มหาเสนาบดีเซี่ยจู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้น “ไฟไหม้เรือนหอ เป็นฝีมือเจ้า ใช่หรือไม่?”จื่ออันเผยยิ้มขึ้นมา “ท่านมหาเสนาบดีช่างมีจินตนาการล้ำเลิศนัก หรือว่าท่านจะรู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำ”นางไม่ได้ยอมรับแต่กลับไม่ปฎิเสธซีเหมินเสี่ยวเยว่เอ่ยเสียงเย็น “เป็นเจ้าจริงรึ? ข้าและเจ้ามีความโกรธแค้นอันใดกัน? เจ้าถึงกลับกล้าวางเพลิงเผาข้าจนตาย?”จื่ออันยิ้มกว้างขึ้น มองใบหน้าโมโหโกรธของซีเหมินเสี่ยวเยว่แต่ทำราวกับผู้บริสุทธิ์ “ฮูหยินเสี่ยวเยว่พูดประโยคนี้ออกมาช่าง… ทำให้ข้าไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี ถึงแม้ว่าข้าจะรู้ว่าบาดแผลของกุ้ยหยวนและเพลิงไหม้เรือนด้านข้างเป็นแผนการของฮูหยิน แต่ว่าไม่มีหลักฐาน ข้าจึงมิอาจพูดชี้ชัดออกไปได้ ดังนั้นการที่ถูกฮูหยินกล่าวโทษนั้น ข้าเองก็ไม่อาจยอมรับได้”ซีเหมินเสี่ยวเยว่ดวงตาจ้องเขม็ง ขุ่นเคืองจนพูดไม่ออก นางในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมท่านปู่ถึงได้ห้ามมิให้นางอย่าเพิ่งจัดการกับแม่ลูกหยวนซื่อ นางนั้นประเมินพวกนางไว้ต่ำเกินไปทางด้านนี้นั้นหมดคำพูดที่จะเอ่ยออกมาแล้ว ถึงแม้ว่ามหาเสนาบดีเซี่ยจะยังคงสงสัยและมั่นใจ แต่ว่าเขาไม่มีหนทางที่จะชี้ชัดว่าเป็นนางต่อให้มีหล
หยวนซื่อเอ่ยอย่างสงบเยือกเย็น “เพราะว่าท่านไม่เคยคิดถึงดูแลจื่ออัน หลายปีมานี้ก็เป็นเช่นนี้มาตลอด ในตอนที่จวนมหาเสนาบดีบังคับให้นางแต่งงานนั้น ท่านที่เป็นท่านย่า ไม่เคยคิดถึงสายสัมพันธ์ที่มี มองเพียงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการแต่งงาน คิดเพียงแต่ที่ช่วยให้เซี่ยหว่านเอ๋อได้ก้าวสู่ตำแหน่งพระชายาขององค์รัชทายาท แต่กลับเลือกที่จะลืมความสุขในชีวิตของจื่ออัน”ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายศรีษะ “ไม่ ที่เจ้าโกรธเกลียดข้ามิใช่เพราะเหตุผลนี้ แต่เป็นเพราะในตอนที่เฉินหลิงหลงเข้าจวนมานั้น ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าไล่นางออกไป แต่เก็บนางไว้ในจวนแล้วยึดอำนาจนายหญิงของเจ้าไป”หยวนซื่อยิ้มอ่อน มีความแดกดันเล็กน้อย “เกี่ยวข้องอันใดกันกับเฉินหลิงหลงกัน? หากมิใช่เป็นเพราะนางที่บังคับให้จื่ออันแต่งงานแล้ว นางก็คงไม่ดึงดูดความเกลียดชังจากข้าได้ ส่วนเรื่องที่จะไล่เฉินหลิงหลงออกจากจวนนั้น ข้าทำไมต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยเหลือข้าด้วย? ด้วยแรงพลังของข้าเพียงคนเดียวนั้น ก็สามารถไล่นางออกไปได้ ส่วนเรื่องอำนาจนายหญิงของจวน สำหรับข้าแล้วนั้น เป็นดั่งความไม่แน่นอน ข้าไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ”“เจ้ากล่าวว่าสามาร
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถาม “วิธีอะไร? เจ้ารีบพูดออกมาให้ข้าฟังก่อน”หยวนซื่อส่ายศีรษะ “หากว่าข้าพูดออกไปแล้ว สัญญาขายตัวของกุ้ยหยวนข้าก็จะไม่ได้มันมา ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจได้ ข้าหยวนชุ่ยอวี่คำพูดสามารถเชื่อถือได้ ในเมื่อรับปากเรื่องราวนี้กับท่านแล้ว จะต้องทำสำเร็จเป็นแน่”ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องมองยังนาง “ข้าไม่เชื่อเจ้า” นางไม่เชื่อหยวนซื่อ เป็นเพราะว่านางที่พูดออกมาเองว่าผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิไม่มีทางที่จะเห็นแก่พวกพ้อง หากว่ากันตามกฎหมายแล้ว ซีเหมินเสี่ยวชิ่งไม่มีทางที่จะได้รับโทษน้อยลงเป็นแน่หยวนซื่อลุกขึ้นยืน “ดี งั้นพวกเราก็คงไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยกันอีกแล้ว”ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้นโดยทันที “หยวนชุ่ยอวี่ อย่าทำเป็นไว้หน้าให้แล้วไม่ยอมรับมันไว้”หยวนซื่อค่อย ๆ ขมวดคิ้ว “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านมิได้ไว้หน้าข้า ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากได้ ท่านเสนอออกมา ข้าตอบรับ ท่านทำเรื่องของท่านให้สำเร็จ ข้าทำเรื่องของข้าให้สำเร็จ ต่างก็มีความสุขกัน จากนั้นก็ค่อยแสร้งว่าอยู่กันอย่างสงบสุขต่อไป เสแสร้งเป็นครอบครัวเดียวกัน มิใช่เรื่องที่ดีหรอกหรือ? ท่านกลับต้องการที่จะฉีกหน้ากัน ให้ข้าหยวนชุ่ยอวี่ใช
มหาเสนาบดีเซี่ยถึงกับชะงัก “อะไรกัน? ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าตบตีเจ้าหรือ?”“ใช่เจ้าค่ะ นายท่านช่วยให้ความเป็นธรรมแก่บ่าวด้วยนะเจ้าคะ!” หลานยู่เอ่ยทั้ง ๆ ที่ยังร้องไห้ซีเหมินเสี่ยวเยว่นั้นไม่ได้เป็นห่วงในเรื่องนี้ ถึงอย่างไรแล้ว นางก็เป็นแค่ทาสรับใช้ “ท่านแม่ได้เอ่ยกับนางเรื่องที่จะให้ย้ายออกจากเรือนเซี่ยจื่อหย่วนหรือยังเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่าใบหน้าดูมืดมน “ยังมิได้เอ่ย และมิอาจเอ่ยขึ้นมาได้ เจ้าพักอาศัยอยู่ที่เรือนเซี่ยวเซียงหย้วนเป็นการชั่วคราวก่อน”ซีเหมินเสี่ยวเยว่ทำหน้าตึง “เรื่องนี้ก่อนหน้านี้ก็ตกลงกันไว้ดีแล้ว”ฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เปลี่ยนแปลงความเมตตาที่เคยมีให้ซีเหมินเสี่ยวเย่วก่อนหน้านั้น เปลี่ยนเป็นรังเกียจและขยะแขยง “ที่นั่นคนมิอาจอยู่อาศัยได้งั้นรึ? สิ่งที่เซี่ยจื่อหย่วนมี เรือนเซี่ยวเซียงหย้วนก็มีเหมือนกัน สิ่งที่เซี่ยจื่อหย่วนไม่มี เรือนเซี่ยวเซียงหย้วนกลับมีครบ”ซีเหมินเสี่ยวเยว่เมื่อพบว่าจู่ ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าใบหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลง ทั้งโมโหทั้งน้อยเนื้อต่ำใจ แต่มิอาจที่จะมีเรื่องมีราวกับนางในวันนี้ได้ ทำได้เพียงเอ่ยเสียงเบา “ข้าพักอยู่ที่นั้นมิได้เป
จื่ออันสอบถามถึงข้อแลกเปลี่ยนของหยวนซื่อและฮูหยินผู้เฒ่า หยวนซื่อถึงได้เอ่ยเล่าออกมา อย่างละเอียดถี่ยิบจื่ออันเอ่ยถามอย่างกังวลใจ “สามารถนำสัญญาขายตัวของกุ้ยหยวนกลับมาได้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าจะทำอย่างไรกันให้โทษของซีเหมินเสี่ยวชิ่งลดน้อยลง? พวกเราเองก็มิอาจจะไปขอร้องท่านอ๋องได้”หยวนซื่อค่อย ๆ ยิ้ม “เจ้าควรที่อ่านกฎหมายของต้าโจวให้มากขึ้นอีก ในกฎหมายนี้มีอยู่ข้อนึง เมื่อคนที่ทำร้ายผู้อื่นนั้นมีอาการบ้าคลั่ง ก็จะสามารถละเว้นโทษหรือลดโทษได้”จื่ออันส่งเสียง ‘อ่า’ ออกมาคำนึง คาดไม่ถึงว่าต้าโจวเองก็มีกฎหมายข้อนี้ด้วยเหมือนกันจื่ออันยิ้มพร้อมเอ่ยออกมา “ท่านแม่ หนังสือเหล่านั้นที่ท่านแม่อ่าน วันนี้เริ่มที่จะมีประโยชน์แล้ว”“พรุ่งนี้เจ้าไปที่นั่น และเอ่ยกับเหลียงซื่อสักเล็กน้อย เหลียงซื่อจะรู้ได้เองว่าจะหาผู้ใดที่จะสามารถออกมายืนยันได้ว่าซีเหมินเสี่ยวชิ่งมีอาการบ้าคลั่ง” หยวนซื่อเอ่ย“เจ้าค่ะ วันพรุ่งนี้ข้าจะไปเจ้าค่ะ” จื่ออันเอ่ยออกมาจนไม่มีคำพูดใดที่จะเอ่ยกันแล้วจื่ออันตั้งแต่เช้าก็แบกกล่องยาออกจากจวนไปนางไปยังบ้านฝั่งมารดาของหยวนซื่อก่อน นำแผนการมาบอกกับเหลียงซื่อ เหลียง
ประตูทางเข้ามีคนเข้ามาสองคน หนึ่งคนนั้นเป็นเด็กรับใช้ที่ก่อนหน้านี้อยู่ข้างกายของอ๋องเหลียง อีกผู้หนึ่งนั้นสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบเล็กน้อย ตรงเอวนั้นมีมีดเล่มหนึ่งเหน็บติดเอาไว้ มีคิ้วหนาดวงตากลมโต รูปร่างสูงใหญ่ สวมใส่รองเท้าผ้าหยาบขาดรุ่งริ่งจนนิ้วเท้าโผล่ออกมาสองนิ้วจื่ออันเหลือบมองดู ไม่พบว่าบนมือของทั้งสองนั้นมีของขวัญอะไรอยู่“ตาวเหล่าต้า ยื่นสองมือเจ้าให้คุณหนูใหญ่ดูเร็วเข้า!”เด็กรับใช้ผู้นั้นจู่ ๆ ก็ดึงมีดออกมาจากเอว “ขอรับ!”เขาส่งเสียงท้องถิ่นอันเข้มแข็งออกมา แล้วจึงพบว่าเขาค่อย ๆ หมอบนั่งลง ดาบในมือฟันออกไปข้างหน้า ได้ยินเพียงเสียง “โครม” โต๊ะด้านหน้าของอ๋องเหลียงแตกแยกออกเป็นสองส่วน อาหารเช้าบนโต๊ะตกกระจายลงบนพื้นอ๋องเหลียงเอ่ยเสียงโกรธ “ไม่ได้ให้เจ้ามาผ่าโต๊ะข้าให้แยกออกจากกันเสียหน่อย”ตาวเหล่าต้านั้นไม่ได้สนใจเขา ย่อตัวลงเก็บอาหารเช้านั้นขึ้นมา ใช้เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งนั้นห่อมัน เผยยิ้มแสดงฟันใหญ่สองซี่ออกมา “สกปรกเสียแล้ว กินไม่ได้ ทั้งหมดนี้ให้ข้าได้หรือไม่?”“เอาไป เอาไป!” อ๋องเหลียงโบกมือออกไป ใบหน้าหมดความอดทนจื่ออันเบิกตากวาง “ของขวัญที่ท่านอยากจะให้ข้
มีดเล่มนี้ หากฟาดลงไปโดนกายของอ๋องเหลียงแล้วล่ะก็ อ๋องเหลียงจะต้องกลายเป็นอ๋องเหลียงสองท่านเป็นแน่ จื่ออันตกใจเสียจนแข้งขาเริ่มจะอ่อนแรงลง สายเกินไปที่จะหยุดเสียแล้วเดิมนั้นคิดว่าอ๋องเหลียงจะหลีกหนีมิได้ แต่คาดไม่ถึงว่าจู่ ๆ เขาก็กระโดดขึ้นมาในคราเดียว จากนั้นกระโดดอย่างรวดเร็วสองสามก้าวไปยังต้นไทรที่ล้มลง แล้วกระโดดจากต้นไทรขึ้นไปยังหลังคาแต่ว่าความคมของมีดนั้นก็ยังคงทำให้ชุดของเขาขาดลงจื่ออันมองไปอย่างตกใจ นี่คืออ๋องเหลียงที่ผู้อื่นเอ่ยถึงว่าเหลวไหลไร้ความสามารถจริงหรือ? ผู้ที่เดินไม่ค่อยจะตรงนัก แต่กลับสามารถกระโดดขึ้นไปได้อ๋องเหลียงส่งเสียงคำรามมาจากบนหลังคา “เซี่ยจื่ออัน อาศัยช่วงที่องครักษ์ทั้งหลายยังมามิถึง เจ้ารีบนำเจ้าโง่นี้ออกไปเสีย”ตาวเหล่าต้าผู้ซึ้งยังไม่รู้ว่าตนทำอะไรผิดลงไป และแสดงออกมาราวกับผู้บริสุทธิ์ มองไปยังจื่ออันอย่างตกตะลึงจื่ออันถอนหายใจออกมา นางจึงเข้าไปดึงเขาออกมา “ไปกันเถอะ หากยังอยู่ที่นี่ไม่รีบออกไป ก็จะสายไปเสียแล้ว”ตาวเหล่าต้าตกใจเสียจนใบหน้าซีดขาว วิ่งออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็นึกถึงอาหารเช้าที่วางไว้อยู่ที่โต๊ะน้ำชาขึ้นมาได้ เร่งรีบหมุ
“ข้าไม่กลัวโดนหัวเราะ มีข้าวกินก็ไม่กลัวที่จะโดนหัวเราะเยาะเย้ยหรอกขอรับ”เสี่ยวซุนมองมายังเขา “เจ้ากินอาหารเช้าพวกนี้เถอะ อากาศร้อนเช่นนี้ เจ้าห่อมันตลอด เดี๋ยวจะเน่าเสียได้ ล้วนแต่เป็นของหวาน เน่าเสียได้โดยง่าย”“ไม่กิน ไม่กิน เก็บเอาไว้ให้น้องสาว” ตาวเหล่าต้าส่ายศีรษะมองไปยังสิ่งของในอ้อมแขนของตน น้ำลายก็ไหลออกมา“เจ้ายังมีน้องสาวอีกหนึ่งคนหรือ?” จื่ออันเอ่ยถาม“มีขอรับ อยู่ในวัดร้างทางตะวันออกของเมือง ข้าเข้ามาขอทานอยู่ที่นี่ขอรับ” ตาวเหล่าต้าใช้ภาษาเมืองหลวงอยู่ตลอดเวลา คงจะยากมากแล้ว “น้องสาวหิว นางรอข้าอยู่ ข้าจะต้องส่งไปให้น้องข้า”“นางก็คงจะกินไม่หมดหรอก เยอะขนาดนี้” เสี่ยวซุนเอ่ยออกมา“กินหมด กินหมด” ตาวเหล่าต้าคิดว่าเสี่ยวซุนจะแย่งไปกิน เร่งรีบกอดเอาไว้อย่างแน่นหนา “สามวันกินหมดแน่”“สามวันก็เหม็นเน่าแล้ว”“เหม็นก็ต้องกิน”จื่ออันในใจนั้นรู้สึกประทับใจ มองดูชายผู้หยาบกร้านนี้ ทั้งร่างเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ไม่มีแม้แต่รองเท้าสักคู่ ได้ยินเสียงท้องของเขาร้องดังโครกคราก ๆ แต่ก็ไม่ยอมกินแม้แต่คำเดียว“เจ้ากินก่อนเถอะ พวกเราไปรับน้องสาวของเจ้ากัน นำนางไปทานอาห
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว