คุณหนูหลายคนจับกลุ่มนั่งด้วยกัน พูดกันแต่คำพูดที่ไม่น่าฟัง ล้วนปิดปากหัวเราะมองไปยังจื่ออันจื่ออันนั่งอยู่ในศาลา ดื่มชาอย่างช้า ๆคุณหนูเหล่านั้นกลัวว่านางจะมิได้ยินเสียง จึงจงใจพูดคุยกันเสียงดัง เพียงอยากมองเห็นใบหน้าที่ดูไม่ได้ของนาง"ได้ข่าวว่าปกติในจวนนางมักจะล้อเล่นกับทาสรับใช้ จริงหรือนี่? และยังได้ยินว่ามีครั้งนึง นางแอบอยู่ในห้องน้ำ จงใจบอกทาสรับใช้ว่ามิมีกระดาษชำระแล้ว ให้พวกทาสรับใช้นำไปให้นาง แต่พอทาสรับใช้นำมาให้ นางกลับออกมาโดยที่มิได้สวมกางเกง ช่างโง่เง่าโดยแท้? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ""ใช่แล้ว หว่านเอ๋อ เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นรึ? ข้ายังได้ยินว่ามีครั้งนึง นางยังตั้งใจที่จะกระโดดลงทะเลสาบ แต่มิได้สวมเสื้อคลุม เมื่อเจอทหารลาดตระเวนอยู่ กลับแกล้งเป็นตกน้ำ ให้ผู้อื่นช่วยนาง คนไร้ยางอายเยี่ยงนาง ผู้สำเร็จราชการมิรู้เลยรึ? ""ยังมีอีก เรื่องที่นางกลับใจเรื่องงานแต่งของนาง เรื่องมันเป็นมาอย่างไรรึ? ข้าได้ยินมาว่า เดิมเป็นเจ้าที่ต้องแต่งให้แก่อ๋องเหลียง แต่หลังจากนั้นกลับได้ยินว่านางของร้องเจ้าให้ยกอ๋องเหลียงให้แก่นาง ใช่หรือไม่? แต่ในเมื่อนางเป็นคนขอร้อง ทำไมสุดท้ายแล้วจึงได้กล
ฮูหยินหลิงหลงเมื่อเห็นสถานการณ์นี้เข้า เร่งรีบแยกเซี่ยหว่านเอ๋อออกมา "อย่ามาก่อเรื่อง เหล่าไท่จวินกำลังมองมาจากทางนู้น" เซี่ยหว่านเอ๋อมองกลับไป ก็พบกับฮูหยินผู้เฒ่าของคุณหนูตระกูลเฉิน เฉินเหล่าไท่จวิน เมื่อสักครู่นางกำลังพูดคุยอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่า ชุยไท่เฟยได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากทางด้านนี้ จึงหันกลับมาดูด้วยกันได้ยินคำเซี่ยหว่านเอ๋อสั่งให้คนไล่คุณหนูตระกูลเฉินออกไปพอดิบพอดี“ท่านแม่ ท่านคงไม่รู้ว่านางพูดถึงข้าว่าอย่างไรบ้าง” เซี่ยหว่านเอ๋อเอ่ยออกมาอย่างน้อยอกน้อยใจเฉินหลินหลงเองก็ได้ยินคำพูดของคุณหนูตระกูลเฉิน นางกดเสียงลงต่ำเอ่ยออกมา “วันนี้เป็นงานสำคัญ ตระกูลเฉินเรามิอาจล่วงเกินได้”ตระกูลเฉินเป็นผู้บัญชาการทหาร เฉินเหล่าไท่จวินเองก็เป็นแม่ทัพหญิงคนแรกของราชวงศ์ เคยออกรบมาแล้วในปีนั้น ต่อสู้กันจนเป่ยโม่ร่วงโรยดั่งดอกไม้ร่วงลงในแม่น้ำ ในปีนั้นอ๋องอันเองก็เป็นครั้งแรกที่ออกรบ ก็อยู่ภายใต้การนำทัพของตระกูลนางตระกูลเฉินในเมืองหลวงนั้น จึงมีสถานะที่มิอาจแตะต้องได้ เพราะในปีนั้นนางได้รับตำแหน่งไท่จวินที่ไท่หวงไท่โฮ่วทรงแต่งตั้งให้ด้วยตนเองและคุณหนูตระกูลเฉิน เฉินหลิวหลิ่วท
"แน่นอนว่าจริง เจ้ามิอยากจะปารึ?" นางถามกลับมายังจื่ออันจื่ออันมองไปยังใบหน้าและปากของเซี่ยหว่านเอ๋อ "มีคิดเล็กน้อย" "หากคิดก็ต้องทำ สักวันข้าจะต้องสาดไปให้ทั่วตัวนาง!" เฉินหลิวหลิ่วพ่นลมออกมานี่… จื่นอันเอ่ยถาม "เจ้ากับนางมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อนรึ?""ใครจะมีเวลาไปขัดแย้งกับนางกัน? คนประเภทนี้แม้แต่พูดคุยด้วยก็มิควรค่าให้พูดคุย" "งั้นทำไมเจ้าถึงคิดที่จะ… เกลียดนาง?" เกลียดถึงขนาดอยากที่จะเอาสิ่งสกปรกไปปาใส่นาง"ข้าดูตัวมาแล้วตั้งหลายครั้ง หลายคนชอบที่จะบอกว่าหญิงสาวเราควรที่จะอ่อนโยนสง่างามแบบเซี่ยหว่านเอ๋อ รู้หนังสือคุณธรรม ชายในเมืองหลวงต่างก็ชอบนางกันทั้งนั้น”“ดังนั้น เพราะเหตุนี้เจ้าจึงไม่ชอบ?” จื่ออันรู้สึกว่าความคิดนี้ค่อนข้างแปลก แต่มิรู้ว่าทำไม นางแน่ใจว่านางนั้นชอบเฉินหลิวหลิ่วผู้นี้เฉินหลิวหลิ่วเอ่ยออกมาอย่างโกรธจัด “แต่ปัญหาคือนางมิได้เป็นอย่างที่ทุกคนพูดถึงกัน ข้าตรวจสอบนางมาแล้วหลายครั้ง นางแย่ยิ่งกว่าที่ข้าคิดไว้มากนัก อย่างเช่นเมื่อปีที่แล้วที่ข้ามาร่วมงานเลี้ยงวันเกิด ข้ากับนางนั่งอยู่ด้วยกัน นางผายลมออกมา แต่นางกลับปิดจมูกและมองมายังข้าด้วยความรังเกียจ ท
ฮูหยินหลิงหลงมิได้ปล่อยให้เกิดขึ้นนานนัก ก็ได้ยินข่าวจากสาวใช้ส่วนตัว นางยินดีเป็นอย่างยิ่ง หยวนซื่อไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ขอแค่เจ้าออกมาก็พอแล้วนางแยกตัวออกมาจากสาวใช้ เดินไปข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า "ท่านแม่ คนจากห้องครัวมีเรื่องจะเรียนถามเจ้าค่ะ" เอ่ยออกมา แล้วกระซิบไปที่ใบหูว่า "เมื่อครู่ชู่อวี่ได้ให้คนมาแจ้งว่า อีกเดี่ยวแม่นมหยางจะประคองหยวนฉุ่ยอวี่ไปเดินเล่นในสวน" ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า "เรื่องเล็กแค่นี้ยังต้องมาถามข้า? ให้ห้องครัวทางนั้นจัดการซะ ทำตามที่เราเคยพูดกันไว้เป็นพอ เจ้าก็ไปคอยดูไว้ด้วย ดูตอนที่จุดไฟ วันนี้แขกค่อนข้างเยอะ อย่าให้ตอนที่นำอาหารขึ้นโต๊ะช้าจนแขกไม่พอใจ"คำพูดหนึ่งประโยคสองความหมายนี้ มีเพียงแค่เฉินหลิงหลงที่ฟังเข้าใจ ชุยไท่เฟยและเหล่าไท่จวินยังนึกว่าเป็นเรื่องของห้องครัวฮูหยินหลิงหลงรับคำ "เจ้าค่ะ งั้นข้าไม่รบกวนท่านแม่ ไท่เฟย และเหล่าไท่จวินพูดคุยกันแล้ว"โค้งคำนับแล้วจึงถอยกลับไปฮูหยินผู้เฒ่ามองไปยังแผ่นหลังของฮูหยินหลิงหลง ถอนหายใจเบา ๆ "หยวนซื่อไม่มีความสามารถ หากไม่ได้หลิงหลงมาดูแลงานบ้านแล้ว หม่อมฉันคงจะไม่มีงานครบรอบวันเกิดนี้"
ชุยไท่เฟยใบหน้าขุ่นเคืองมองไปยังเหล่าไท่จวิน “ไท่จวิน เจ้าลองพูดดู หญิงสาวเยี่ยงนี้ จะเรียกว่าผู้หญิงได้รึ? มิใช่ว่าควรจะด่านางสักยกใหญ่?”เหล่าไท่จวินราวกับว่าตกอยู่ในภวังค์ ฟังคำชุยไท่เฟยถามนาง นางตื่นตกใจขึ้นมา "อ่า?" "ไท่จวินเป็นอะไรไป? มิได้ฟังคำของฮูหยินผู้เฒ่ารึ?" ชุยไท่เฟยเอ่ยถาม "หรือว่ารู้สึกไม่สบายกาย?" เหล่าไท่จวินยิ้มเยาะ "หม่อมฉันมิได้เป็นอะไรเพคะ เพียงแต่เมื่อครู่ได้ยินคำชุยไท่เฟยเอ่ยว่าจะปลดภรรยา เป็นเยี่ยงไรกัน? ท่านอ๋องของท่านจะปลดภรรยารึ? วางแผนว่าจะปลดเมื่อใดกัน? "เหล่าไท่จวินถึงแม้ว่าจะอายุเยอะแล้ว แต่ก็มิได้เป็นคนที่อ่อนไหวง่าย นางยังรู้ว่า มิว่าเรื่องใดก็มิควรจะรับฟังเพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่าคำเหล่านี้ออกมานั้น เหมือนดั่งจงใจ ตั้งใจที่จะเปิดเผยอะไรบางอย่างออกมาหลายปีมานี้ นางแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด เพื่อให้คนคิดว่านางโง่จนสามารถโกหกได้ตั้งใจที่จะไม่ดื้อดึง เพื่อที่ไม่อยากที่จะให้คนหลอกใช้ได้ชุยไท่เฟยฟังคำของนางแล้ว ยิ้มอย่างตกตะลึง "พอเถอะ อ๋องหกของข้าปีนี้อายุก็สามสิบแล้ว เจ้าก็อย่าได้คิดโยนหลานสาวบ้านเจ้ามา
เหล่าไท่จวินเองก็เอ่ยว่า "ถูกแล้ว แบบนี้ก็ออกจะเกินไป" เหล่าไท่จวินเมื่อเห็นว่าทั้งสองขุ่นเคือง ก็ร้อนรนตามไปด้วยฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมาอีกว่า "ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ที่นี่คนเยอะ พวกเราไปนั่งกันที่สวนดอกไม้ด้านหลังกันเถอะ หม่อมฉันเลี้ยงแมวไว้ตัวนึง น่ารักมากเพคะ ไปดูกัน? "ชุยไท่เฟยชอบแมวมากที่สุด ได้ยินคำของฮูหยินผู้เฒ่าว่าเลี้ยงแมวไว้ จึงอยากจะไปดู "ดีเหมือนกัน ที่นี่คนเยอะเสียงดัง ไปดูแมวกันเถอะ"ฮูหยินหลิงหลงเตรียมการไว้แล้ว เมื่อพบเฉินเอ้อร์แล้ว " ฮูหยิน!" เฉินเอ้อร์มักจะมาที่จวนบ่อย ๆ ดังนั้นคนในจวนจึงต้อนรับเป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้ฮูหยินหลิงหลงมักจะให้ไปทำธุระให้ เพราะเฉินเอ้อร์รู้จักคนกว้างขวาง แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังชื่นชอบฮูหยินหลิงหลงเหลือบมองเขา "อีกครู่รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร? "เฉินเอ้อร์เผยรอยยิ้ยมออกมา "รู้แล้ว รู้แล้ว แต่หลังจากงานนี้จบแล้วนั้น เรื่องที่เจ้ารับปากข้าไว้จะต้องสำเร็จ" "เจ้าวางใจได้ นายท่านจะต้องให้เงินงวดสุดท้ายแก่เจ้าแน่ แต่เจ้าต้องทำงานนี้ให้เรียบร้อย ไม่งั้น เงินที่เจ้ากินเข้าไปแล้วก็ต้องคายออกมา" ฮ
“รู้จักเขา เฉินเอ้อร์ เขาชอบออกค้าขาย” เฉินหลิวหลิ่วกล่าว “อ่า? ค้าขาย? ค้าขายอะไรรึ? เพียงครู่เดียวจื่ออันยังมิทันได้คิดเฉินหลิวหลิ่วมองมายังนาง “ยังจะขายอะไรได้อีก? เป็นหนุ่มหน้าขาว พึ่งหญิงสาวกินข้าว”“อ้อ?” จื่ออันหุบยิ้ม คุณหนูตระกูลเฉินผู้นี้นั้นช่าง… “มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ! ”“บนโลกนี้ คนชั่วมากนัก นับยังไงก็นับมิได้” เฉินหลิวหลิ่วระบายอารมณ์ออกมา “หลายปีมานี้ ข้าเจอมาเยอะแล้ว ไม่มีใครกล้าที่จะวิจารณ์ผู้ชายมากกว่าข้าแล้ว”จื่ออันพบว่าข้างกายของหลิวซื่อนั้น มีไม่กี่คนนั่งคุยด้วยกันอยู่ ราวกับต้นแบบของสตรี นางมองเห็นสาวใช้คนนึงเข้ามากระซิบใกล้ใบหูนาง จากนั้นนางก็ลุกขึ้น สาวใช้นางนั้นราวตั้งใจไม่ตั้งใจมองมายังจื่ออัน ดูเหมือนจะผงกหัว แล้วก็ดูเหมือนจะมิได้จะขยับจื่ออันตั้งใจเดินออกมาจากตรงนั้น เดินไปด้วยคุยกับหลิวหลิ่วไปด้วย พอไม่ทันระวัง ก็ชนเข้ากับหลิวซื่อ หลิวซื่อรู้สึกเจ็บ เมื่อพบว่าเป็นจื่ออัน ก็มิได้คำนึงถึงสถานะของตนจึงด่าออกมา "ตาบอดเหมือนแม่เจ้าแล้วรึ? เดินเป็นไม่เป็นแล้ว?" เมื่อครู่ก็เห็นว่านางชนเข้ากับเฉินเอ้อร์ ตอนนี้ยังจะมาชนนางอีก นังชั้นต
จวนมหาเสนาบดีมีสวนดอกไม้อยู่สองแห่ง แห่งนึงอยู่ด้านหน้า อีกแห่งนึงอยู่ด้านหลังสวนด้านหน้ามิได้ใหญ่กว่าสวนด้านหลัง สวนดอกไม้ทั้งสองแห่งนี้ เชื่อมต่อกันด้วยทะเลสาบ เพียงแต่ใช้ตัวอาคารแยกออกจากกันพื้นที่ส่วนใหญ่ในสวนดอกไม้ได้สร้างขึ้นทีหลัง พื้นที่ได้มาจากการยักยอก เรื่องนี้เคยเกิดการทะเลาะวิวาทกันมาแล้ว แต่ตอนหลังฮูหยินผู้เฒ่าได้เอาเงินออกมาซื้อไว้ เป็นอันว่าจบเรื่องนี้สวนดอกไม้ด้านหลังมีต้นไผ่อยู่แถวนึง ต้นไผ่แถวนี้มีมานานแล้ว จวนมหาเสนาบดีเพียงแต่ทำรั้วเพิ่มขึ้น ทำให้เป็นวงกลม หลังจากนั้นภายในสวนก็สร้างศาลาขึ้นสักหลายแห่ง ในทะเลสาบก็สร้างภูเขาจำลองไว้แต่ว่าสวนดอกไม้ด้านหลังหลายปีมานี้มีคนมาน้อยมาก เพราะในแถวของต้นไผ่มักจะมีงูพิษออกมา มหาเสนาบดีเซี่ยเคยให้คนมาจัดการ แต่มิเคยจัดการได้โดยละเอียดพอนานเข้า จึงไม่มีคนกล้าเข้ามาเมื่อครู่ฮูหยินหลิงหลงมารายงาน บอกว่าหยวนซื่ออยู่ที่นี้ ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงพากันย้ายมา หากเป็นวันปกติแล้ว นางไม่มีทางที่จะมาสวนดอกไม้แห่งนี้เป็นแน่วันนี้คงจะมีการตระเตรียมละครไว้ ให้หยวนซื่อออกมา เนื่องจากนางตอนนี้สูญเสียดวงตามองไ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว