้าเป็นหมอมิใช่รึ?" อ๋องเหลียงดึงไหล่จื่ออันมา มองนางอย่างตั้งใจ "ได้ยินเจ้าบอกให้ข้ารวบรวมความกล้าไปแสวงหาชีวิตที่ต้องการ เจ้าจะทำหูทวนลมมิได้นะ""หม่อมฉันก็แค่พูดออกมาเฉย ๆ เพียงไม่กี่คำก็สามารถโน้มน้าวใจท่านได้มากขนาดนี้เชียวหรือ? หม่อมฉันเป็นเพียงหมอคนหนึ่ง" จื่ออันรู้สึกได้ว่า ความจริงแล้วเขาคิดเช่นนี้มาโดยตลอด เพียงแค่รอให้ใครสักคนพูดออกมา เขาก็จะก้าวไปสู่ขั้นที่โน้มน้าวใจตนเองได้"เช่นนั้นเสด็จแม่ก็ให้เจ้ารักษาที่ส่วนนั้นของข้าด้วยใช่หรือไม่?" อ๋องเหลียงจ้องนางพลางถามไปพลางจื่ออันพยักหน้า "ใช่เพคะ นางเคยพูดกับหม่อมฉัน"อ๋องเหลียงปล่อยนาง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที และยิ้มขึ้นมาอย่างเยือกเย็น "คิดไว้แล้วเชียว!"จื่ออันชะงักไปเล็กน้อย "ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร?"อ๋องเหลียงยืนขึ้น พูดจาฟังดูเย็นชา "เจ้าไปได้แล้ว ต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่อีก"จื่ออันสับสนมึนงง เมื่อครู่นี้เขายังดูเป็นมิตรอยู่เลย เหตุใดจู่ ๆ ถึงเปลี่ยนท่าทีไปอ๋องเหลียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ "ไปซะ!"จื่ออันได้แต่ถือกล่องยา เดินออกมาอย่างสงสัยจู่ ๆ อ๋องเหลียงก็โมโหขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
หลังจากที่จื่ออันเข้าไป ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่อึมครึม นางจึงลังเลเล็กน้อย "หม่อมฉันมาผิดเวลาใช่หรือไม่เพคะ?"มู่หรงเจี๋ยโบกมือ "ไม่เป็นไร พวกเราพูดกันจบแล้ว มานี่สิมา ข้าจะแนะนำให้รู้จักคนผู้หนึ่ง"จื่ออันเดินเข้าไป แล้วมองเซียวเซียวพลางยิ้มเบา ๆ "ไม่ต้องแนะนำแล้วเพคะ ท่านผู้นี้จะต้องเป็นแม่ทัพใหญ่เซียวเซียวเป็นแน่"เซียวเซียวไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด ท่าทางของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เพียงพยักหน้าเบา ๆ "ท่านนี้คงจะเป็นบุตรีของจวนมหาเสนาบดี?""เซี่ยจื่ออันคำนับท่านแม่ทัพใหญ่!" จื่ออันย่อตัวคำนับ"คุณหนูใหญ่ไม่ต้องพิธีรีตอง!" เซียวเซียวกล่าวเบา ๆ ไม่ได้สนใจจื่ออันสักเท่าไหร่เขายืนขึ้น ยกมือคารวะมู่หรงเจี๋ย "เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน""อืม ไปเถิด!" มู่หรงมองเขาแล้วพูดเซียวเซียวพยักหน้าให้จื่ออันเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังจากไปจื่ออันมองตามแผ่นหลังของเขาไป จึงนึกถึงจ้วงจ้วงขึ้นมา นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจ้วงจ้วงถึงรักเขา บุรุษเช่นนี้ยากนักที่จะไม่ดึงดูดสายตาของหญิงสาว"องค์หญิงรู้หรือยังว่าเขากลับมาแล้ว?" จื่ออันเอ่ยถามมู่หรงจื่อลูบแหวนปานจื่อเล่นอยู่ ราวกับกำลังหนักใจ
"ตอนนั้น เขาอายุเท่าไหร่เพคะ?" จื่ออันอดที่จะถามไม่ได้"ตอนนั้นเขาอายุสิบสองปี" มู่หรงเจี๋ยกล่าวจื่ออันยิ้มเบา ๆ "สิบสองปี เพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่ม ที่เขายิ้มก็เพราะว่าท่านกับจ้วงจ้วงไม่เป็นอะไร"มู่หรงเจี๋ยตอบอืม "อาจจะเป็นไปได้"จื่ออันรู้สึกว่ามันแปลกมาก "เซียวเซียวเหมือนเด็กชายโง่เขลาที่คอยตามองค์หญิงมาโดยตลอดเช่นนั้น แต่หลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ท้ายที่สุดเขาถึงแต่งกับสาวใช้ขององค์หญิง หาได้แต่งกับองค์หญิงไม่""ปีนั้นเสด็จอามีอายุครบสิบหกปี องค์ชายจากต้าเหลียงได้มาเยือนต้าโจว พอเห็นนางครั้งแรกก็ตกหลุมรักเข้าให้แล้ว อยากจะสู่ขอเสด็จอา และในตอนนั้นสุขภาพของเสด็จพ่อก็ย่ำแย่ ท่านต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น จึงตอบตกลงเรื่องการสู่ขอขององค์ชายต้าเหลียง"เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันอย่างมาก เพราะว่าเสด็จอาเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยินยอม แม้กระทั่งประกาศว่าจะฆ่าตัวตาย เซียวเซียวคุกเข่าอยู่หน้าห้องตำราของเสด็จพ่อ คุกเข่าอยู่สองวันสองคืน เพื่อให้เสด็จพ่อล้มเลิกเรื่องการอภิเษก เสด็จพ่อทรงกริ้วมาก และมีพระราชโองการลงมาให้ถอดยศจิ้นกั๋วโฮ่ว ตระกูลของเซียวเซียวพลอยเดือดร้อ
มู่หรงเจี๋ยกล่าวเบา ๆ "การตายของหลานซื่อ ถือเป็นการเตือนฮูหยินผู้เฒ่า หวังว่าช่วงนี้นางจะไม่ลงมือทำอะไรกับเจ้า"เขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเย้ยหยัน "แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้จวนมหาเสนาบดีมาถึงทางตัน เจ้าก็น่าจะรู้ว่าท่านราชครูได้ลงมือกับตระกูลหูแล้ว เซี่ยหว่านเอ๋อต้องการรักษาตำแหน่งพระชายาเอกขององค์รัชทายาทไว้ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น""ข้ารู้ คุณหนูใหญ่ของตระกูลหูไม่จำเป็นต้องตอบตกลง" จื่ออันกล่าว"หูฮวนสี่คนผู้นี้..." มู่หรงเจี๋ยเงยหน้ามองไปนาง "มีส่วนที่คล้ายกับเจ้าอยู่บ้าง"จื่ออันประหลาดใจเล็กน้อย "มีส่วนที่คล้ายอยู่บ้าง? หน้าตาเหรอเพคะ?""ไม่ใช่ แต่เป็นนิสัย อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์ เมื่อก่อนนางอยู่ในตระกูลหู ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี เพราะนางเป็นเพียงเด็กสาวกำพร้าที่ถูกรังแก แต่ไม่นานก็ได้รับความโปรดปรานจากนายท่านผู้เฒ่า ทั้งยังสามารถเข้าไปควบคุมกิจการทั้งหมดของตระกูลหูได้อีกด้วย กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ร่ำรวยที่สุดในต้าโจว"จื่ออันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา "นางเคยได้รับบาดเจ็บไหม?"มู่หรงเจี๋ยมองไปยังนาง "คำถามนี้ของเจ้า มันมีความนัยอะไรหรือไม่?""เอ๋?" จื
จื่ออันยิ้มตอบ "ไม่ใช่ ท่านอ๋องบอกว่า เจ้ายังเยาว์วัยนัก ควรจะเรียนรู้อะไรเสียบ้าง เขาจะให้เจ้าไปเรียนรู้งานจากคนทำบัญชีก่อน""เรียนรู้งาน?" กุ้ยหยวนเบิกตากว้าง และหายใจเร็วเล็กน้อย "เรียนรู้งานจากคนทำบัญชี? มันจะเป็นไปได้จริง ๆ หรือขอรับ?"จื่ออันเอ่ยถาม "เจ้ามีความสุขไหมเล่า?""มี มีขอรับ บ่าวอยากเรียน" กุ้ยหยวนตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะขาทั้งสองข้างหัก เขาคงจะกระโดดโลดเต้นไปแล้ว"อยากเรียน ก็ต้องรักษาบาดแผลให้หายดีก่อน" จื่ออันกล่าว"บ่าวทราบขอรับ บ่าวจะตั้งใจเรียน "กุ้ยหยวนพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง ใบหน้าที่ซีดเซียวเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและความตื่นเต้นแต่ในใจของจื่ออันกลับหนักอึ้งหลายปีที่ทำงานเป็นสายลับ ทำให้นางรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของอันตรายสัญชาตญาณนี้ นางได้มาจากการสั่งสมประสบการณ์มาเป็นเวลานานหลายปี ดังนั้นจึงไม่อาจบอกว่ามันไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิงระเบิดทางเดินกับภูเขาหินจำลองไปแล้ว มีเพียงมหาเสนาบดีเซี่ยที่พูดกับนางเพียงไม่กี่คำ หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นอีกเลย นี่มันค่อนข้างจะผิดปกติเมื่อใดก็ตามที่มีเหตุการณ์ผิดปกติ นั่นก็หมายความว่าอาจจะมี
แม่นมหยางใช้มือดันตัวขึ้นมา ความรู้สึกของนางนั้นซับซ้อนมาก นางรู้ว่าหากตนเองเลือกผิด การเลือกนี้อาจทำให้ตนเองต้องพบเจอกับหายนะแต่ว่านางก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงเลือกโดยไม่สนใจเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หลังจากที่ฮองเฮาตรัสเช่นนั้นออกมา ทว่ามันยิ่งทำให้นางมั่นใจในความคิดตนเองเพราะว่าหากฮองเฮาต้องการฆ่าคุณหนูใหญ่ หลังจากที่คุณหนูใหญ่ตายไป รายต่อไปก็ต้องเป็นนางแน่ นางติดตามฮองเฮามาเป็นเวลาหลายปี ฮองเฮาจะไม่ปล่อยผู้ที่รู้ความลับมากมายเอาไว้ดังนั้น วันนี้ที่นางแสดงความภักดี จึงมีส่วนที่มีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อยเห็นได้ชัดว่าคุณหนูใหญ่รู้ดี แต่นางไม่ได้เปิดโปง แม่นมหยางรู้สึกขอบคุณนางอย่างมากที่ทำให้นางเติมเต็มศักดิ์ศรีของตนเองได้ จื่ออันอ่านตำรามาทั้งวัน และได้ศึกษาทักษะฝังเข็มเร็วกับหยวนฉุ่ยยวี่เล็กน้อยทักษะฝังเข็มเร็วเป็นทักษะหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ในตำราฝังเข็มทอง แตกต่างจากทักษะฝังเข็มเร็วแบบดั้งเดิม ทักษะฝังเข็มเร็วที่กล่าวถึงในที่นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเส้นประสาทและทำให้การไหลเวียนโลหิตเร็วขึ้น ทำไมต้องฝังเข็มลงไปอย่างรวดเร็ว และก็ดึงขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วย
คุณหนูใหญ่เซี่ย ท่านไปนอกเมืองกับข้าสักรอบเถิด ท่านได้โปรดช่วยหวางหยูด้วยเถอะขอรับ” ซูชิงเอ่ยอ้อนวอนขอร้องออกมาจื่ออันจึงได้ถามกลับ “เขาตอนนี้เป็นอย่างไรแล้วบ้าง?”“เขานับวันอาการก็ยิ่งหนักขึ้น วันนี้ไม่มีวิธีที่จะให้ยาได้แล้ว” ซูชิงเอ่ยออกมาจื่ออันอยากจะเอ่ยกับเขานัก หากว่าไม่อาจที่จะรับอาหาร ไม่อาจจะรับยาต้ม ต่อให้นางไปก็คงจะหมดหนทางแล้ว นางคงจะมิอาจช่วยหวางหยูเอาไว้ได้แต่ว่าเมื่อมองเห็นใบหน้าของซูชิงเต็มไปด้วยความอ้อนวอน นางเองก็ไม่อาจที่จะปฎิเสธออกไปได้ “ได้ ข้าจะไปกับเจ้า”บางทีนางอาจจะทำให้หวางหยูมีความสุขขึ้นก็เป็นได้เมื่อถึงนอกเมืองแล้ว กลับมองเห็นหญิงสาวเยาว์วัยนางหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกกรงเหล็กซูชิงไม่ได้เอ่ยออกมาเกินจริงเลย สถานการณ์ของหวางหยูนั้นหนักหนาเอาการ ใบหน้าของเขาเริ่มที่จะลอกล่อน เผยให้เห็นจุดด่างดำ แต่เมื่อมองใกล้แล้วกลับไม่ใช่จุดด่างดำ แต่เป็นร่องรอยของเลือดที่คั่งค้างเมื่อตอนที่เขาล้มลงเขานอนหงายแผ่หราอยู่ภายในกรงเหล็ก เบิกตากว้าง เบ้าตาดูลึก ทั่วทั้งกายผอมแห้งเป็นอย่างมาก เหลือเพียงแต่หนังที่หุ้มกระดูกเอาไว้เขาราวกับว่าทุกข์ตรมเป็นอย่างมาก มือทั
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว