เซี่ยฟูเหรินพูดอย่างเฉยเมย “ฝากขอบคุณเหล่าฟูเหรินแทนข้าที”จากนั้น ก็พบกับเจ้าของร้านโจว “ขอรับ!”เจ้าของร้านโจวยิ้มและพูดว่า “ฟูเหรินขออภัยนะขอรับ”เขาแสดงท่าทางให้ช่างตัดเสื้อมาข้างหน้า เพื่อวัดตัวของเซี่ยฟูเหริน แล้วพูดว่า “คราวนี้เอาผ้าไหมและเอามาสองสามผืน หลังวัดเสร็จ ฟูเหรินก็เลือกลายทิ้งชอบเอาไว้ ส่วนอันที่ไม่ชอบข้าน้อยจะนำกลับไป”“เรียบง่ายหน่อยก็จะดี” เซี่ยฟูเหรินกล่าวจื่ออานออกจากประตูไปอย่างเงียบ ๆ ส่วนเซี่ยฉวนตามนางไปเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวเขามองไปรอบ ๆ สักครู่แล้วพูดกับจื่ออานว่า “คุณหนูจะต้องกลับไปรับใช้ที่บ้านของเหล่าฟูเหรินไม่ใช่หรือ ขอรับ? ทำไมยังไม่ไปอีก”จื่ออานพิงราวจับด้วยท่าทางเซไปมา “ข้าจะกลับไปทีหลัง ข้าอยากให้เจ้าของร้านโจวตัดเสื้อผ้าให้ข้าด้วยเช่นกัน”เซี่ยฉวนมองหน้าเธอ รู้สึกว่าคุณหนูแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก สมัยก่อนคุณหนูมักจะหลบตา ไม่กล้าพูดเสียงดังเมื่อเจอผู้คน แต่ตอนนี้มีตาของนางดุดัน ร่างกายเหมือนมีหนามปกคลุม นางจึงไม่อนุญาตให้เข้าถึงได้ง่าย ๆเซี่ยฉวนเดินผ่านเธอไป และสั่งคนที่เฝ้าประตูหน้าสองสามคน “พวกเจ้าไปค้นดูรอบ ๆ ให้ทั่วทุกที เพื่อดูว่ามีแม
ประตูห้องน้ำเปิดเอง เสียงดัง “ปั้ง” และซอกประตูก็ขยายออกอย่างช้า ๆ มองเห็นเงาร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ด้านในเซี่ยฉวนดีใจมากเมื่อเห็นว่ามีคนอยู่ และกำลังจะคว้าคน ๆ นั้นออกมาด้วยมือเดียว แต่กลับเห็นหัวสีดำโผล่ออกมาอย่างช้า ๆ“นายน้อยหรอกรึ?” มือของเซี่ยฉวนหดกลับไป ตามองไปที่นายน้อยนายน้อยเซี่ยหลินด้วยความประหลาดใจเซี่ยหลินเป็นน้องชายชายฝาแฝดของเซี่ยหว่านเอ๋อร์ตอนที่เขายังเด็กเซี่ยหลินเคยมีไข้สูงเมื่อ หลังจากที่เขาหายดีแล้ว ทักษะทางความคิดวิเคราะห์ของเขาค่อนข้างต่ำ แม้ว่าจะพบหมอหลายคนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้แต่หมอหลวงก็บอกว่า ทักษะทางความคิดวิเคราะห์ของเขายังคงอยู่ที่อายุประมาณแปดขวบ“เจ้าหมาเซี่ยฉวน เจ้าแอบดู แม้แต่นายน้อยที่นั่งยอง ๆ อยู่ในห้องส้วมเลยรึ? ข้าจะบอกท่านพ่อ ออกไป!” เซี่ยหลินโกรธ และโยนกระดาษฟางกองหนึ่งออกมาลงที่ใบหน้าของเซี่ยฉวน“นายน้อย ข้าขออภัย เป็นความผิดของข้ารับใช้ คิดว่ามีแมวป่าอยู่ข้างใน!” เซี่ยฉวนรู้ว่าอารมณ์ของนายน้อยนั้นไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ดังนั้นเขาจึงยอมรับผิดทันทีและปิดประตูห้องน้ำอย่างไรก็ตาม ในใจก็มีความสงสัยว่า ทำไมนายน้อยจึงมาเข้าส้วมที่นี่?จื่อ
จื่ออานกลับมาที่บ้าน เมื่อเห็นว่าชู่อวี่กำลังชงชาอยู่ และหยวนซื่อก็หลับไปบนโต๊ะแล้วผลของยานอนหลับยังไม่จางหายดี แต่ก็ยังรอดมาได้“คุณหนู ฟูเหรินยังคงหลับอยู่เจ้าค่ะ” เมื่อเห็นจื่ออานเข้ามา ชู่อวี่ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย และก้าวออกไป“นี่!” จื่ออานออกไปวางฝาครอบโคมไฟลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า “ออกไปกับข้าครู่หนึ่ง ตรงมุมกำแพงมีดอกกุหลาบกำลังเบ่งบานอยู่ ไปเด็ดมันมาที”“เจ้าค่ะ!” ชู่อวี่ดูเชื่อฟังมาก นางจึงออกไปกับจื่ออานมีดอกกุหลาบอยู่ตรงมุมกำแพงจริง และตอนนี้ก็เบ่งบานพอดี จื่ออานพูดเสียงดัง “ชู่อวี่ พอเจ้าดึงดอกกุหลาบดอกนี้เสร็จแล้ว ก็ไปเอาฝาครอบที่เสียหายให้ข้าที จะได้นำมาซ่อมแซม”ชู่อวี่ตอบว่า “เจ้าค่ะ คุณหนู”พอเข้ามาที่ประตู จื่ออานก็เงยหน้าขึ้น คนคนนั้นก็หายตัวไปในอีกด้านหนึ่งของกำแพงจื่ออานหัวเราะยิ้มเยาะ นางยังคงรออยู่หลังจากที่ชู่อวี่ดึงดอกกุหลาบออกมา จื่ออานก็ให้นางกลับไปรับใช้ฟูเหรินทันทีทันทีที่ชู่อวี่เข้าไปในห้องก็มีอาการปวดหลัง นางหันศีรษะและมองจื่ออานด้วยความประหลาดใจ จื่ออานหมุนแหวนอย่างไร้ความรู้สึก และความรู้สึกราวกับถูกไฟฟ้าช็อตก็แผ่กระจายออกมา จากนั้นชู่อวี่ก็ล้มลง
จื่ออานยิ้มขึ้นด้วยสีหน้าขาวซีด และมองที่เหล่าฟูเหรินอย่างประชดประชัน “มีวิธีใดอีกเล่า? ลูกสาวเสนาบดีคนนี้ของข้า ต้องต่อต้านความโชคร้ายของเธอเองด้วยความฉลาดเล็กน้อยนี้ และความโชคร้ายของข้า ก็เป็นเพราะญาติสนิทของข้าที่นำมาให้”เซี่ยหว่านเอ๋อตอบกลับอย่างเย็นชา “เจ้าอย่าโทษคนอื่น ในจวนนี้ เจ้าได้เสพสุขความมั่งคั่งร่ำรวย และยศศักดิ์มาสิบหกปีแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าปฏิเสธที่จะอภิเษกสมรส มันก็จะไม่จบลงแบบนี้"จื่ออานมองที่เธออย่างเย็นชา “จริงหรือ? สิบหกปีแห่งความมั่งคั่ง ร่ำรวย และยศศักดิ์ ตามด้วยการสร้างความอัปยศอดสู และความเจ็บปวดจากแม่ลูกอย่างพวกเจ้าที่ทำกับข้าเท่าไหร่กันเล่า?”นี่เป็นข้อกล่าวหาที่เยือกเย็นที่สุด แต่ทว่าไม่มีใครกล้าขยับ แม้แต่บิดาผู้ให้กำเนิดเธอก็ยังมองเธอด้วยความเกียดชัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหญิงชราคนนั้นเซี่ยหว่านเอ๋อถอนหายใจ “ไม่มีใครเคยทำร้ายเจ้า เป็นเพราะเจ้าไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ข้าไม่ดีกับเจ้าหรือ? ในจวนเสนาบดีนี้ เจ้ากินอิ่ม มีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ใส่ เจ้าควรพึงพอใจแล้ว”“เป็นคำพูดที่ดี มีสมาชิกครอบครัวเช่นนี้ เซี่ยจื่ออานคงต้องยอมรับโชคชะตา!” จื่ออ่านไม่ได้มีเจตนาอื่
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของฮองเฮากระตุก และดวงตาของนางก็ดูเหมือนจะลุกเป็นไฟ ทำให้ผู้คนกลัวที่จะมองตรง ๆ แต่ต้องการช่วยองค์จักรพรรดิเหลียงกลับมา”“ใช่แล้ว!” แพทย์หลวงตกใจ และรีบหันกลับมา ขอให้คนไปโรงหมออีกครั้ง เพื่อหาใครสักคนนำแพทย์หลวงทั้งหมดมา ไม่เว้นแม้แต่นักโทษก็รีบมาเช่นกันเกิดความโกลาหลในห้องโถง ฮองเฮาประทับอยู่บนบัลลังก์ เกียรติยศที่เคยมีถูกทำลายด้วยความตระหนก นางถือสายประคำในมือแล้วอ่านพระคัมภีร์อย่างไม่ใส่ใจ แต่จิตใจของนางไม่สามารถสงบลงได้ สายตายังคงมองไปยังเตียง องค์รัชทายาทก็ยืนอยู่ด้วย แต่การแสดงออกของเขาค่อนข้างสบาย ๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับความตื่นตระหนกภายในห้องโถงนี้อย่างมากดูเหมือนว่าคนที่กำลังจะสิ้นลมบนเตียงไม่ใช่ท่านพี่ของเขาหมอหลวงดูเคร่งขรึมมาก เขามองดูยาที่ไหลลงมา แต่มันทำให้จักรพรรดิเหลียงสำลักจนแทบหยุดหายใจ เขาจึงไม่กล้าป้อนยาต่อในกรณีนี้ หากไม่รีบบรรเทาปัญหาการหายใจในตอนนี้ องค์จักรพรรดิเหลียงอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตการฝังเข็มเป็นวิธีที่เร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด สามารถเปิด เส้นเมอริเดียน เป็นเส้นที่สอดคล้องกับอวัยวะและวิ่งไปตามลำตัวไปทั้งมือหรือเท้า อวัยวะที
ดังนั้น เขาจึงตอบกลับหมอหลวง “ใต้เท้า เป็นเพราะช่วงเวลาแห่งการมีชีวิตอยู่และสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดิเหลียง ดังนั้นข้าจึงต้องลอง มิฉะนั้น เมื่อรักษาอาการป่วยล่าช้า แค่คิดที่จะลองก็ลองไม่ได้แล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้นฮองเฮาก็จิตใจสับสนวุ่นวาย นางหยิบลูกประคำอธิษฐานขึ้นแล้วเดินไปที่เตียง นางมองใบหน้าที่ม่วงคล้ำขององค์จักรพพรดิเหลียง เขาอ้าปากหายใจลำบากมาก แม้ว่าเขาจะอยู่ในอาการโคม่า แต่ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน และยังมีน้ำลายไหลออกมาจากมุมปาก นางไม่รู้ทักษะทางการแพทย์ แต่นางก็รู้ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปมันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาองค์รัชทายาทกล่าวอีกครั้งว่า "ท่านแม่ ได้เชิญท่านลุงไปแล้ว ไม่แน่อาจจะเชิญเซี่ยจื่ออานเข้าในวังมาด้วย ถึงแม้ว่านางจะไม่มีความรู้ทักษะการแพทย์ แล้วก็ไม่ได้รู้จักคนใหญ่โตอะไร และยังไม่เป็นอันตรายต่อเรื่องนี้ ถ้าหากนางรู้จริง ๆ เล่า? อย่างนั้นท่านพี่ก็มีทางรอด"ฮองเฮาลองคิดดูก็ว่ามันสมเหตุสมผล จากนั้นก็เรียกคนเข้ามา “นำสาส์นจากข้า ไปที่จวนเซียง และบอกให้เซี่ยจื่ออานเข้าวัง”นางข้าหลวงรับคำสั่ง ร่างสาส์นและรีบออกจากวังไปยังจวนเซียงมู่หรงเจี๋ยกำลังสนทนากับขุนนางชั้นผู้
เซี่ยหว่านเอ๋อออกคำสั่งแบบนี้ ก็มีคนรับใช้สองคนเดินมาข้างหน้าเพื่อลากนางออกไปเสี่ยวซุนตกใจมากจนใบหน้าซีด แม้แต่คุณหนูก็ยังถูกมัดอยู่ในมือพวกเขา และตัวเธอเองก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงแม้ว่าจะเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นแค่เด็กเท่านั้น จะไม่กลัวได้อย่างไร? เธอตัวสั่นไปทั้งตัว ตลอดทางที่ถูกลากออกไป และกัดฟันด้วยความหวาดกลัวจื่ออานมองดูเสี่ยวซุนที่ถูกลากออกไป ศีรษะของเธอก็วิงเวียน และการโจมตีของพิษก็ทำให้เธอแทบจะชาไปครึ่งร่างเธอเห็นว่าเสี่ยวซุนมีสีหน้าหวาดกลัว แต่ไม่ได้ร้องไห้ออกมา ทำได้เพียงแค่กัดฟันต่อไป เธอสาบานว่า ตราบเท่าที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เธอจะไม่มีวันปฏิบัติต่อเด็กคนนี้อย่างเลวร้าย ทั้งสองถูกโยนเข้าไปในห้องมืด และชุ่ยยู่ก็หัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมา“คุณหนู เชิญเพลิดเพลินกับรสชาติที่กำลังจะตายเถอะ”พูดเสร็จก็หันหลังเดินออกไปกับคนอื่น ๆเสี่ยวซุนคลานเข้ามาหา “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไป?”จื่ออานรู้ว่าเธอต้องยื้อเวลาไว้ เพราะอีกไม่นานเซี่ยหว่านเอ๋อ และหลิงหลงฟูเหรินจะมาแน่นอน เธอต้องฉีดยาควบคุมการแพร่กระจายของพิษก่อนที่พวกนางจะมาถึง มิฉะนั้น แม้ว่าเธอจะได้รับการสนับสนุนจากคน
ในเวลาเดียวกัน องครักษ์หนี่หรงที่อยู่ข้างกายของผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิได้มาถึงที่จวนเซียง เพื่อต้องการพบเซี่ยจื่ออานเมื่อมหาเสนาบดีเซี่ย ได้ยินว่าเป็นคนข้างกายของผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ ก็ออกมาพบด้วยตนเอง“ท่านใต้เท้าเซียง ท่านอ๋องสั่งให้ข้ามารับเซี่ยจื่ออานเข้าวัง” หนี่หรงกล่าวมหาเสนาบดีเซี่ย สะดุ้งในใจ “ท่านอ๋องบอกให้นางเข้าวัง? ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น?”หนี่หรงกล่าวว่า "ข้าเพียงทำตามคำสั่งของท่านอ๋องเท่านั้น ส่วนเหตุผล ข้าไม่ทราบ"มหาเสนาบดีเซี่ย กล่าวด้วยใบหน้าสลด “แต่ว่า นางมีอาการป่วยกะทันหัน และตอนนี้อยู่บนเตียง ข้าเกรงว่าจะเข้าวังไม่ได้แล้ว รบกวนฝากกลับไปบอกท่านอ๋องด้วย”"ป่วยกะทันหัน?" หนี่หรงขมวดคิ้ว แต่ในใจเขารู้สึกมีลางไม่ดี เป็นไปได้ไหมว่าคนของจวนเซียงชิงลงมือล่วงหน้าไปแล้ว?“ใช่แล้ว หมอบอกเกรงว่านางคงจะไม่รอดแล้ว” มหาเสนาบดีเซี่ย กล่าวด้วยใบหน้าเจ็บปวดหนี่หรงรู้ว่านี่เป็นข้อแก้ตัว และเขาก็พูดว่า "ถ้างั้นข้าขอพบคุณหนูสักครู่ได้ไหม?"“ข้าเกรงว่าจะไม่ได้” มหาเสนาบดีเซี่ย ดูไม่พอใจเล็กน้อย “ตอนนี้นางป่วยหนัก และอยู่ในห้องส่วนตัวของนาง จะปล่อยให้ผู
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว