จื่ออานคิดอยู่ครู่นึงแล้วกล่าว "อย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าจะไปหาผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ ดูว่าเขาจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง"หยวนซื่อกล่าวอย่างแผ่วเบา "ลำบากเจ้าแล้ว หลินหลินก่อนหน้านี้ก็ดีกับจื่ออานมาโดยตลอด ข้าไม่อาจมองดูเขาล่องลอยอยู่ในวังเพียงลำพังโดยที่ไม่ช่วยอะไรเลยได้”“เป็นเพราะข้าเขาถึงได้ตาย..." เสียงของจื่ออานสะอื้นเล็กน้อย พูดไม่ออก หันหลังแล้วกล่าว "ข้าเปลี่ยนชุดแล้วจะไปเลย"แม่นมหยางก็อยากจะติดตามนางไปด้วย แต่ว่าจื่ออานกลับบอกนางว่า"ต่อจากนี้ไปเมื่อข้าออกไปข้างนอก ให้แม่นมช่วยดูแลท่านแม่กับเสี่ยวซุนด้วย เพื่อที่ข้าจะได้ไม่ต้องคอยพะวงว่าจะเกิดเรื่องร้าย ๆ กับพวกเขาขึ้นที่จวน""เพียงแต่ว่าตอนฟ้าก็มืดแล้ว ท่านไปจวนอ๋องคนเดียว แบบนี้..." ความหมายของแม่นมหยางก็คือกลัวคนจะนินทา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนนี้น้ำสกปรกที่สาดมาบนตัวนางมีเยอะมากเกินพออยู่แล้วด้วย"แม้ว่าแม่นมหยางจะไม่ได้พูดออกมา แต่ว่าจื่ออานกลับเข้าใจสิ่งที่นางเป็นกังวล และกล่าว "แม่นมไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของข้าเลย ข้าไม่มีอะไรต้องให้เสียอีกแล้ว"แม่นมหยางพยักหน้า "มันก็จริงเช่นที่ท่านกล่าวมา งั้นก็ไปเถิด"จื่อ
สตรีผู้นี้หวดแซ่ม้า จงใจยกมือขึ้นให้เหมือนกำลังจะหวดไปที่บนตัวจื่ออานยังไงยังงั้น บนหน้าผุดรอยยิ้มร้ายกาจขึ้นมาทว่าจื่ออานนิ่งสงบไม่เคลื่อนไหว นางอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างเบื่อหน่าย "ไม่เห็นจะสนุกเลยสักนิดเดียว"อ๋องอันที่เห็นจื่ออาน ก็เบี่ยงตัวลงจากม้า "เจ้ามาแล้วเหรอ? "จื่ออานโค้งตัว "คับนับท่านอ๋อง""มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” คนเฝ้าประตูก้าวเข้ามาดึงม้า อ๋องอันตบหลังมันให้เขาพามันไป แล้วก็พูดกับสตรีคนนั้น "เจ้าเข้าไปก่อน เดี๋ยวข้าตามเข้าไป"สตรีนางนี้กล่าวอย่างแง่งอน "เร็ว ๆ นะ ถ้าช้าล่ะก็ข้าจะฆ่าเจ้า”อ๋องชินอันมองไปที่นาง "พอได้แล้ว อีกเดี๋ยวข้าตามไป จะกล้าให้กู่หน่ายนายของพวกเรารออยู่ลำพังได้อย่างไร?"สตรีนางนี้หายใจแรง หันหลังแล้วเดินเข้าไปอ๋องอันยกมือขึ้นลูบหัวตัวเอง แล้วกล่าวกับจื่ออาน "พาม้าไปผูกไว้ให้ดี เข้าไปข้างในกันเถอะ"จื่ออานเจอกับตัวละครที่เหมือนกับนักรบ ในใจรู้สึกหวั่นเกรง ทำตามที่เขาพูดจื่ออานผูกม้าไว้ที่หน้าประตู ตามอ๋องอันเข้าไปด้านในองครักษ์ของอ๋องอันกล่าวต้อนรับ"ท่านอ๋องกลับมาแล้ว?""ต้าจิน สั่งคนให้ไปต้มชาหลงจิ่งมาให้คุณหนูใหญ่หน่อย" อ๋องอันก้าวเ
"ท่านอ๋อง..." องครักษ์ชะงักและมองไปที่เขา ไม่ใช่ว่าเขารู้เหตุผลแล้วเหรอ?อ๋องอันก้าวเท้ายาว ๆออกไป "มีเหตุผลก็จริง แต่ข้าไม่สนเหตุผลอยู่แล้ว"องครักษ์ติดตามเขาออกไป "แต่ว่า เซี่ยจื่ออานผู้นี้ไม่มีอะไรมอบให้ท่านเลย ท่านจะช่วยนางโดยไม่มีเงื่อนไขหรือพ่ะย่ะค่ะ?""เจ้าไม่ได้ยินที่นางพูดเหรอ ว่านางไม่มีอะไรทั้งนั้น?""แต่..." องครักษ์ไม่เข้าใจเขาจริง ๆ ก่อนหน้านี้มีคนมาขอความช่วยเหลือจากเขา เขาก็ยังไม่ยอมเจอหน้า ขนาดพวกเขายกหีบสมบัติเข้ามา เขายังไม่ชายตามองเลย"พูดไร้สาระอะไร? นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกเหรอ? ข้าพร้อมจะช่วยเหลือคนมาโดยตลอด" อ๋องอันกล่าวอย่างเก็บอาการองครักษ์ต้าจินสูดหายใจแรง ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดจื่ออานหายมาอยู่ในจวนอ๋องอันอย่างนี้ แม้กระทั่งประโยคเดียวนางก็ไม่พูดแทรกขึ้นมา เพียงแต่มองตามหลังอ๋องอันอย่างมึน ๆ นางออกไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าระเบียง ไม่รู้ว่าควรไปหรืออยู่ที่นี่ต่อมีร่างหนึ่งเดินออกมาจากทางเดินที่คดเคี้ยว สวมชุดสีแดง แดงจนแสบตา เหมือนเจ้าสาว นางก็คือสตรีที่เพิ่งเจอเมื่อครู่นี้ นางเปลี่ยนชุดแล้ว สีฉูดฉาดแบบนี้ ทำให้จื่ออานรู้สึกสดใส มันดีมากจริง ๆ อย่างน้อ
เพราะฉะนั้น มู่หรงจ้วงจ้วงนางนี้ แม้แต่หวงไท่โฮ่วองค์ปัจจุบัน ก็ต้องเห็นแก่หน้านางสักหน่อย เพราะจักรพรรดิองค์ก่อน เอาแต่ดูแลประคบประหงมน้องสาวคนเล็กสุดราวกับเด็กแรกเกิดและยิ่งไปกว่านั้น องค์หญิงนางนี้ก็ยังได้รับการสถาปนาเป็นองค์หญิงแห่งเจิ้นกั๋ว และองค์หญิงแห่งเจิ้นกั๋วก็มีอำนาจอยู่เหนือฮองเฮา และยังอยู่ในชนชั้นบรรดาศักดิ์เดียวกันกับหวงไท่โฮ่วอีกด้วย และที่รู้ ๆ กัน นางเป็นตำนานคนหนึ่งเลยเป็นตำนานที่สุด เพราะไม่มีผู้ใดที่เกินกว่านางอีกแล้ว อายุยี่สิบกว่าปี แต่ก็ยังไม่ยอมอภิเษกเสียทีหวงไท่โฮ่เองก็ใจสลายเรื่องงานอภิเษกสมรสของนางเช่นกันมู่หรงจ้วงจ้วงดึงจื่ออานให้นั่งลง และถามเธอด้วยความสนใจ “เจ้าไม่ชอบอาซินใช่หรือไม่? เรื่องไม่ชอบเขานั้นไม่สำคัญหรอก ตระกูลมู่หรงของเรามีชายที่โดดเด่นอยู่มาก หากเจ้าถูกใจใครข้าจะช่วยตัดสินใจ”จื่ออานเขยิบตัวเข้ามาข้างในเล็กน้อย นี่นางกำลังขายสินค้าที่ขายไม่ออกหรือไง?“จื่ออานหยุดชั่วคราว…”เธอยังพูดไม่ทันจบ มู่หรงจ้วงจ้วงก็ขึ้นมาเหยียบบนเก้าอี้ของเธอ เหยียดตัวตรง นัยน์ตาสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น “เจ้าคิดว่าอาจื่อเป็นไง”จื่ออานไม่มีคำพูดใด ๆ อาจื
เมื่อมาถึงลานอิสระแห่งหนึ่งภายในตำหนัก ภายในสวนจุดโคมไฟหยางเจี่ยว หน้าประตูมีทหารกว่าสิบนายถือดาบอันยาวคอยคุ้มกันอยู่ เมื่อลมพัดโชยมา มีกลิ่นคาวเลือดก็ฟุ้งกระจายในอากาศอย่างรุนแรง เมื่อประตูทางเข้าเปิดออก มีคนถือน้ำออกมา จื่ออานเห็นว่าในอ่างน้ำนั้นแดงไปหมด และส่งกลิ่นคาวเลือดแรงมากองค์ชายอานและจื่ออานรีบเดินเข้าไปข้างใน แต่กลับพบว่าภายในห้องโถงมีศพวางเรียงรายกันอยู่จำนวนหนึ่งโดยมีผ้าสีขาวคลุมเอาไว้ และบนผ้าสีขาวนั้นก็เปื้อนคราบเลือดเดินเข้าไปห้องชั้นในอีกหน่อย ภายในห้องมีเตียงชั่วคราววางเรียงกันอยู่ แต่ละเตียงมีคนบาดเจ็บนอนอยู่ หนึ่งในนั้นคือ หนี่หรงมีหมอหลวงกว่าสิบคนกำลังวิ่งวุ่น พวกเขาสวมชุดเครื่องแบบ คาดว่าคงจะเป็นหมอจากสำนักฮุ้ยหมินจื่ออานตกใจมาก ตกลงว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ภัยพิบัติใหญ่หรือ? ทำไมผู้คนถึงถูกส่งกลับมาที่นี่กันหมด?ม่านถูกเปิดออก ชายร่างสูงสวมชุดเครื่องแบบทหารสีดำเดินออกมา เมื่อเห็นองค์ชายอานมาถึง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นและถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านอ๋องมาแล้ว พาหมอเซี่ยมาหรือยังพ่ะย่ะค่ะ?”องค์ชายอานดันตัวจื่ออานออกมา เขาจึงถาม “ซูชิง เขาเป็นยังไงบ้าง
จื่ออานขณะช่วยชีวิต พลางหันไปสั่งหมอหลวง “รีบไปเตรียมยาขาว เทลงไปก่อน แล้วค่อยเตรียมกุยลู่ทัง เพื่อใช้สำหรับผลิตเลือด เพิ่มตี้หวางทังเข้าไป จากนั้นผสมให้เข้ากันแล้วเอามาให้ข้า”หมอหลวงลังเลครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “เกรงว่าจะไม่มีประโยชน์แล้ว”“รีบไป!” จื่ออานตะโกนใส่เขาด้วยโทนเสียงที่เปลี่ยนไป เธอไม่สามารถปล่อยให้มู่หรงเจี๋ยตายได้ มู่หรงเจี๋ยเป็นที่พึ่งเดียวของเธอ อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นองค์ชายอานคว้าคอเสื้อของหมอหลวงคนนั้นเอาไว้แน่น “ทำตามคำสั่งของนาง”“พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ!” หมอหลวงรีบไปทันทีมู่หรงจ้วงจ้วงเห็นว่าจื่ออานไม่กลัวเลือดและบาดแผล นางค่อย ๆ จัดการไปตามขั้นตอน และยังสามารถออกคำสั่งให้หมอหลวงทำอะไรได้เป็นขั้นเป็นตอน เมื่อเห็นใบหน้าที่หนักแน่นและเด็ดเดี่ยวของนาง ไม่รู้เพราะอะไร อยู่ ๆ ในใจก็เกิดเบาใจขึ้นมาดินปืนที่ซูชิงหามาได้มีไม่มาก ทั้งหมดล้วนเอามาจากประทัดทั้งนั้นจื่ออานนำดินปืนมาวางไว้บนบาดแผลที่เป็นพิษ จากนั้นนำไฟมาลน และหลังจากที่เปลวไฟดับไป เลือดตรงบาดแผลก็ไม่มีแล้ว ซูชิงเข้าใจและปิดปากของตนไปในทันที แบบนี้พิษที่อยู่บนบาดแผลของผิวชั้นนอกก็ไม่มีทางไหลเข้าไปได
ทุกคนเห็นว่าเธอพันแผลเล็ก ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็วางมือ หมอหลวงจึงถามว่า “แล้วบาดแผลที่เหลือไม่พันแล้วหรือ?”จื่ออานส่ายหน้า “บาดแผลใหญ่ ๆ พวกนี้ต้องรอสักครู่หนึ่ง ข้าต้องเย็บสักหน่อย”หมอหลวงคิดว่าตนฟังผิดไป “อะไรนะ? เย็บสักหน่อย? จะเย็บอะไร?”จื่ออานกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะใช้ด้ายอะไร จึงไม่ได้ตอบเขากลับไป หากเป็นเส้นด้ายธรรมดา คงจะไม่มีความเหนียวแน่พอในการเย็บบาดแผลเธอคิดอยู่สักพักหนึ่ง ก็เงยหน้าขึ้นตั้งใจว่าจะถามองค์ชายอาน แต่กลับเห็นว่าทุกคนกำลังมองมาที่เธออย่างงง ๆ ราวกับว่ากำลังรอคำตอบของเธออยู่ เธอถึงจะเพิ่งนึกคำถามที่หมอหลวงถามขึ้นมาได้ จึงอธิบายไปว่า “ข้อดีของการเย็บคือช่วยให้บาดแผลสมานกันเร็วขึ้น และป้องกันไม่ให้เลือดไหลออกมา อีกทั้งยังลดโอกาสการติดเชื้อไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น บาดแผลหนึ่งบาดแผล หากไม่มีการเย็บแผล เวลาในการสมานแผลของมันคือสิบวัน แต่หากได้เย็บแผลมันจะใช้เวลาเพียงแค่สี่วันเท่านั้น มันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการสมานแผลได้อย่างเสร็จสมบูรณ์ และยังหลีกเลี่ยงไม่ให้บาดแผลเพิ่มระดับการฉีกออกอีกด้วย…”เธอหยุดไปครู่หนึ่ง ต่อให้มีการเย็บแผลแผลก็มีโอกาสฉีกออกได้ เ
ณ เวลานี้ มีผู้มาเยือนคนหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดหมังผาวสีดำ ทรงมงกุฎ คาดเอวด้วยเข็มขัดหยก บนหน้าผากมีรอยแผลเป็นลากยาวไปจนถึงกลางคิ้วข้างซ้าย ใบหน้าน่ารักที่ดูเด็ดเดี่ยว นัยน์ตามราวกับประกายไฟหลังจากที่เขาและองค์ชายอานผลัดเปลี่ยนกันส่งสายตาให้แล้ว เขาก็ยืนอยู่ข้าง ๆ จื่ออานไม่ทันสังเกตว่าเขานั้นใจจดใจจ่ออยู่กับการเย็บด้ายทีละเส้นทีละเส้นบนร่างกายของมู่หรงเจี๋ยหัวของเธอนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ มู่หรงจ้วงจ้วงจึงซับออกให้เธอ ราวกับว่าเป็นภรรยาคนหนึ่งที่คอยดูแลอยู่ข้าง ๆการเย็บแผลต่อเนื่องกันเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ไม่ว่าจะมีฝีมือชำนาญมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถต้านทานความล้าหลังของเครื่องมือได้เมื่อจื่ออานยืนขึ้น ร่างกายก็ไม่สามารถประคองตัวได้ ตรงหน้ามืดสนิท จนแทบจะเป็นลมล้มพับไปกับพื้นคนที่เพิ่งมายื่นมือออกมาพยุงตัวจื่ออานเอาไว้ และกล่าวเรียบ ๆ “ระวังหน่อย”จื่ออานเย็บแผลจนมือทั้งสองข้างนั้นสั่นไปหมด พอวางไว้บนข้อมือของเขาคนนั้น ก็หยุดสั่นไม่ได้ใบหน้าของเธอนั้นเป็นประเภทที่ว่าหมองมัวและซีดขาว เมื่อเหลือบมองเขา ก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าการที่ชายหญิงถูกเนื้อต้องตัวกันเป็นเรื่องที่ไม่ดี เธอจึงรีบปล
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว