รถม้าจำนวนมากมายนั้นได้เริ่มเดินทางออกจากจวนมหาเสนาบดีฮูหยินผู้เฒ่าและเซี่ยหว่านเอ๋อนั้นนั่งไปด้วยกัน มหาเสนาบดีเซี่ยและซีเหมินเสี่ยวเยว่นั่งคันเดียวกัน ไม่มีผู้ใดยินยอมที่จะนั่งร่วมกันกับเซี่ยจื่ออัน จื่ออันจึงได้ให้เสี่ยวซุนและตาวเหล่าต้าขึ้นมาด้วยกันบนรถม้ารถม้าของจวนมหาเสนาบดีนั้นมีพื้นที่ว่างใหญ่โต ถึงแม้ว่าจะมีคนเพิ่มเข้ามาอีกสองคนก็ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใด แต่ว่าซีเหมินเสี่ยวเยว่นั้นไม่ยินยอมที่จะนั่งร่วมกันกับฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ไม่ยินยอมที่จะนั่งร่วมกันกับซีเหมินเสี่ยวเยว่ จึงทำได้เพียงแต่เตรียมรถม้าไว้สามคันแต่ทว่าการเคลื่อนไหวของจวนมหาเสนาบดีครั้งนี้นั้นดูช่างน่าประหลาดใจนัก เพียงไม่กี่คนที่ออกเดินทางกัน กลับใช้รถม้าถึงสามคัน ไม่อาจนับได้ว่าแปลกประหลาดที่ใดกันตาวเหล่าต้านับตั้งแต่วันที่เริ่มติดตามจื่ออัน ในวันนั้นเพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถม้า ในตอนนี้จึงเป็นครั้งที่สอง เขาก็ยังคงแสดงออกถึงความตื่นเต้นเสี่ยวซุนมองไปยังนิ้วเท้าของเขา “คุณหนูใหญ่ไม่ใช่ว่าซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้เจ้าแล้วมิใช่หรือ? เจ้าทำไมถึงได้ไม่สวมมัน?”ตาวเหล่าต้าขยับนิ้วเท้าไปทางด้านหล
นางเห็นใบหน้าของซีเหมินเสี่ยวเยว่ก็ชะงักไปเล็กน้อย "บาดแผลรุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ?" วันนั้นที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ นายท่านรองซีเหมินได้กลับมาเล่าให้ฟังแล้ว คนที่จวนก็รู้เรื่องนี้ซีเหมินเสี่ยวเยว่กล่าว "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ หมอหลวงบอกว่ารอยแผลเป็นนี้สามารถกำจัดออกไปได้"หลี่ซื่อก็รู้สึกวางใจ "เช่นนั้นก็ดี" หน้าตาเป็นอาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของผู้หญิง หากเสียโฉมแล้ว ตำแหน่งของซีเหมินเสี่ยวเยว่ในจวนมหาเสนาบดีก็จะไม่มั่นคง"ฮูหยินผู้เฒ่า!" หลี่ซื่อที่เห็นฮูหยินผู้เฒ่าลงจากรถม้ามา ก็รีบเข้าไปช่วยพยุงทันทึฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มตอบ "คืนนี้ต้องรบกวนจวนกั๋วกงแล้ว คนกลุ่มใหญ่มาที่นี่ ข้านั้นรู้สึกเกรงใจเสียจริง""ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้พูดเช่นนั้น พวกเราคือครอบครัวเดียวกันแล้ว ที่ท่านสามารถมาได้ พวกเราก็รู้สึกยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง" หลี่ซื่อกล่าวอย่างให้เกียรติเหลียงซื่อยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา มองทุกอย่างเบื้องหน้าด้วยท่าทีที่สงบ ตอนที่หลี่ซื่อพยุงฮูหยินผู้เฒ่าเข้ามา นางก็ไม่ได้หลบเลี่ยงอะไร เผชิญกับดวงตาของหลี่ซื่อที่มองมาอย่างมีชัย"ฮูหยินผู้เฒ่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยแล้ว" เหลียงซื่อกล่าวเบา ๆฮูห
ตอนที่เหลียงซื่อเดินเข้ามาก็ไม่ได้เป็นจุดสนใจอะไร เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่มีงานเลี้ยงหรืองานรื่นเริงอะไรในจวน นางก็มักจะเดินวุ่นไป ๆ มา ๆ อยู่แล้วแต่ว่าครั้งนี้นางได้เดินตรงเข้ามานั่งลงทันที จากนั้นก็เอ่ยถามมหาเสนาบดีเซี่ย "จริงสิ เรื่องที่เกิดเพลิงไหม้ในวันแต่งงานของท่าน ท่านได้ตรวจสอบให้กระจ่างหรือยัง?"จิ้นกั๋วกงก็ไม่พอใจที่จู่ ๆ นางก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ใบหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย และกล่าวตำหนิ "ฮูหยินรอง วันนี้ไม่เหมาะที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ค่อยคุยกันวันหลังเถิด"เหลียงซื่อกลับยิ้มออกมาเบา ๆ เป็นรอยยิ้มที่เยือกเย็นเกินจะพรรณนาออกมาได้ "ไม่เหมาะสมอย่างไรหรือเจ้าคะ? ทุกคนล้วนก็อยู่ที่นี่กันหมดแล้ว เราก็ควรใช้โอกาสนี้พูดคุยถึงเรื่องนั้นกันไปเลยสิเจ้าคะ"ซีเหมินเสี่ยวเยว่เหลือบมองไปที่นายท่านรองซีเหมิน เรื่องนี้เขาเองก็รู้เรื่องในภายหลัง เพราะหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น นางก็ได้บอกกับเขาไปแล้ว หลังจากที่ต้องอดทนอดกลั้นกับเรื่องที่เกิดขึ้น มหาเสนาบดีเซี่ยก็จะเสนอชื่อให้เขาเป็นรองเสนาบดีกรมอากรนายท่านรองซีเหมินได้กลับมาเล่าให้จิ้นกั๋วกงฟังแล้ว ซึ่งเขาก็พอใจกับการตัดสินใจของซีเ
จิ้นกั๋วกงยกย่องนางต่อหน้าทุกคน เดิมทีอยากให้นางไว้หน้ากัน เชื่อฟัง และควรจะรู้ถึงความเหมาะสมแต่ว่าเห็นได้ชัดวันนี้เหลียงซื่อดื้อรั้นมาก นางเงยหน้าขึ้นมองซีเหมินเสี่ยงเยว่ "ตอนที่เรือนด้านข้างเกิดไฟไหม้ ข้ากับคุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ยตรวจนับสินสอดกันอยู่ แต่ว่า พูดไปแล้วมันก็แปลกประหลาดนัก ตั้งแต่ที่ข้าดื่มสุราที่บ่าวรับใช้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่านำมาให้ ก็รู้สึกไร้ซึ่งเรี่ยวแรง หลังจากเข้าไปในเรือนด้านข้างแล้ว ขนาดจะยืนยังยืนแทบไม่ไหว ท่านว่านี่มันแปลกหรือไม่?"ฮูหยินผู้เฒ่าชะงักไปในทันที "ที่ฮูหยินรองพูดหมายความว่าอย่างไร? ท่านจะบอกว่าข้าเป็นคนวางยาท่านหรือ?"รอยยิ้มของเหลียงซื่อมืนมน "ฮูหยินผู้เฒ่าก็อย่ามารับตำแหน่งผู้วางยาสิเจ้าคะ อันที่จริง นอกจากข้าจะดื่มสุราแล้ว ข้าก็ยังทานอาหารไปเยอะมาก"ใต้เท้าไท่เป่ารู้จักนิสัยของเหลียงซื่อดี ถ้านางไม่ได้คำตอบที่นางต้องการ นางก็จะทำตัวหยาบคายไร้เหตุผลไม่จบไม่สิ้น แต่นางก็ไว้หน้าจวนจิ้นกั๋วกงมาโดยตลอด สำหรับนางแล้ว เรื่องทุกอย่างของจวนจิ้นกั๋วกงก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของนาง วันนี้กลับไม่ไว้หน้ากัน ถามคำถามที่ไม่ควรถาม หรือว่ามีเรื่องที่ปิดบังไว้อยู
จิ้นกั๋วกงโมโหอย่างขีดสุด ที่ผ่านมาเมื่ออยู่ในจวนแห่งนี้ อย่าว่าแต่เรื่องที่เขาจะโกรธเลย แค่กระแอมเล็กน้อยหรือทำหน้าตาเคร่งขรึม เหลียงซื่อก็เข้าใจได้ในทันทีแต่ว่าตอนนี้เขากำลังโมโหเป็นอย่างมาก เหลียงซื่อก็ยังไม่หุบปากสงบปากสงบคำนายท่านรองซีเหมินเข้าไปดึงแขนหยวนซื่อไว้ "พอเถิด เจ้าดูสิ เจ้าทำให้ท่านพ่อโกรธแล้ว ยังไม่ออกไปอีกรึ?"เหลียงซื่อจ้องไปที่ผู้เป็นสามี รู้สึกเกลียดจนอยากจะตบหน้าเขาไปสักฉาดจริง ๆ เป็นสามีภรรยากัน แต่เขากลับยินยอมให้ซีเหมินเสี่ยวเยว่สังเวยชีวิตของนางซึ่งเป็นภรรยาที่อยู่กินกับเขามานับยี่สิบปีแต่ว่านางต้องอดทนไว้ ตั้งแต่ที่เหมือนตายไปแล้วครั้งหนึ่ง นางก็เริ่มคิดอย่างมีเหตุมีผล วันนี้อย่างไรเสียก็ต้องพูดให้กระจ่าง ดังนั้นจึงต้องกล่าวออกไปดี ๆเหลียงซื่อสะบัดแขนออกจากมือเขา แล้วค่อย ๆ คุกเข่าลงต่อหน้าไท่เป่า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น น้ำตาคลอเบ้า "ใต้เท้าเจ้าคะ ท่านคือผู้อาวุโสของตระกูลซีเหมินของเรา วันนี้ข้าต้องลองเสี่ยง คุกเข่าลงต่อหน้าท่าน ขอให้ท่านโปรดช่วยทวงความยุติธรรมให้แก่ข้าด้วย"ไท่เป่าสีหน้าเคร่งขรึม "กล่าวต่อไป!"เหลียงซื่อเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นท
จื่ออันพอได้ยินดังนั้น ก็ค่อย ๆ ยิ้มขึ้นมา คนนอกที่หลี่ซื่อพูดถึงคงจะหมายถึงตัวนางกระมัง?เหล่าผู้อาวุโสที่ได้ยินดังนั้น ต่างก็มองหน้ากัน นิสัยของเหลี่ยงซื่อก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร จะมีใจริษยาบ้างก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งครั้งนี้ก็ถูกไฟเผาจนเกือบจะต้องตาย ก็เลยเกิดความคิดที่ไม่ดีเช่นนี้หรืออาจจะเป็นเพราะ ถูกคนหลอกใช้จริง ๆ อันที่จริงคนนอกก็พูดกันว่าเซี่ยจื่ออันเป็นคนที่มีแผนการสูงซีเหมินเสี่ยวเยว่มองไปที่เหลียงซื่ออย่างมีชัย ก็นึกว่านางจะมีหลักฐานอะไร ก็แค่วางมาดใหญ่โตเพื่อตบตาผู้คน พูดขึ้นมาลอย ๆใครเขาจะไปเชื่อ?แต่ว่านางก็ไม่ได้แสดงออกถึงการที่ตนถือไพ่เหนือกว่าออกมาให้ใครเห็น นางลุกขึ้น แล้วเดินไปคุกเข่าลงต่อหน้าไท่เป่า "ท่านปู่ห้า เรื่องนี้จะโทษอาสะใภ้รองก็คงไม่ได้ เดิมทีก็เป็นเพราะข้าจัดการได้ไม่ดีพอ ในวันแต่งงานตอนนั้น เนื่องจากบุตรสาวคนโตของจวนมหาเสนาบดีไม่ยอมคำนับข้าเป็นแม่ นางไม่ได้คุกเข่าโขกศีรษะและยกน้ำชาให้ข้า ดังนั้นจึงทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ ก็เลยบ่นให้อาสะใภ้รองฟัง ซึ่งท่านอาก็เห็นว่าที่นางทำเช่นนั้นเป็นการไม่ไว้หน้าจวนกั๋วกงของเรา จึงอยากช่วยระบายความคั
เหลียงซื่อยังไม่ได้กล่าวอะไร จิ้นกั๋วกงก็พูดเสียงดังขึ้นมา "นางจะพูดอะไรได้อีก? ทั้งวี่ทั้งวันก็เอาแต่คิดฟุ้งซ่านว่ามีคนทำร้ายนาง เหตุเพลิงไหม้เดิมมันก็เป็นแค่อุบัติเหตุอยู่แล้ว แค่คิดดูก็รู้ จวนมหาเสนาบดีไม่มีทางลงมือกับคนของจวนกั๋วกงของเราเป็นแน่ เรื่องนี้ทางฝั่งของจวนมหาเสนาบดีจะได้ประโยชน์อันใด? ถ้าตามที่นางกล่าวหามา เพื่อที่จะฆ่าคุณหนูใหญ่ของจวนมหาเสนาบดี ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เหลวไหล คนเป็นพ่อจะฆ่าบุตรสาวของตนเองได้ลงคออย่างไร และถึงแม้จะฆ่าได้ ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างเหตุเพลิงไหม้เสียใหญ่โต คนที่มีสมองย่อมจะไม่คิดเช่นนี้ และจะว่าไปแล้ว หลังจากที่เสี่ยวเยว่ของพวกเราแต่งออกไป ก็พูดกันดีแล้วว่านางคือผิงชี แต่เซี่ยจื่ออันกลับไม่คุกเข่าโขกศีรษะคำนับ และไม่ยกน้ำชา ตามกฎแล้ว เดิมทีก็สามารถสั่งสอนนางได้ เหตุใดต้องลอบวางเพลิงด้วยเล่า?"ตาวเหล่าต้ากับเสี่ยวซุนที่ยืนอยู่นอกประตู ก็ได้ฟังคนที่อยู่ด้านในห้องโถงพูดคุยกันมาโดยตลอดหลังจากที่ตาวเหล่าต้าได้ยินสิ่งที่จิ้นกั๋วกงพูด ก็กระซิบถามเสี่ยวซุน "ตาเฒ่าชั่วช้านี้น่ารังเกียจเสียจริง เจ้าว่าเขาจะรังแกคุณหนูใหญ่หรือไม่?"เสี่ยวซุนกล่าวเสียงค่อย "ร
ไท่เป่าเงยหน้าขึ้น มองดูฮูหยินผู้เฒ่าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม "ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล คนที่มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้าง ไม่จำเป็นต้องไปสนใจคำพูดเหลวไหลพวกนั้น อีกทั้งทุกคนก็ล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เรื่องที่ไม่ดีก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว เช่นนั้นก็ให้มันแล้วกันไป ดีหรือไม่?"ตอนที่เขาคำถามนี้ ก็ได้มองไปที่จิ้นกั๋วกงแม้ว่าจิ้นกั๋วกงต้องการที่จะยุติเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่ว่าเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว พูดออกมาแล้วก็ตั้งมากมาย ประเด็นที่เหลียงซื่อกล่าวมาก็มีข้อสงสัยอยู่หลายจุด หากไม่อธิบายให้กระจ่าง เหล่าผู้อาวุโสก็ไม่รู้ว่าจะคิดเห็นเช่นไรกับจวนกั๋วกงดังนั้นเขาคิดว่ามีเรื่องไหนที่จำเป็นต้องพูดก็แค่พูดออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตอนนี้พวกเขาก็ถือไพ่เหนือกว่า ไท่เป่าก็จะได้ไม่เชื่อคำพูดของเหลียงซื่อ หากไม่ใช้โอกาสในวันนี้ทำให้ทุกเข้าใจ ก็ไม่ว่าวันไหนจะมีใครหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกดังนั้นจิ้นกั๋วกงจึงลุกขึ้นมาและกล่าวอย่างนอบน้อม ไท่เป่า ตระกูลซีเหมินของพวกเราตั้งรกรากอยู่ในเมืองหลวงมานานกว่าสองร้อยปี ชื่อเสียงดีงาม เกียรติยศสูงส่ง ไม่เคยแปดเปื้อนด้วยเรื่องสกปรกอันใด ด้วยเหตุนี้จึงได้รับความเคาร
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว