ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นมือออกไปบีบนางเบา ๆ "เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป หยวนซื่อจะกลับมาก็ให้กลับมาเถิด ช้าเร็วนางก็ต้องกลับมาอยู่ดี นางกลับมาในคืนแต่งงานของเจ้า คนที่จะต้องรู้สึกแย่ก็คือนางไม่ใช่เจ้า อีกอย่าง ถ้าเจ้าอยากอยู่ที่เรือนเซี่ยจื่อหย่วนจริง ๆ ข้าจะทำทุกวิถีทางให้นางย้ายออกมาเพื่อเจ้า วางใจเถิด"ซีเหมินเสี่ยวเยว่ก็คิดว่าที่ฮูหยินผู้เฒ่าพูดมาก็มีเหตุผล วันนี้เป็นวันแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของนาง หยวนซื่อกลับมาก็เท่ากับหาเรื่องให้ตนเองรู้สึกปวดใจ เช่นนั้นก็ยิ่งต้องให้นางกลับมาเรือนเซี่ยจื่อหย่วนนางจะชอบหรือไม่ชอบนั้นก็เป็นแค่เรื่องหนึ่ง แต่ว่าจะต้องยืนหยัดต่อไป เป็นการบอกให้คนในจวนรู้ว่า ต่อไปฮูหยินของจวนมหาเสนาบดีมีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้น แม้กระทั่งหยวนซื่อ นางยังขับไล่ไปไหนก็ได้ตามใจชอบแต่ว่านางก็ไม่ใช่คนที่ไร้สติปัญญา "ท่านแม่ แต่ว่าตอนนี้หยวนซื่อถูกแต่งตั้งให้เป็นเสี้ยนจู่แล้ว หากนางไม่เต็มใจจะย้ายออก พวกเราก็ไม่อาจไปบีบบังคับนางได้นะเจ้าคะ"ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว "เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ รักษาบาดแผลให้ดีก่อน คืนนี้ก็พักอยู่ที่เรือนเซียวเซียงหย้วนก่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าจะไปพูดกับหยวนซื่
หยวนซื่อกล่าวอย่างสงบนิ่ง "ข้าควรจะไปขอบคุณท่านอ๋อง""ใช่แล้ว ดีใจไหมเจ้าคะ?" จื่ออันหวังเป็นอย่างยิ่งว่านางจะยิ้มออกมาด้วยใจจริง เหมือนกับคนทั่ว ๆ ไปยิ้มออกมาความจริงก็มีหลายครั้งแล้วที่หยวนซื่อยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มของนางนั้นไม่มีความดีใจแม้แต่น้อย มันเหมือนการแสดงออกที่เค้นออกมาจากเนื้อหนังหยวนซื่อพยักหน้า "มีความสุข เป็นเสี้ยนจู่จะได้รับรายได้จากที่ดินขององค์จักรพรรดิส่วนหนึ่ง อย่างน้อย ๆ หากต่อไปทางจวนมหาเสนาบดีไม่ให้ค่าใช้จ่ายแก่เรา แต่พวกเราก็ยังสามารถพึ่งพาตนเองได้"สำหรับหยวนซื่อแล้ว ประโยชน์สูงสุดของการได้เป็นตานชิงเสี้ยนจู่ก็คือได้เงินภาษีจากที่ดิน สามารถทำให้พวกนางสองแม่ลูกทานข้าวได้อิ่มท้องส่วนเรื่องอื่นนั้น ตอนที่นางยังสาวก็ไม่ได้ขวนขวายอยากได้ ตอนนี้ก็ไม่ได้อยากได้เหมือนกันสำหรับนางแล้ว ลาภยศสรรเสริญและความมั่งคั่งอยู่ใกล้แค่เอื้อมมาโดยตลอด เพียงแต่สิ่งที่นางต้องการมาตลอดนั้นไม่ใช่สิ่งเหล่านี้"จื่ออัน" จู่ ๆ หยวนซื่อก็กุมมือของจื่ออันแน่น "เจ้าช่วยข้าสักเรื่องนะ""ท่านแม่ มีเรื่องอะไรจะใช้หรือ? ท่านสั่งมาก็พอ" นานครั้งจื่ออันจะเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมของนาง จึงไ
ระหว่างทางที่กลับไป จื่ออันก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนในวันนี้ให้หยวนซื่อฟังหยวนซื่อพอได้ยินว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ ก็ตกใจจนหน้าซีด "โอ้สวรรค์ โชคดีที่เจ้าหนีออกมาได้"เสี่ยวซุนกล่าว "ใช่เจ้าค่ะ โชคดีที่มีสวรรค์คุ้มครอง"จื่ออันและหยวนซื่อพูดพร้อมกัน "อย่าไปเชื่อเรื่องสวรรค์จะปกป้องคุ้มครองอะไรเช่นนั้น"แม่นมหยางกล่าว "เสี่ยวซุน หากไม่ใช่เพราะคุณหนูใหญ่ไหวตัวทันและฉลาดเฉลียว วันนี้คงต้องเอาชีวิตไปทิ้งในกองเพลิงนั่นแล้ว”นางมองไปที่จื่ออัน "คุณหนูใหญ่ ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนเอาคืนเลย ตอนนี้ได้ทำให้มหาเสนาบดีเซี่ยรู้ตัวแล้ว ทั้งยังทำให้ราชสำนักวุ่นวาย อย่างไรเสียเขาก็เป็นมหาเสนาบดีของต้าโจว มีหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของเขา ดังนั้นเขาจึงยังมีอิทธิพลมากเกินไปนะเจ้าคะ"จื่ออันมองไปยังนาง "แม่นมหยางโปรดวางใจ ความสามารถในการอดทนอดกลั้นข้ายังมีอยู่ คนที่ข้าเผชิญหน้าด้วยคือมหาเสนาบดีของราชสำนัก หากทำให้เขาล้มลงด้วยเรื่องในครอบครัวได้ ข้าก็คงผลักความรับผิดชอบออกจากตัวมิได้ เพราะได้ทำให้เขาที่เป็นมหาเสนาบดีเสียหน้า มิใช่หรือ? มหาเสนาบดีของราชสำนัก หากไม่ตายอย่างยิ่งใหญ่และงด
แต่ว่าเด็กรับใช้ก็คือคนที่ได้รับบาดเจ็บแล้วก็ควรจะลาพักได้"ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการพบข้าใช่หรือไม่?" จื่ออันอดทนต่อการจดจ้องอย่างเหิมเกริมของป้าหลานยู่แล้วกล่าวถามป้าหลานยู่กลอกตา และกล่าวออกมาอย่างไม่รีบร้อน "คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการพบก็คือฮูหยินใหญ่ แต่ว่านายท่านก็ต้องการพูดคุยกับท่านเสียหน่อย""เสี่ยวซุน เชิญฮูหยินออกมา" จื่ออันหันกลับไปสั่งเสี่ยวซุนรับคำสั่งแล้วเดินเข้าไปด้านใน สักพักก็พยุงหยวนซื่อออกมาป้าหลานยู่หัวเราะอย่างมีชัย แล้วมองไปที่จื่ออัน "คุณหนูใหญ่ เมื่อครู่นี้ถ้าให้ความร่วมมือเรื่องก็คงจะจบไปแล้วจริงหรือไม่? จำเป็นต้องไปเสียเวลากับบ่าวพวกนี้ด้วยหรือ? นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้านายใจดีควรจะทำ เชิญเจ้าค่ะ!"จื่ออันพยุงหยวนซื่อเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าป้าหลานยู่ นางยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ป้าหลานยู่จึงยิ้มเย้ยหยัน "เป็นอะไรไป? คุณหนูใหญ่จะตบบ่าวอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?"จื่ออันปล่อยมือจากหยวนซื่อทันที แล้วโผเข้าไปบีบคอป้าหลานยู่ และผลักนางไปชิดขอบกำแพงที่ล้อมเรือนดวงตาของนางดุร้าย ราวกับจะกลืนกินชีวิตของป้าหลานยู่ไปอย่างไรอย่างนั้น แต่ว่าป้าหลานยู่ไม่กลัวเลยสักนิดและยังคงยิ้ม
ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่เรือนเซี่ยวเซียงหย้วน ป้าหลานยู่แน่นอนว่าจะต้องนำหยวนซื่อและจื่ออันไปยังเรื่อนเซี่ยวเซียงหย้วนโคมไฟสีแดงอันใหญ่แขวนไว้ยังประตูสูงใหญ่ของเรือนเซี่ยวเซียงหย้วน เป็นการป่าวประกาศออกไปให้ทุกคนได้รู้ ค่ำนี้เป็นวันมหามงคลของจวนมหาเสนาบดีเซี่ยถึงแม้วันนี้จะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งดีทำร้ายร่างกาย มีคนเสียชีวิต แต่ทว่า ไม่ว่าจะเกิดการสูญเสียขึ้นเช่นไร ค่ำนี้ก็ยังคงเป็นคืนมงคลของมหาเสนาบดีเซี่ยซีเหมินเสี่ยวเยว่และมหาเสนาบดีเซี่ยนั่งอยู่ในห้องโถงของเรือนเซี่ยวเซียงหย้วน ที่พวกเขาต้องการให้หยวนซื่อมานั้น ก็เป็นความเห็นของนางด้วยเช่นกันนางในตอนต้นนั้นรู้สึกว่า วันนี้ส่งหยวนซื่อออกไป เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดนัก นางควรจะให้หยวนซื่อนั้นอยู่ในจวน ให้นางได้สัมผัสกับฉากที่สามีของตนนั้นแต่งผิงชีนางยังอยากจะบอกกับหยวนซื่อด้วยตนเอง นางนั้นเริ่มแก่ชราลงแล้ว ควรจะละทิ้งตำแหน่งนั้นได้แล้วนางรู้ว่าตอนนี้หยวนซื่อนั้นตาบอดมิอาจมองเห็นได้ นางไม่ได้สนใจต่อบาดแผลของตน เมื่อครู่หมอหลวงได้เข้ามาแล้ว หมอหลวงบอกว่าใบหน้าของนางนั้นถึงแม้จะมีรอยแผลอยู่ชั่วคราว แต่ในวังน
“ดี เจ้าเข้าไปด้านในห้องกับข้าเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน ผายมือให้ป้าหลานยู่เดินเข้าไปประคองหยวนซื่อป้าหลานยู่เดินเข้ามาก็ตรงเข้าลากแขนของหยวนซื่อ ออกแรงอย่างหยาบคาย หยวนซื่อโดนนางลากจนซวนเซไปมา เกือบจะล้มลงไปกับพื้นจื่ออันคิดก็ไม่ทันได้คิด ก้าวไปข้างหน้าตบลงบนใบหน้าของป้าหลานยู่ เอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าคอยรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ามานานแล้ว ยังกล้าที่จะกระทำการไม่เคารพแก่เจ้านายอีก? หากไม่สั่งสอนเจ้าสักเล็กน้อย วันหน้าเจ้าคงจะลากฮูหยินผู้เฒ่าลงไปบนพื้น?”หลานยู่โดนตบหน้าเข้าโมโหเป็นอย่างมาก แต่มองเห็นแววตากรุ่นโกรธของจื่ออันแล้ว นางตกใจจนไม่กล้าเถียงออกมาฮูหยินผู้เฒ่าหันกลับมา เอ่ยอย่างไม่ชอบใจนัก “เกิดเรื่องอะไรกันขึ้น? จื่ออัน หลานยู่เป็นคนข้างกายของข้า ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ชอบใจนาง แต่ก็มิอาจลงมือตีนางได้”จื่ออันลืมตาขึ้นพร้อมเอ่ยออกมา “ฮูหยินผู้เฒ่า หลานสาวแค่ช่วยท่านสั่งสอนนาง นางเมื่อครู่อีกเพียงนิดก็จะดึงจนท่านแม่ล้มลง ผู้ที่รู้ก็จะบอกว่านางประมาทไม่ทันระวัง แต่ผู้ที่ไม่รู้ ก็จะคิดว่าเป็นท่านตั้งใจที่จะให้นางทำร้ายท่านแม่”ฮูหยินผู้เฒ่าคิ้วค่อย ๆ ขมวดขึ้น นัยน์ต
มหาเสนาบดีเซี่ยจู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้น “ไฟไหม้เรือนหอ เป็นฝีมือเจ้า ใช่หรือไม่?”จื่ออันเผยยิ้มขึ้นมา “ท่านมหาเสนาบดีช่างมีจินตนาการล้ำเลิศนัก หรือว่าท่านจะรู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำ”นางไม่ได้ยอมรับแต่กลับไม่ปฎิเสธซีเหมินเสี่ยวเยว่เอ่ยเสียงเย็น “เป็นเจ้าจริงรึ? ข้าและเจ้ามีความโกรธแค้นอันใดกัน? เจ้าถึงกลับกล้าวางเพลิงเผาข้าจนตาย?”จื่ออันยิ้มกว้างขึ้น มองใบหน้าโมโหโกรธของซีเหมินเสี่ยวเยว่แต่ทำราวกับผู้บริสุทธิ์ “ฮูหยินเสี่ยวเยว่พูดประโยคนี้ออกมาช่าง… ทำให้ข้าไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี ถึงแม้ว่าข้าจะรู้ว่าบาดแผลของกุ้ยหยวนและเพลิงไหม้เรือนด้านข้างเป็นแผนการของฮูหยิน แต่ว่าไม่มีหลักฐาน ข้าจึงมิอาจพูดชี้ชัดออกไปได้ ดังนั้นการที่ถูกฮูหยินกล่าวโทษนั้น ข้าเองก็ไม่อาจยอมรับได้”ซีเหมินเสี่ยวเยว่ดวงตาจ้องเขม็ง ขุ่นเคืองจนพูดไม่ออก นางในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมท่านปู่ถึงได้ห้ามมิให้นางอย่าเพิ่งจัดการกับแม่ลูกหยวนซื่อ นางนั้นประเมินพวกนางไว้ต่ำเกินไปทางด้านนี้นั้นหมดคำพูดที่จะเอ่ยออกมาแล้ว ถึงแม้ว่ามหาเสนาบดีเซี่ยจะยังคงสงสัยและมั่นใจ แต่ว่าเขาไม่มีหนทางที่จะชี้ชัดว่าเป็นนางต่อให้มีหล
หยวนซื่อเอ่ยอย่างสงบเยือกเย็น “เพราะว่าท่านไม่เคยคิดถึงดูแลจื่ออัน หลายปีมานี้ก็เป็นเช่นนี้มาตลอด ในตอนที่จวนมหาเสนาบดีบังคับให้นางแต่งงานนั้น ท่านที่เป็นท่านย่า ไม่เคยคิดถึงสายสัมพันธ์ที่มี มองเพียงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการแต่งงาน คิดเพียงแต่ที่ช่วยให้เซี่ยหว่านเอ๋อได้ก้าวสู่ตำแหน่งพระชายาขององค์รัชทายาท แต่กลับเลือกที่จะลืมความสุขในชีวิตของจื่ออัน”ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายศรีษะ “ไม่ ที่เจ้าโกรธเกลียดข้ามิใช่เพราะเหตุผลนี้ แต่เป็นเพราะในตอนที่เฉินหลิงหลงเข้าจวนมานั้น ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าไล่นางออกไป แต่เก็บนางไว้ในจวนแล้วยึดอำนาจนายหญิงของเจ้าไป”หยวนซื่อยิ้มอ่อน มีความแดกดันเล็กน้อย “เกี่ยวข้องอันใดกันกับเฉินหลิงหลงกัน? หากมิใช่เป็นเพราะนางที่บังคับให้จื่ออันแต่งงานแล้ว นางก็คงไม่ดึงดูดความเกลียดชังจากข้าได้ ส่วนเรื่องที่จะไล่เฉินหลิงหลงออกจากจวนนั้น ข้าทำไมต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยเหลือข้าด้วย? ด้วยแรงพลังของข้าเพียงคนเดียวนั้น ก็สามารถไล่นางออกไปได้ ส่วนเรื่องอำนาจนายหญิงของจวน สำหรับข้าแล้วนั้น เป็นดั่งความไม่แน่นอน ข้าไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ”“เจ้ากล่าวว่าสามาร
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว