จื่ออันสอบถามถึงข้อแลกเปลี่ยนของหยวนซื่อและฮูหยินผู้เฒ่า หยวนซื่อถึงได้เอ่ยเล่าออกมา อย่างละเอียดถี่ยิบจื่ออันเอ่ยถามอย่างกังวลใจ “สามารถนำสัญญาขายตัวของกุ้ยหยวนกลับมาได้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าจะทำอย่างไรกันให้โทษของซีเหมินเสี่ยวชิ่งลดน้อยลง? พวกเราเองก็มิอาจจะไปขอร้องท่านอ๋องได้”หยวนซื่อค่อย ๆ ยิ้ม “เจ้าควรที่อ่านกฎหมายของต้าโจวให้มากขึ้นอีก ในกฎหมายนี้มีอยู่ข้อนึง เมื่อคนที่ทำร้ายผู้อื่นนั้นมีอาการบ้าคลั่ง ก็จะสามารถละเว้นโทษหรือลดโทษได้”จื่ออันส่งเสียง ‘อ่า’ ออกมาคำนึง คาดไม่ถึงว่าต้าโจวเองก็มีกฎหมายข้อนี้ด้วยเหมือนกันจื่ออันยิ้มพร้อมเอ่ยออกมา “ท่านแม่ หนังสือเหล่านั้นที่ท่านแม่อ่าน วันนี้เริ่มที่จะมีประโยชน์แล้ว”“พรุ่งนี้เจ้าไปที่นั่น และเอ่ยกับเหลียงซื่อสักเล็กน้อย เหลียงซื่อจะรู้ได้เองว่าจะหาผู้ใดที่จะสามารถออกมายืนยันได้ว่าซีเหมินเสี่ยวชิ่งมีอาการบ้าคลั่ง” หยวนซื่อเอ่ย“เจ้าค่ะ วันพรุ่งนี้ข้าจะไปเจ้าค่ะ” จื่ออันเอ่ยออกมาจนไม่มีคำพูดใดที่จะเอ่ยกันแล้วจื่ออันตั้งแต่เช้าก็แบกกล่องยาออกจากจวนไปนางไปยังบ้านฝั่งมารดาของหยวนซื่อก่อน นำแผนการมาบอกกับเหลียงซื่อ เหลียง
ประตูทางเข้ามีคนเข้ามาสองคน หนึ่งคนนั้นเป็นเด็กรับใช้ที่ก่อนหน้านี้อยู่ข้างกายของอ๋องเหลียง อีกผู้หนึ่งนั้นสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบเล็กน้อย ตรงเอวนั้นมีมีดเล่มหนึ่งเหน็บติดเอาไว้ มีคิ้วหนาดวงตากลมโต รูปร่างสูงใหญ่ สวมใส่รองเท้าผ้าหยาบขาดรุ่งริ่งจนนิ้วเท้าโผล่ออกมาสองนิ้วจื่ออันเหลือบมองดู ไม่พบว่าบนมือของทั้งสองนั้นมีของขวัญอะไรอยู่“ตาวเหล่าต้า ยื่นสองมือเจ้าให้คุณหนูใหญ่ดูเร็วเข้า!”เด็กรับใช้ผู้นั้นจู่ ๆ ก็ดึงมีดออกมาจากเอว “ขอรับ!”เขาส่งเสียงท้องถิ่นอันเข้มแข็งออกมา แล้วจึงพบว่าเขาค่อย ๆ หมอบนั่งลง ดาบในมือฟันออกไปข้างหน้า ได้ยินเพียงเสียง “โครม” โต๊ะด้านหน้าของอ๋องเหลียงแตกแยกออกเป็นสองส่วน อาหารเช้าบนโต๊ะตกกระจายลงบนพื้นอ๋องเหลียงเอ่ยเสียงโกรธ “ไม่ได้ให้เจ้ามาผ่าโต๊ะข้าให้แยกออกจากกันเสียหน่อย”ตาวเหล่าต้านั้นไม่ได้สนใจเขา ย่อตัวลงเก็บอาหารเช้านั้นขึ้นมา ใช้เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งนั้นห่อมัน เผยยิ้มแสดงฟันใหญ่สองซี่ออกมา “สกปรกเสียแล้ว กินไม่ได้ ทั้งหมดนี้ให้ข้าได้หรือไม่?”“เอาไป เอาไป!” อ๋องเหลียงโบกมือออกไป ใบหน้าหมดความอดทนจื่ออันเบิกตากวาง “ของขวัญที่ท่านอยากจะให้ข้
มีดเล่มนี้ หากฟาดลงไปโดนกายของอ๋องเหลียงแล้วล่ะก็ อ๋องเหลียงจะต้องกลายเป็นอ๋องเหลียงสองท่านเป็นแน่ จื่ออันตกใจเสียจนแข้งขาเริ่มจะอ่อนแรงลง สายเกินไปที่จะหยุดเสียแล้วเดิมนั้นคิดว่าอ๋องเหลียงจะหลีกหนีมิได้ แต่คาดไม่ถึงว่าจู่ ๆ เขาก็กระโดดขึ้นมาในคราเดียว จากนั้นกระโดดอย่างรวดเร็วสองสามก้าวไปยังต้นไทรที่ล้มลง แล้วกระโดดจากต้นไทรขึ้นไปยังหลังคาแต่ว่าความคมของมีดนั้นก็ยังคงทำให้ชุดของเขาขาดลงจื่ออันมองไปอย่างตกใจ นี่คืออ๋องเหลียงที่ผู้อื่นเอ่ยถึงว่าเหลวไหลไร้ความสามารถจริงหรือ? ผู้ที่เดินไม่ค่อยจะตรงนัก แต่กลับสามารถกระโดดขึ้นไปได้อ๋องเหลียงส่งเสียงคำรามมาจากบนหลังคา “เซี่ยจื่ออัน อาศัยช่วงที่องครักษ์ทั้งหลายยังมามิถึง เจ้ารีบนำเจ้าโง่นี้ออกไปเสีย”ตาวเหล่าต้าผู้ซึ้งยังไม่รู้ว่าตนทำอะไรผิดลงไป และแสดงออกมาราวกับผู้บริสุทธิ์ มองไปยังจื่ออันอย่างตกตะลึงจื่ออันถอนหายใจออกมา นางจึงเข้าไปดึงเขาออกมา “ไปกันเถอะ หากยังอยู่ที่นี่ไม่รีบออกไป ก็จะสายไปเสียแล้ว”ตาวเหล่าต้าตกใจเสียจนใบหน้าซีดขาว วิ่งออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็นึกถึงอาหารเช้าที่วางไว้อยู่ที่โต๊ะน้ำชาขึ้นมาได้ เร่งรีบหมุ
“ข้าไม่กลัวโดนหัวเราะ มีข้าวกินก็ไม่กลัวที่จะโดนหัวเราะเยาะเย้ยหรอกขอรับ”เสี่ยวซุนมองมายังเขา “เจ้ากินอาหารเช้าพวกนี้เถอะ อากาศร้อนเช่นนี้ เจ้าห่อมันตลอด เดี๋ยวจะเน่าเสียได้ ล้วนแต่เป็นของหวาน เน่าเสียได้โดยง่าย”“ไม่กิน ไม่กิน เก็บเอาไว้ให้น้องสาว” ตาวเหล่าต้าส่ายศีรษะมองไปยังสิ่งของในอ้อมแขนของตน น้ำลายก็ไหลออกมา“เจ้ายังมีน้องสาวอีกหนึ่งคนหรือ?” จื่ออันเอ่ยถาม“มีขอรับ อยู่ในวัดร้างทางตะวันออกของเมือง ข้าเข้ามาขอทานอยู่ที่นี่ขอรับ” ตาวเหล่าต้าใช้ภาษาเมืองหลวงอยู่ตลอดเวลา คงจะยากมากแล้ว “น้องสาวหิว นางรอข้าอยู่ ข้าจะต้องส่งไปให้น้องข้า”“นางก็คงจะกินไม่หมดหรอก เยอะขนาดนี้” เสี่ยวซุนเอ่ยออกมา“กินหมด กินหมด” ตาวเหล่าต้าคิดว่าเสี่ยวซุนจะแย่งไปกิน เร่งรีบกอดเอาไว้อย่างแน่นหนา “สามวันกินหมดแน่”“สามวันก็เหม็นเน่าแล้ว”“เหม็นก็ต้องกิน”จื่ออันในใจนั้นรู้สึกประทับใจ มองดูชายผู้หยาบกร้านนี้ ทั้งร่างเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ไม่มีแม้แต่รองเท้าสักคู่ ได้ยินเสียงท้องของเขาร้องดังโครกคราก ๆ แต่ก็ไม่ยอมกินแม้แต่คำเดียว“เจ้ากินก่อนเถอะ พวกเราไปรับน้องสาวของเจ้ากัน นำนางไปทานอาห
ตาวเหล่าต้านำขนมหวานในอ้อมแขนออกมาให้เสี่ยวเอ้อทั้งหมด “รีบกิน ตอนที่ยังร้อนอยู่”เสี่ยวเอ้อแววตามองตรงไป “สวรรค์ ท่านพี่ ท่านไปเอาของกินอร่อยเช่นนี้มาจากที่ใดกันตั้งมากมาย?”“คนใจดีเป็นผู้มอบให้” ตาวเหล่าต้าเอ่ยออกมาอย่างหน้าด้านหน้าทน ราวกับจำไม่ได้ที่ตนฟาดลงไปบนโต๊ะของผู้อื่นแล้วแย่งเอามา“ท่านจะต้องขอบคุณคนใจดีผู้นั้นให้มาก” เสี่ยวเอ้อซาบซึ้งจนน้ำตาซึมออกมาจื่ออันมองไปยังสองพี่น้องตรงหน้า นางไปยังประเทศที่สามมามากมาย มองเห็นผู้คนมากมายที่ได้รับอาหารแล้วก็ร้องไห้ออกมา แต่ในราชสมัยต้าโจวที่่สงบสุขและเจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ กลับเป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็นตาวเหล่าต้าร่างกายแข็งแกร่ง เดิมควรสามารถใช้แรงมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ แต่ทำไมสองพี่น้องนี้ถึงได้ใช้ชีวิตอย่างตกต่ำเยี่ยงนี้ใช่แล้ว ตาวเหล่าต้าถูกมู่หรงเจี๋ยพบเข้าได้อย่างไร?เมื่อคิดถึงตรงจุดนี้ จื่ออันจึงได้ถามตาวเหล่าต้าขึ้น “เจ้ารู้จักกับท่านอ๋องได้อย่างไรกัน?”“ท่านอ๋องไหนกัน?” ตาวเหล่าต้าไม่หยุดที่จะส่งซาลาเปาไปให้กับเสี่ยวเอ้อ พร้อมทั้งเอ่ยถาม“ผู้ที่นำเจ้าไปส่งยังจวนอ๋องเหลียงผู้นั้น” จื่ออันเอ่ยออกมาตาวเหล่าต้าจู่ ๆ
เพราะเหตุนี้ จื่ออันจึงได้ให้เสี่ยวซุนคอยดูแลจัดการตาวเสี่ยวเอ้อให้เป็นอย่างดี และนำตาวเหล่าต้ากลับมายังจวนจื่ออันไม่รู้ว่าในตอนนี้นั้น ผู้ที่ใช้สำเนียงท้องถิ่นเสียงเข้ม อย่างตาวเหล่าต้านั้น ขยับเพียงนิดก็จะฟาดลงไปที่ผู้คน หลังจากที่บุกเข้ามาอยู่ในชีวิตของนางโดยมิได้ตั้งใจแล้วนั้น เขาก็จะอยู่กับนางไปอีกทั้งชีวิตเมื่อกลับมาถึงจวนแล้วนั้น ก็เป็นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังอยู่ทางด้านทิศตะวันตกแล้วฮูหยินผู้เฒ่าทำตามคำพูดได้ส่งสัญญาขายตัวของกุ้ยหยวนมาแล้ว ในที่สุดกุ้ยหยวนหลังจากที่ถูกพวกเขาทำร้ายมาแล้วหนึ่งวัน ก็สามารถกลับมายังเซี่ยจื่อหย่วนได้แต่ว่าจื่ออันรู้ดีว่าหากกุ้ยหยวนยังคงอยู่ในจวน ยังคงอยู่ข้างกายนางก็คงจะยังไม่ปลอดภัย นางจึงคิดวิธี หาทางออกที่ดีให้แก่กุ้ยหยวนเช้าวันรุ่งขึ้น มีพระราชเสาวนีย์ออกมาจากในวัง เป็นพระราชเสาวนีย์ของฮวงไท่โฮ่ว ผู้ที่นำพระราชเสาวนีย์มานั้นเป็นอ๋องหลี่ ไม่ใช่พระราชเสาวนีย์อภิเษกของจื่ออัน แต่เป็นพระราชเสาวนีย์แต่งตั้งหยวนซื่อให้เป็นเสี้ยนจู่ฮวงไท่โฮ่วนั้นมิได้ชอบพอหยวนซื่อมากนัก แต่ที่นางออกพระราชเสาวนีย์ออกมาด้วยพระองค์เองนั้น เป็นเพราะว่าผู้สำเร็จรา
เป็นดั่งที่จื่ออันว่าเอาไว้ วันนี้เหลียงซื่อได้กลับไปยังจวนจิ้นกั๋วกงนางกลับมายังจวนนั้นมิได้ส่งเสียงอันใดออกมา รอเพียงแต่ตอนที่ซีเหมินเสี่ยวเยว่จะกลับจวนเมื่อครบสามวันนางรู้ดีว่าภายในจวนนั้นรวมทั้งเหล่ากั๋วกงต่างก็รู้ดีในใจว่าวันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่มีผู้ใดไปเอ่ยถามไถ่นาง รวมทั้งสามีของนางทุกคนต่างคิดว่า นางควรที่จะเสียสละตนเพื่อจวนจิ้นกั๋วกงนี้ ไม่มีผู้ใดสนใจความโกรธของนางและไม่มีผู้ใดคิดว่านางจะโกรธเพราะว่าหลายปีมานี้ ทุกคนล้วนเคยชินกับกับการที่นางทุ่มเทให้กับจวนกั๋วกง พวกเขาถึงกับคิดว่าให้นางยอมเสียสละชีวิต ขอเพียงแค่ทำเพื่อจวนกั๋วกงแล้วนั้น นางก็ไม่ลังเลที่จะนำเชือกขึ้นไปแขวนคอตนเลยสักนิดบางทีนางควรจะทำให้ทุกคนได้เห็นว่า นางนั้นมิใช่สิ่งของหรือเครื่องมือสร้างความมั่นคงของจวนกั๋วกงนางเหลียงซื่อถึงแม้ว่าจะไม่มีจวนกั๋วกง ก็ยังคงจะมีชีวิตอยู่ด้วยความราบรื่น แต่ถ้าหากจวนกั๋วกงนั้นไม่มีนางเหลียงซื่อ เช่นนั้นก็มิอาจแน่ใจได้ครบสามวันที่ต้องกลับบ้านนั้น เดิมควรจะกลับกันตั้งแต่เช้าตรู่ แต่เนื่องจากอ๋องหลี่นั้นมาประกาศพระราชเสาวนีย์ จึงทำให้ล่าช้าไปถึงหนึ่งชั่วยาม มหาเสน
ในตอนนี้เรื่องที่ทำให้มหาเสนาบดีเซี่ยยุ่งยากใจนั่นก็คือจะพาต้องหยวนซื่อไปด้วยหรือไม่หากพาไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าหยวนซื่อจะเอ่ยคำพูดใดที่ไม่เหมาะสมออกมาหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงนี้เมื่อได้พูดคุยกับนางนั้น นางจะมีท่าทีหยิ่งผยองและเย็นชาออกมาแต่ถ้าหากไม่นำนางมาด้วย นางอย่างไรแล้วก็เป็นถึงเสี้ยนจู่ และยังเป็นฮูหยินใหญ่ของมหาเสนาบดีเซี่ย ซีเหมินเสี่ยวเยว่แต่งเข้ามาแล้วนั้น ถึงแม้จะเป็นภรรยารอง แต่ว่าเพราะว่าสถานะเสี้ยนจู่จึงมิอาจให้ผู้อื่นล่วงเกินได้ ดังนั้นฮูหยินเสี่ยวเยว่จึงยังคงเป็นอนุภรรยาท่านกั๋วกงเชิญจวนมหาเสนาบดีนั้น ไม่ได้รวมถึงสะใภ้ แม้จะพูดว่าเชิญคนทั้งจวน ถ้าไม่นำหยวนซื่อไปด้วย ก็จะพูดไม่ได้แล้วในตอนที่มหาเสนาบดีเซี่ยกำลังลำบากใจอยู่นั้น จื่ออันได้สั่งให้เสี่ยวซุนมาแจ้งข่าวว่า หยวนซื่อร่างกายไม่ค่อยจะสบาย คงไปจวนกั๋วกงไม่ได้แล้วมหาเสนาบดีเซี่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาสั่งเสี่ยวซุนว่า “เช่นนั้นเจ้าให้คุณหนูใหญ่เตรียมตัวให้พร้อม อีกประเดี๋ยวก็จะออกเดินทางกันแล้ว”ที่จริงเขาไม่หวังให้จื่ออันไปด้วย แต่ว่าวันนี้เป็นเพียงการร่วมทานอาหารกันมื้อนึงเท่านั้น นางคงจะไม่ก่อเรื่องเดือดร้อ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว