ไม่ช้าหยวนซื่อก็ตระหนักได้ถึงความจริง สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นนางก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง“ข้ามองไม่เห็นแล้วใช่หรือไหม” น้ำเสียงของนางนิ่งสงบไร้ความสั่นไหวจื่ออันเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวว่า "แค่ชั่วคราว อาจเป็นเพราะเส้นประสาทตาถูกกดทับอันเนื่องมาจากการที่สมองได้รับการกระทบกระเทือนจนบาดเจ็บ""อืม ไม่เป็นไร" นางกล่าว และคลำหามือของจื่ออันและจับมันไว้ “ตาของข้าบอดมานานแล้ว บอดมาหลายปีแล้ว”สิ้นคำสุดท้ายนางก็ถอนหายใจเบา ๆ แทบจะไม่ได้ยินเสียงเลย น้ำเสียงของนางนิ่งสงบมาก ไม่มีร่องรอยของความขุ่นเคืองแม้แต่น้อย แต่คำพูดนี้ที่ดังเข้าไปในหูของจื่ออันกับมู่หรงจ้วงจ้วง กลับรู้สึกเศร้าสลดอย่างบอกไม่ถูกหากนางพูดอย่างตื่นเต้นหรือโมโห อารมณ์ความโศกเศร้าจะไม่รุนแรงนัก"บอกข้ามา มันเกิดเรื่องขึ้นได้อย่างไร?" จื่ออันอดกลั้นต่อความโกรธที่มีในหัวใจ และถามออกไป“เราอยู่ที่ไหน?” หยวนซื่อถามกลับมู่หรงจ้วงจ้วงตอบ "ฮูหยิน พวกเราอยู่ที่โรงหมอ ท่านมีอะไรก็พูดมาเถิด ข้าอยู่ที่นี่แล้ว"ท่าทางของหยวนซื่อผ่อนคลายลง “องค์หญิงก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ? ดีเลย”นางจับมือของจื่ออันไว้และลุกขึ้นนั่ง จื
มู่หรงจ้วงจ้วงมองไปที่มีดสั้นและรู้สึกคุ้นเคยมาก จากนั้นนางก็นึกขึ้นได้ "นี่เป็นสิ่งที่เสด็จพี่มอบให้เจ้าเจ็ดในตอนนั้นนี่ เจ้าเจ็ดมอบให้เจ้าเหรอ? มีดสั้นนี้ถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าของเขาเลยนะ"จื่ออันไม่รู้ว่ามีดสั้นนี้มีความสำคัญกับมู่หรงเจี๋ยมากถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะเป็นมีดสั้นที่องค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนมอบให้เขาด้วยแล้วหยวนซื่อหันไปทางจื่ออัน มีท่าทีตกตะลึงเล็กน้อยจื่ออันเก็บมีดสั้นเข้าที่ ไม่อยากให้มีดสั้นเล่มนี้เปื้อนเลือดของฮูหยินหลิงหลงเลยสักนิดนางยืนขึ้นและพูดกับมู่หรงจ้วงจ้วง “องค์หญิง เรื่องนี้ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง ท่านไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว!”“เจ้าจะจัดการด้วยตัวเอง?” มู่หรงจ้วงจ้วงมองนางอย่างสงสัยแล้วพูดอีกครั้ง “ได้ ข้าจะมอบทหารองครักษ์ของข้าให้เจ้าเอาไปใช้งาน”"ไม่จำเป็น!" จื่ออันส่ายหัว มีรังสีความชั่วร้ายเลือดเย็นปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง "ฆ่าไก่ทำไมต้องใช้มีดฆ่าวัว?" ขณะที่พูดคุยกันอยู่ก็มีทหารองครักษ์เข้ามารายงาน "องค์หญิง รถม้าถูกสกัดกั้นไว้ได้ ขณะที่กำลังเดินทางกลับ แต่แล้วดูเหมือนว่าคนขับรถม้าคนนั้นที่กำลังกลับมารายงาน ก็..."ทหารองครักษ์ลังเลเล็กน้อย
ระหว่างที่รถม้าขับเคลื่อนกลับมาก็เห็นรถม้าของมู่หรงจ้วงจ้วงจอดอยู่ที่โรงหมอ ก็เลยถามทหารองค์รักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ รถม้า ทหารองครักษ์บอกว่าองค์หญิงอยู่ด้านใน เขาก็เลยเปิดม่านบอกกล่าวด้วยความเคารพ "กราบทูลองค์ชาย องค์หญิงใหญ่อยู่ด้านในพ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์ทั้งสองได้ช่วยพยุง เขาจึงลงจากรถม้าอย่างกะโผลกกะเผลกที่ถูกโบยไปสามสิบครั้งถือว่าคนโบยเบามือมาก ถ้าอยู่ในค่ายทหาร การลงโทษโดยการโบยสามสิบครั้งในค่ายทหารนั้นจะต้องทำให้เขาพิการการลงมือขององครักษ์ในวังยังมีความเมตตา เพียงแต่องค์รัชทายาทผู้สูงส่งนี้ ตั้งแต่เยาว์วัยแล้วเขาไม่เคยต้องทนทุกข์ทรมาน และการฝึกศิลปะการต่อสู้ของเขาก็เป็นแค่เพลงมวยที่สวยแต่กระบวนท่า ทว่ากลับใช้งานไม่ได้จริง ดังนั้นตอนที่ถูกโบยเขาจึงรู้สึกเจ็บปวดมากเสียจนสลบลงไป เดิมทีเขาควรจะต้องพักผ่อนอยู่ในวัง แต่ฮองเฮาขอให้เขาออกจากวังไปยังจวนไท่ฟู่โดยทันที องค์รัชทายาทอดทนต่ออาการบาดเจ็บอย่างหนัก ในฐานะที่เป็นองค์รัชทายาท หากไม่ออกหน้าปลอบใจเหล่าขุนนาง ก็จะทำให้พวกเขายกใจออกห่าง ดังนั้นแม้ฮองเฮาจะรู้สึกสงสารเขา แต่ก็ได้เตรียมการให้เขาออกจากวังไปทั้ง ๆ ที่ยังบาดเจ็บ เพื่อรักษาคว
จื่ออันเพียงแต่โค้งคำนับและขมวดคิ้ว โดยไม่แสดงสีหน้าท่าทางใด ๆ ในสายตาขององค์รัชทายาท เขาคิดว่าจื่ออันกำลังกลัว“นี่เป็นคำสั่งของข้า” มู่หรงจ้วงจ้วงมองดูฮูหยินหลิงหลงอย่างเย็นชา “พวกเจ้าเพิ่งผลักหยวนซื่อให้ร่วงลงมาจากรถม้า จนนางได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าต้องการฟังคำอธิบายของพวกเจ้า เหตุใดถึงขาดสติยั้งคิดทำร้ายหยวนซื่อเช่นนั้น"ฮูหยินหลิงหลงเตรียมข้ออ้างไว้ตั้งนานแล้ว และกำลังจากเปิดปากพูด แต่จื่ออันกลับก้าวมาข้างหน้าในทันที แล้วกระชากผมของนางลากไปที่ประตูจื่ออันลงมือทันที แม้แต่มู่หรงจ้วงจ้วงก็คาดไม่ถึง ฮูหยินหลิงหลงอกสั่นขวัญแขวน ออกแรงทั้งหมดดันขาตนเองขึ้นมา มือทั้งสองก็คว้าตัวจื่ออันไว้ นางรู้สึกเจ็บปวดที่หนังศีรษะอย่างรุนแรง ปวดเสียจนร้องโหยหวนออกมาเมื่อสติของเซี่ยหว่านเอ๋อกลับคืนมา นางก็กระโดดขึ้นจากพื้นและรีบเดินไปอย่างโกรธแค้น "เซี่ยจื่ออัน เจ้ากล้าดีอย่างไร รีบปล่อยท่านแม่ของข้าเดี๋ยวนี้นะ"องค์รัชทายาทก็ตะโกนสั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้องครักษ์หยุดนางจื่ออันถูกทหารองครักษ์หยุดไว้ แต่ก็ยังคงไม่ปล่อยมือ กระชากผมของฮูหยินหลิงหลงอย่างเต็มแรง ใบหน้าแลดูโหดร้ายเสียจนทำให้องครักษ์รู้ส
ผู้คนในโรงหมอต่างกลัวจนตัวสั่น ต่างพากันรีบมาห้ามเลือดให้ฮูหยินหลิงหลงและเซี่ยหว่านเอ๋อ ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่อ่อนแอบอบบางคนหนึ่งจะลงมือได้เหี้ยมโหดเช่นนี้เมื่อองค์รัชทายาทเห็นว่าเซี่ยจื่ออันทำร้ายคนสองคนต่อหน้าเขา จึงโกรธมากและสั่งออกไป "เร็วเข้า จับกุมผู้หญิงมีพิษสงคนนี้ซะ"มู่หรงจ้วงจ้วงก้าวไปข้างหน้าและกล่าวเย้ยหยัน "ข้าก็อยากรู้เสียจริง ว่าใครจะกล้าเข้ามา!"จื่ออันกับมู่หรงจ้วงจ้วงมองตากัน และเดินเข้าไปด้านในองค์รัชทายาทอดทนต่อความเจ็บปวดบังคับตนเองให้ก้าวไปข้างหน้า จ้องมองไปที่มู่หรงจ้วงจ้วง "เสด็จย่า ดูเหมือนว่าท่านชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่นเสียจริง ท่านควรคิดให้ดี ๆ การต่อต้านข้าไม่ได้ส่งผลดีต่อท่านเช่นกัน" มู่หรงจ้วงจ้วงกล่าวอย่างเย็นชา “องค์รัชทายาท เจ้าช่างประเมินค่าตนเองสูงเสียจริง พาคนของเจ้ากลับไปซะ หากเจ้าต้องการล้างแค้นให้คู่หมั้นของเจ้า ให้ไปฟ้องร้องเอาที่ศาลาว่าการ ให้พวกเขาดูแลคดีนี้”พูดจบ นางก็สั่งรถม้า “ข้ารับใช้ด้านนอก ไปที่จวนมหาเสนาบดี”องค์รัชทายาทกัดฟันแน่นและกล่าว "ดี พวกเราไปที่จวนมหาเสนาบดีบอกกล่าวให้พว
แต่ว่าก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เซี่ยหว่านเอ๋อกับองค์รัชทายามมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้ว ถึงแม้ว่าหว่านเอ๋อจะเสียโฉม แต่องค์รัชทายาทก็ยังมีใจให้นางอยู่ เพียงแค่ความรู้สึกนี้ยังคงอยู่จนถึงวันที่หว่านเอ๋อได้อภิเษกสมรสก็พอแล้วมู่หรงจ้วงจ้วงช่วยพยุงหยวนซื่อขึ้นไปบนรถม้า หลังจากนั่งลงแล้ว จื่ออันก็ยังคงกุมมือหยวนซื่อไว้อยู่มู่หรงจ้วงจ้วงสังเกตเห็นว่าข้อมือของจื่ออันยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ นางจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วยื่นให้จื่ออัน "มีเลือดติดอยู่ที่ข้อมือ เช็ดออกซะสิ"จื่ออันรับมันมาอย่างเงียบ ๆ "ขอบคุณ!"มู่หรงจ้วงจ้วงมองนางด้วยสายตาชื่นชมเล็กน้อย แต่นางก็ไม่คาดคิดว่าจื่ออันจะกล้าลงมือกับฮูหยินหลิงหลง และลูกสาวของนางต่อหน้าต่อตาองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้ที่นางบอกว่าจะล้างแค้นด้วยตัวเอง ยังคิดว่านางแค่พูดไปอย่างนั้น อย่างไรเสียนางก็ไม่อาจต่อสู้กับองค์รัชทายาทได้คิดไม่ถึงเลยว่า นางจะกล้าทำจริง ๆ นางใช้มีดในทันทีความโหดเหี้ยมนั้น ถ้าเสด็จย่าเห็น ไม่รู้ว่านางจะชอบมันแค่ไหนนางอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย "เมื่อครู่นี้เจ้าไม่กลัวเหรอ?"จื่ออันหยิบมีดสั้นออกมา เช็ดมันอย่างช้า ๆ แล้วเงยหน้าข
มู่หรงจ้วงจ้วงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะ “ใช่แล้ว ภรรยาเอกกับอนุภรรยามีความแตกต่าง จื่ออันเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอก ถ้าให้ข้าเป็นพยานว่าพวกนางผลักฮูหยินจนร่วงลงมาจากรถม้า เป็นการจงใจลอบสังหารโดยการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า จื่ออันที่เป็นคุณหนูใหญ่ที่เกิดจากภรรยาเอกก็มีสิทธิ์ในการลงโทษพวกนาง ส่วนความรุนแรงในการลงโทษนั้น ก็ยึดตามความรุนแรงของการกระทำผิด ตอนนี้ฮูหยินถึงขั้นตาบอด ได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นขอเพียงแค่จื่ออันไม่ได้ฆ่าพวกนาง ตามกฎหมายบ้านเมืองก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว”กฎหมายของแผ่นดินต้าโจวเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ภายในจวนอนุภรรยามีอำนาจแค่ครึ่งเดียว จะต้องฟังคำสั่งของคุณหนูที่เกิดจากภรรยาเอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งฮูหยินเลยในหลาย ๆ ตระกูล ภรรยาเอกไม่ชอบหน้าอนุภรรยา ถูกโบยจนตายไปไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้วแม้แต่เฉินหลิงหลงผู้นี้ ก็ไม่ยกเว้นเฉินหลิงหลงอยู่ในจวนมาหลายปีแล้วเรียกตัวเองว่าฮูหยินจนลืมสถานะของตัวเองไปนาน ไม่เพียงแค่นางเท่านั้น แต่หลายคนก็ลืมสถานะของนางเช่นกัน จิตใต้สำนึกของพวกเขาบอกว่านางคือ ฮูหยินนางมองไปที่จื่ออัน "เจ้ารู้กฎหมายสินะ? ช่างยอดเยี่ยมไปเลย"เมื่อครู่นี้ม
ด้านซ้ายมีชายวัยกลางคนสวมชุดราชการนั่งอยู่ ลักษณะของชายผู้นั้นดูเคร่งขรึม เมื่อเห็น จื่ออันและมู่หรงจ้วงจ้วงเข้ามา ชายผู้นั้นก็ลุกขึ้นเป็นอันดับแรกด้านหลังของเขา มีคนเร่งรีบแต่งตัวยืนอยู่หลายคนจื่ออันคาดว่าชายผู้นั้นก็คือ ใต้เท้าจิงจ้าวหยินเหลียง หลานชายคนนั้นของราชครูเหลียง เซี่ยหว่านเอ๋อและฮูหยินหลิงหลงกำลังรักษาบาดแผลกับหมออยู่ด้านข้าง เมื่อเจอจื่ออันเข้ามา ฮูหยินหลิงหลงร้องไห้ออกมาพร้อมทั้งคุกเข่าลง “ท่านแม่ ท่านโปรดให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วย ข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่นางโดนทำร้าย แม้แต่นิ้วมือก็บาดเจ็บแล้ว แค่ทำร้ายตัวข้าก็แล้วไป หว่านเอ๋อกำลังจะแต่งงานกับองค์รัชทายาท ยังโดนนางทำร้ายร่างกาย ต่อไปจะมีหน้าพบเจอผู้คนได้เยี่ยงไร? ท่านแม่ และใต้เท้าทั้งหลายได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วย”ฝูงชนทั้งหลายลุกขึ้นมาทำความเคารพมู่หรงจ้วงจ้วง มู่หรงจ้วงจ้วงเดินตรงออกไป นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างของจิงจ้าวหยิน องค์รักษ์สี่นายยืนอารักขาข้างหลังอย่างรวดเร็ว เหมือนดั่งภูเขาสี่ลูกใหญ่ที่คอยปกป้องมู่หรงจ้วงจ้วงหลังจากนางนั่งลงแล้ว จึงได้เอ่ยออกมา "นั่งลงเถอะ จะยืนกันอยู่ทำไม?"
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว