จื่ออันจึงมิได้เอ่ยอันใดอีก หยิบใบมีดเล่มเล็กที่เซียวท่าหาคนช่วยนางทำออกมา กำจัดบาดแผลที่ตกสะเก็ดออกอย่างเบามือนางอดมิได้ที่จะทำความสะอาด เพราะบาดแผลที่ตกสะเก็ดแล้วนั้นจะรู้สึกคันเล็กน้อย หากท่านอ๋องอดไม่ได้ที่จะเกา เกาจนบางที่มีรอยขีดข่วน จนมีรอยเล็บที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน เพิ่งทำความสะอาดไปได้เพียงไม่กี่แห่ง กลับพบหนี่หรงที่ออกไปแล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง “ท่านอ๋อง ใต้เท้าจิงจ้าวหยินซุนมาแล้วขอรับ”“ให้เขารออีกครู่” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา“เขาบอกว่ามีเรื่องสำคัญมารายงานขอรับ” หนี่หรงเอ่ยจื่ออันวางมือ มองยังมู่หรงเจี๋ยมู่หรงเจี๋ยลุกขึ้น สวมใส่เสื้อคลุมแล้วจึงเอ่ยกับจื่ออัน “เจ้ารอข้าที่นี่สักครู่ ข้าออกไปเพียงครู่ก็กลับมาแล้ว”จื่ออันรับคำ นำใบมีดเล่มเล็กวางกลับเข้าไปในกล่องยา ภายในใจกลับเอาแต่คิดว่าใต้เท้าซุนมาด้วยเหตุอันใดนางนั่งอยู่ใกล้โต๊ะ แล้วจุดตะเกียงน้ำมันขึ้นมา จากนั้นจึงหยิบเข็มออกมาฆ่าเชื้อมีคนเคาะประตูเข้ามา เป็นสาวใช้อายุสิบสามสิบสี่ปีนางหนึ่ง นางแสดงความเคารแล้วเดินไปยังด้านหน้าของจื่ออัน “คุณหนูใหญ่เซี่ยเจ้าคะ พระสนมซุนเชิญท่านไปพบสักครู่นึ
จื่ออันเงยหน้าขึ้น พบสาวใช้หลายคนกำลังประคองสตรีผู้หนึ่งที่สวมชุดสีแดงแบบสาวชาววังเข้ามา ผิวของนางค่อนข้างขาว ใบหน้าละเอียดอ่อน ใต้คิ้วโค้งดั่งกิ่งหลิว มีดวงตาเรียวหงส์ดุร้ายคู่หนึ่ง จมูกโด่งสวย สองกลีบปากย้อมสีแดงราวกับเชอรี่ คางสวยเชิ่ดขึ้นเล็กน้อย เครื่องประดับศีรษะมิได้รู้สึกโอ้อวด แต่กลับเพิ่มความสง่างามสูงศักดิ์หลังจากนางเข้ามานั้น ก็จ้องมองมายังจื่ออัน ตาเรียวหงส์ค่อย ๆ ปรากฏร่องรอยแห่งความดูถูก ราวกับว่าไม่เห็นนางอยู่ในสายตา โดยเฉพาะใบหน้าจื่ออันในตอนนี้ที่ยังมีรอยแผลเป็นนางถามอย่างประชดประชัน “เจ้าคือเซี่ยจื่ออัน?”จื่ออันทำได้เพียงลุกขึ้นยืน “เพคะ คาระวะพระสนมซุน!”พระสนมซุนส่งเสียงอืมอย่างประชดประชัน พร้อมนั่งลง เหลือบมองยังนางครู่นึง จึงเอ่ย “นั่งลงเถอะ ยืนอยู่ทำไมกัน?”“ขอบพระทัยพระสนมเพคะ!” จื่ออันเอ่ยพร้อมลงนั่งพระสนมซุนยังคงมองมายังนาง กวักมือเรียกคนยกน้ำชาเข้ามาที่นี่มิใช่ห้องพักของมู่หรงเจี๋ย เป็นเพียงห้องรับรองด้านหน้าของจวน ดังนั้นด้านข้างจึงมีเตาถ่านอยู่ บนเต่านั้นต้มน้ำไว้ เพื่อที่มู่หรงเจี๋ยเรียกใช้ได้คลอดเวลาน้ำชายกเข้ามา มีเพียงชาของพระสนมซุน มิได
พระสนมซุนโมโห มืออีกข้างหยิบถ้วยชาอีกใบบนโต๊ะ อยากจะทุบหัวของจื่ออัน แต่จื่ออันเผยดวงตาดุร้าย บีบคอนางอย่างรวดเร็ว “ท่านลองดูอีกครั้งสิ?”พระสนมซุนคาดไม่ถึงว่านางจะกล้าทำถึงขนาดนี้ นางตกใจอยู่ครู่นึง แล้วความโกรธก็ปรากฏอยู่ในดวงตา ในชั่วขณะนี้ มู่หรงเจี๋ยและหนี่หรงก็เดินเข้ามา พระสนมซุนก็เปลี่ยนท่าทีหยิ่งผยอง เป็นท่าทางน่าสงสาร อ้อนวอน “ท่านอ๋องช่วยข้าด้วย!”มู่หรงเจี๋ยเร่งฝีเท้าเข้ามา ดวงตาแฝงความโกรธ เอ่ยเสียงดัง “ปล่อยมือ!”เขาผลักจื่ออันออกไป จื่ออันโดนเขาออกแรงผลักจนยืนไม่มั่นคง เพียงนิดก็เกือบล้ม หลังจากที่ยืนได้มั่นคงแล้ว ดวงตาเย็นชาถอยกลับมาอีกก้าว ภายในใจเหน็บหนาว เขาถึงกลับปกป้องสนมรองของตน มิใช่หรือ? นางผู้หญิงชั่วนี้จะทำร้ายผู้หญิงของเขา เจ็บใจแล้วหล่ะสิ?“ท่านอ๋อง…” พระสนมซุนดวงตาแดงก่ำ อยากจะโผเข้ามา มู่หรงเจี๋ยกลับหยิบถ้วยชาในมือของนาง แล้วเอ่ยอย่างโมโห “ปล่อยมือ ใครใช้ให้เจ้าจับถ้วยชาของข้า?”เมื่อเขามองเห็นเศษแก้วแตกไปสามทิศบนพื้นแล้ว ใบหน้าก็เขียวคล้ำ หันกลับมาเอ่ยอย่างโมโห “พระสนมซุน เจ้าช่างบังอาจนัก”หนี่หรงหันกลับมามองแวบนึง หน้าก็ค่อย ๆ เปลี่ยน “โอ้พระเ
หนี่หรงหมุนตัวกลับออกไป และมิรู้ว่าไปเอาเครื่องแต่งกายสตรีจากที่ใดมาให้นางกัน “นี่เป็นชุดของแม่นางโหรวเอ๋อ คุณหนูใหญ่ลองสวมดูก่อนได้ขอรับ”มู่หรงเจี๋ยเรียกสาวใช้นางหนึ่งเข้ามา ออกคำสั่งไป “เจ้าช่วยใส่ยาแก้น้ำร้อนลวกให้นาง”จื่ออันเอ่ย “ไม่ ไม่ต้องให้นางช่วยข้า”มู่หรงเจี๋ยใบหน้าโกรธจัด “ไม่ให้นางช่วยเจ้า หรือต้องการให้ข้าเป็นคนช่วยเจ้ารึ? ข้าไม่แตะต้องสตรี ทางที่ดีเจ้าอย่าพยายามเลยดีกว่า”บนหน้าผากจื่ออันปรากฏเส้นสีดำ กัดฟันเอ่ยตอบ “ข้าทำเอง!”พูดจบจึงหันหลังกลับเข้าไปหลังฉากบังลม เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตนเองอย่างไม่เร่งรีบ ถอดออกแล้วจึงวางลงบนพื้นหนี่หรงหน้าแดงก่ำแล้วเดินออกไป!หน้าท้องปรากฏรอยแดง โชคยังดีที่มีเสื้อผ้าปกคลุมอยู่ น่าจะไม่เกิดแผลพุพองขึ้น แต่ที่หลังมือนั้นไม่ได้โชคดีเช่นนั้น ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำคล้ำ มองดูคล้ายจะพุพองขึ้นมา“เป็นยังไงบ้าง?” จู่ ๆ ก็มีเงาคนปรากฏขึ้นอีกด้านของฉากบังลม จื่ออันตกใจจนต้องนำเสื้อมาปิดปังทรวงอก มองไปยังเขาอย่างหวาดกลัว “เอะอะโวยวายอะไรกัน? บาดแผลหนักหนาหรือ?” มู่หรงเจี๋ยยื่นมือออกไปดึงฉากกั้นแต่งตัวของนางออกมา สายตาตกลงที
หลิวหลิ่วกับเซียวท่า “เมื่อได้พบหน้าอย่างเป็นทางการครั้งแรกนั้น” นางกลับไม่ค่อยพอใจเมื่อกลับจวนมหาเสนาบดีกับจื่ออันแล้วจึงเริ่มเอ่ยถึงสาเหตุตอนที่แม่นมหยางนำชาเข้ามานั้น พบว่าบนมือของจื่ออันมีบาดแผล จึงขมวดคิ้วเอ่ยถาม “คุณหนูใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับมือของท่าน?”หลิวหลิ่วจึงได้พบว่า “มือเจ้าได้รับบาดเจ็บ?”“ไม่ทันระวังโดนน้ำชาร้อนลวกเข้า มิเป็นอะไร!” จื่ออันเอ่ยเบา ๆแม่นมหยางจ้องมองยังนาง พูดเสียงจริงจัง “ต่อไปคุณหนูใหญ่ก็ระมัดระวังหน่อยนะเจ้าคะ”“ข้าเข้าใจแล้ว!” จื่ออันเอ่ยตอบรับคำอาหารเย็นเป็นอาหารจานง่าย ๆ หนึ่งจานเป็นเนื้อ สองจานเป็นผัก ทั้งสี่นั่งนั่งกันรวมบนโต๊ะกินข้าวร่วมกัน ก่อนที่หยวนซื่อจะกินข้าวนั้น แม่นมหยางได้คอยรับใช้ให้นางกินข้าวก่อนหลิวหลิ่วกินข้าวทั้งยังพูดคุยกับจื่ออัน “ข้าเก็บสัมภาระข้าวของมาเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็มาอยู่กับเจ้าที่นี่แล้ว”จื่ออันเอ่ยยิ้ม “ที่นี่น้ำชาไม่เลิศรส กับข้าวรสชาติอ่อน หากคุณหนูใหญ่คุ้นชินก็ไม่เป็นไร”“มีอะไรไม่คุ้นชินกัน? ข้ากินข้าวปกติแล้วมักมีคนถุยน้ำลายใส่ มิสู้มากินข้าวดื่มชาที่นี่รึ?”“เหตุใดเรื่องนี้เจ้าถึงไม่เอ่ยกับพี่ชายเจ้า
ใบหน้าจื่ออันค่อย ๆ แดงขึ้น มู่หรงเจี๋ยที่หยิ่งยโสผู้นั้น รักษาบาดแผลเสร็จแล้วก็บอกว่าง่วงนอน ขอให้นางร้องเพลงให้ฟัง พูดออกมาก็น่าขายหน้า ตอนที่นางร้องเพลงนั้น เขาจ้องมองมายังนางตลอดเวลา แววตาซับซ้อนไม่อาจอธิบายออกมาได้หากใช้เวลาเพิ่มอีกเพียงนิด จื่ออันคงจะคิดว่าตนมีบุตรชายไปแล้ว บุตรชายตัวโตเช่นเขาจื่ออันเคยมีงานวิจัยเกี่ยวกับจิตวิทยา จึงเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงได้ทำเยี่ยงนี้ตอนที่ทำการศึกษานั้น ยิ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจมาก ก็จะยิ่งมีสิ่งที่ปล่อยวางไม่ได้มากขึ้น ห่อหุ้มจิตใจอันแข็งกร้าวไว้ ในมุมใดมุมหนึ่ง ก็จะมีอาการเจ็บปวดราวกับโดนเข็มทิ่มแทงจมูกอย่างไรอย่างนั้นความเจ็บปวดของมู่หรงเจี๋ย อาจจะเป็นเพราะกุ้ยไท่เฟยเขาไม่ใช่ว่าไม่เคยได้รับความรักของแม่จากกุ้ยไท่เฟย เพียงแต่จนถึงวันนี้ความรักนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว และมันก็ส่งผลกับเขา เขารู้ว่าอดีตที่ผ่านมามิอาจจะไล่ตามมาได้แล้ว จึงได้เก็บมันไว้ในมุมหนึ่งของใจ เก็บความรักความรู้สึกระหว่างแม่ลูกนี้ไว้ และไม่ยอมให้มันเอ่อท้นออกมา“หลิวหลิ่ว เจ้าเอ่ยถึงเรื่องผีดิบ มันเกิดอะไรขึ้น?” จื่ออันเปลี่ยนไปยังหัวข้อใหม่หลิวหลิ่วกลืนข้าวลงไปก่อนเ
พูดถึงจินกั่วกง จริง ๆ แล้วก็แปลกประหลาดตระกูลของจินกั๋วกงนั้น ในปีนั้นซีเหมินได้ผลิตบุคคลที่มีความสามารถออกมามากมาย เขาเองก็เป็นถึงแม่ทัพ เคยชนะในสนามรบที่หนานจุนมาแล้ว แล้วก็เกษียณราชการอยู่ในตำแหน่งจินกั๋วกงอย่างสบายอกสบายใจแต่มิได้หมายความว่าเขาจะไม่มีความทะเยอทะยานในใจ เขายังมีอยู่ แต่ชัยชนะในครั้งนั้น เป็นเพราะเหล่าไท่จวินได้เคลื่อนย้ายทหารเข้ามา จึงได้รับชัยชนะ เขารู้ดีว่าตนไม่มีอำนาจทางด้านทหาร ดังนั้น เขาจึงได้เร่งรีบเกษียณ เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของตนในด้านคุณาปการและชื่อเสียงจินกั๋วกงมีพลังอำนาจที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ในรุ่นของหลานชายนั้นไม่ค่อยดีมากนัก เพื่อที่จะช่วยเหลือพวกพ้องตน เขารู้ว่าในตอนนี้มหาเสนาบดีเซี่ยเป็นดั่งหนูแก่ข้ามถนน แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะปีนขึ้นไปจินกั๋วกงเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญนัก หากมิได้อยู่ในสนามรบ ก็เป็นคนช่วยวางแผนคิดคำนวณอย่างรอบคอบเพราะเหตุนี้เขาจึงยืนอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง และเป็นเหตุให้คนในเมืองหลวงมิกล้าที่จะล่วงเกินได้ หากมีสัมพันธ์กับจวนมหาเสนาบดีด้วยการแต่งงานแล้วนั้น เขาจะใช้มหาเสนาบดีเซี่ยเป็นบันไดขึ้นไป ปีนขึ้นไปหาฮวงโห่วแล
เซี่ยหว่านเอ๋อผงกศีรษะรับ รีบเอ่ยตอบกลับอย่างยินดี “หลานสาวทราบแล้วเจ้าค่ะ”“มีภูมิหลังเป็นจวนมหาเสนาบดี และมีสถานะของจินกั๋วกงของฝั่งมารดา หวงโฮ่วก็จะเห็นคุณค่าของเจ้าเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ต่อให้องค์รัชทายาทจะรังเกียจรูปลักษณ์ของเจ้า หวงโฮ่วก็จะไม่ล้มเลิกงานแต่งของพวกเจ้า ตำแหน่งพระชายาขององค์รัชทายาทของเจ้านี้ ก็จะมั่นคงดั่งเขาไท่ซาน”เซี่ยหว่านเอ๋อลูบไล้แก้มตน เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “แต่ว่า หลานสาวมิอยากให้องค์รัชทายาทรังเกียจข้า อีกทั้งในตำหนักบูรพาจะต้องมีพระชายารอง พระสนมขั้นสี่ และสนมองค์อื่น ๆ หลานสาวรูปลักษณ์เป็นเยี่ยงนี้ จะไปต่อสู้กับพวกนางได้อย่างไร? ท่านย่ามีวิธีการอะไรบ้างหรือไม่เจ้าคะ? ”ฮูหยินผู้เฒ่าดึงมือนาง ตบหลังมือของนางเบา ๆ “เด็กโง่ รอเจ้าแต่งเข้าไปเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทแล้ว อำนาจอยู่ในมือแล้ว หญิงนางใดจะเทียบเจ้าได้? หากมีใครอยากเสนอหน้า เจ้าก็ให้บทเรียนนางสักหน่อย ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเจ้าแล้ว เจ้าจะกลัวอันใดกัน?”เซี่ยหว่านเอ๋อผงกศีรษะ “ท่านย่าพูดมีเหตุผล ขอเพียงข้าเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทแล้ว ใครอยากจะเสนอหน้าก็มิง่ายนัก”ฮูหยินผู้เฒ่
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว