หลังจากขึ้นไปถึงยอดเขาหานซาน ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการต้อนรับจากชายอ้วนฟันหลอชายอ้วนฟันหลอพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านปู่รู้ว่าพวกท่านจะมา เขาจึงออกไปข้างนอก”มู่หรงเจี๋ยนิ่งงันกลายเป็นหินจื่ออันเองก็รู้สึกผิดหวังเช่นเดียวกัน “เขาไปไหน? แล้วบอกไว้หรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่?”“ยังไม่กลับมาอีกสักพักใหญ่ ๆ ถึงอย่างนั้นเมื่อรู้ว่าพวกท่านจะมา จึงฝากจดหมายไว้ให้ด้วย” ชายอ้วนฟันหลอหยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อของเขา แล้วมอบให้มู่หรงเจี๋ยมู่หรงเจี๋ยเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว ในนั้นมีเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ‘อย่ารบกวนข้า!’อ๋องเยี่ยไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ถือเป็นปกติวิสัยของเขา”จื่ออันผายมือออก “เช่นนั้นเราควรทำอย่างไร?”นางพยายามทำทุกทางเพื่อให้ได้ออกมาพบอีกฝ่าย แต่เขากลับจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ความหวังในการฝากตัวเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการเลือนหาย“กลับเถิด” มู่หรงเจี๋ยส่ายหัว สีหน้าดูเคร่งขรึมเล็กน้อย เหล่าหวังเย่จากไปแล้ว นั่นหมายความว่าเขาไม่ยินดีที่จะต้อนรับจื่ออันอย่างไรก็ตาม เขาไม่ต้องการให้เรื่องออกมาเป็นเช่นนี้เลย“พระชายา รอช้าก่อน!” ชายอ้วนฟันหลอรีบพูด“มีอะไรอีกหรื
ชายอ้วนฟันหลอพาทั้งสามคนไปยังห้องใต้ดินโดยทั่วไปแล้ว คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าห้องใต้ดินเป็นสถานที่คับแคบ เล็ก และอากาศไหลผ่านน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อจื่ออันเดินลงไปตามสถานที่ที่เรียกว่าห้องใต้ดินแห่งนี้ก็ต้องแปลกใจนี่เรียกว่าห้องใต้ดินหรือ? นี่มันดันเจี้ยนต่างหาก!ตลอดทางเข้าเป็นทางเดินที่ใหญ่พอ ๆ กับถนนทางการ ผนังกำแพงไม่ได้ตกแต่งด้วยตะเกียงเจ้าพายุหรือเทียนธรรมดา ๆ แต่ประดับด้วยไข่มุกเรืองแสง ไข่มุกเรืองแสงนั้นเป็นทรงกลม และฝังอยู่บนผนังหินด้วยซ้ำไป กำแพงหินเปล่งประกายสะท้อนสีทองอร่าม จื่ออันยื่นมือออกไปลูบกำแพงทีหนึ่ง อย่าบอกนะว่ามันทำขึ้นจากทองคำ?เขาหานซานร่ำรวยถึงขั้นนี้เชียวหรือ?นึกว่าหานซานเป็นเพียงกระท่อมไม้โทรม ๆ เสียอีก?หีบแรกมีขนาดใหญ่มาก ยังไม่นับรวมหีบต่าง ๆ อีกหลายหีบ ชายอ้วนฟันหลอเปิดออกบางส่วนแลัวปิดกลับ กระนั้นดวงตาของจื่ออันก็แทบจะถลนออกมา นี่มัน… นี่มันเครื่องประดับเงินและทองทั้งหมดเลยมิใช่หรือ? ข้าตาฝาดไปหรือไม่? เหตุใดจึงมากมายเช่นนี้?“ขออภัย ข้าน้อยจำไม่ได้แล้วว่ามันถูกเก็บไว้ในหีบไหน”ชายอ้วนฟันหลอเปิดหีบมากมายตรงหน้าออกทีละใบ ในที่สุดก็เจอเครื่องมือแพทย
หลังจากชายอ้วนฟันหลอจากไป ป้าอาเฉอก็เดินออกมาจากถ้ำ“จื่ออันมาแล้วหรือ?”“เจ้าอ้วนบอกว่าพวกเขาเพิ่งมาที่นี่” ไท่หวงไท่โฮ่วลุกขึ้นจากสวนดอกไม้ ย้ายไปนั่งบนเก้าอี้โยกข้าง ๆ“ท่านจะปล่อยนางไปที่เป่ยโม่จริงหรือ?” ป้าอาเฉอสับสน “เราปล่อยให้เจ้าหนูอันหรานไปทำเรื่องนี้แทนไม่ได้รึ?”“ไม่ อันหรานไปไม่ได้ ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเป่ยโม่และต้าเหลียงค่อนข้างละเอียดอ่อน หากอันหรานไป จะกลายเป็นการสร้างความกดดันให้กับราชวงศ์ซ่งเสียมากกว่า”“แต่จื่ออันจะเอาตัวรอดได้อย่างไร เมื่อนางไปถึงเป่ยโม่? ที่นั่นมีสัตว์ป่ามากมายที่ดุร้ายจนสามารถกินคนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ๆ เฉพาะจักรพรรดิและฮองเฮาเฉาในเป่ยโม่ ก็กินคนโดยไม่แม้แต่จะคายกระดูกออกมาด้วยซ้ำไป”ไท่หวงไท่โฮ่วปรายตามองนาง แล้วกล่าวว่า “อย่าพูดจาไร้สาระ พูดคำดูหมิ่นพวกเขาตามใจชอบได้อย่างไร แม้แต่สัตว์ก็มีศักดิ์ศรี”“ท่านก็รู้ว่าพวกมันเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์ หากถามข้า ข้าว่าอาเจี๋ยมอบความเมตตาให้พวกมันมากเกินไปในครั้งนี้ เขาควรใช้โอกาสนี้โจมตีพวกมัน และทุบตีจนแหลกเป็นชิ้น ๆ ในเป่ยโม่เสีย” ป้าอาเฉอกล่าวด้วยความโกรธ“ด้วยช่วงวัยของเจ้าแล้ว เจ้าอาจ
ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว หลังจากที่มู่หรงเจี๋ยได้รับจดหมายเดิมทีเขาคิดว่าท่านบรรพชนเพิกเฉยต่อกิจการของราชสำนักเสียอีก ไม่คาดคิดว่านางจะยังคงให้ความสนใจกับเรื่องเหล่านี้อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยากที่จะคลี่คลายในเวลานี้ เขาต้องส่งจดหมายถึงอ๋องเป่ยโม่ฉีทันที บอกว่าเขาไม่สามารถเชิญเหล่าหวังเย่ออกมาได้เขาไม่อยากสู้ศึกครั้งนี้จริง ๆ เพราะโอกาสชนะมีไม่สูงมาก เขาต้องสละชีวิตทหาร ร่วมสงครามที่ไม่ควรเกิดขึ้นเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของประเทศชาติ ทั้งยังต้องต่อสู้ป้องกันดินแดน อย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่การเจรจาสันติภาพเป็นไปได้ ตราบเท่าที่อีกฝ่ายยอมมอบผลประโยชน์ร่วม นั่นแปลว่าเขาไม่ควรแก้ปัญหาด้วยวิธีสุดโต่งทหารไม่ควรคิดทำสงครามง่าย ๆ เพราะคนที่เข้าใจสงครามดีย่อมไม่อยากต่อสู้ทหารเหล่านั้นในเกาหลีเหนือ หรือกลุ่มหัวรุนแรงในหมู่ประชาชนมักจะออกมาประกาศว่าประเทศใดควรสู้รบด้วย เพราะพวกเขาไม่ใช่คนที่อยู่ในสนามรบจริง ๆหากมีการต่อสู้เกิดขึ้น พวกเขาสามารถหลบหนีได้เร็วกว่าใคร นับตั้งแต่จื่ออันขนย้ายตำราทางการแพทย์กลับมาจากเขาหานซาน นางก็มุ่งความสนใจไปที่พวกมันทั้งวันทั้งคืนไม่ว่าจะเป็นการแพทย์แผนจีนหรือ
ถังเป่านำข่าวจากชายแดนมารายงานพร้อมบอกให้เซียวเซียวรีบรุดไปยังสนามรบ เพราะในระหว่างที่มู่หรงเจี๋ยบาดเจ็บ หน้าที่ผู้บัญชาการในกองทัพจะถูกส่งมอบให้กับเซียวเซียวเป็นการชั่วคราวเซียวเซียวเดินทางไปยังสนามรบ ซึ่งในเวลาเดียวกันองค์จักรพรรดิก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างมากเซียวเซียวคือแม่ทัพผู้เลื่องชื่อแห่งแผ่นดินต้าโจว เขามีประสบการณ์ในการรบมากมาย ทั้งยังมีอุปนิสัยใจเย็น รอบคอบ และมีคุณสมบัติในการเป็นแม่ทัพอีกด้วยทว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล เนื่องจากครานี้ท่านเซียวโหวและเซียวเซียวเป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหาร พวกเขาพยายามสร้างชื่อเสียงให้ตระกูลเซียวอีกครั้งเขาไม่เชื่อว่าตระกูลเซียวจะก่อกบฏ ถึงกระนั้นตระกูลเซียวก็มีอำนาจมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ นอกจากนี้เซียวเซียวมักใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ทำให้ขาดการยั้งคิด ดังนั้นพวกเขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะถูกเอารัดเอาเปรียบไม่ได้สิ่งนี้คือความกังวลขององค์จักรพรรดิองค์จักรพรรดิวางแผนการทุกอย่างด้วยความทะเยอทะยาน แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปจะเป็นเรื่องน่าขันในภายภาคหน้าแม้แผนการเหล่านั้นจะไม่สำเร็จ แต่ผลประโยชน์เดียวที่เขาได้รับจากความพยายามก็คืออ๋องหน
“จื่ออัน ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!” นางเดินเข้ามาภายในท้องพระโรง ขณะที่มู่หรงเจี๋ยยืนอยู่ข้างนอกองค์จักรพรรดิจ้องมองนาง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด”“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ!” จื่ออันรู้ถึงจุดประสงค์ขององค์จักรพรรดิในการเชิญนางเข้ามาในพระราชวังครั้งนี้อย่างดี ถึงกระนั้นนางยังคงเผยท่าทีนิ่งเฉย“ตอนนี้แม่ของเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ในวังแล้ว ข้าคิดว่านางจะอยู่ที่นั่นเสียอีก ในฐานะลูกสาว เจ้าควรจะไปพบหน้านางบ่อย ๆ แต่ข้าก็ไม่เห็นเจ้าไปที่นั่นเลย” องค์จักรพรรดิเริ่มกล่าวทักทายจื่ออันตอบด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ของหม่อมฉันเข้าวังเพื่อสอนศิลปะแก่องค์หญิงและองค์ชาย แล้วจื่ออันจะรบกวนนางบ่อย ๆ ได้อย่างไร? หากเป็นเช่นนั้น องค์จักรพรรดิจะไม่ตำหนิจื่ออันหรือเพคะ?”“ฮ่าฮ่าฮ่า!” องค์จักรพรรดิระเบิดหัวเราะ “เจ้าช่างเจรจาเสียจริง บางทีมันอาจจะเรียกว่าทั้งรักทั้งเกลียดก็ได้กระมัง”“องค์จักรพรรดิยกย่องเกินไปแล้วเพคะ” จื่ออันคลี่ยิ้มเช่นกัน ถึงกระนั้นนางก็ยังรู้สึกว่าคำกล่าวทักทายของอีกฝ่ายชวนอึดอัดใจเกินไป ดังนั้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเห็นได้ชัดว่าแท้จริงแล้วองค์จักรพรรดิไม่ได้อยากรู้เ
หลังจากเรียกจื่ออันกลับไปแล้ว องค์จักรพรรดิก็เรียกพบอ๋องเป่ยโม่ฉีแน่นอนว่าเกี่ยวกับเรื่องข้อสัญญาองค์จักรพรรดิยังไม่กล้ากล่าวยืนยันในตอนนี้ หากจื่ออันเดินทางไปยังเป่ยโม่ นางอาจไม่สามารถยับยั้งโรคระบาดและคิดค้นวิธีรักษาได้เขาเพียงต้องการให้อ๋องเป่ยโม่ฉีสัญญาว่าเขาจะรักษาความปลอดภัยของจื่ออัน หากนางเดินทางไปยังเป่ยโม่ไม่ใช่ว่าเขาใส่ใจความเป็นตายของจื่ออันนักหรอก เพียงแต่จื่ออันเดินทางไปที่นั่นในครั้งนี้ตามคำสั่งของเขา ดังนั้นหากเกิดปัญหาอื่นใดในแผ่นดินเป่ยโม่ ก็อาจเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของเขาในฐานะองค์จักรพรรดิ และนับว่าเป็นการยั่วยุแผ่นดินต้าโจวอีกด้วยเขาตั้งใจจะส่งทหารติดตามจื่ออันไป เพราะหากนางคิดค้นวิธีการรักษาได้สำเร็จ มันก็อาจเป็นสิ่งที่เขาสามารถใช้ต่อรองและเจรจากับเป่ยโม่ได้อ๋องเป่ยโม่ฉีเข้าใจความกังวลขององค์จักรพรรดิเป็นอย่างดี เขาจึงกล่าวว่า “ในวันที่พระชายาหนานหวายออกเดินทาง ข้าในฐานะองค์ชายรัชทายาทแห่งเป่ยโม่จะออกเดินทางไปยังเมืองหลวงของแผ่นดินต้าโจวด้วย ข้าจะอยู่ที่นี่ในฐานะตัวประกัน ดังนั้นข้าจึงขอให้องค์จักรพรรดิแห่งต้าโจวรักษาความปลอดภัยให้ข้าด้วยเช่นกัน”การแล
“สงครามกำลังจะปะทุขึ้น และธุรกิจของเขากำลังไปได้สวย”จื่ออันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จริงด้วย ธุรกิจของเขากำลังไปได้สวย พวกพ่อค้าอาวุธสามารถทำธุรกิจได้ทุกประเภทใช่หรือไม่? ตราบใดที่พวกมันได้กำไร”“มิใช่ว่าข้ากล่าวให้ร้ายเหล่าปาหรอกนะ แต่เขาเป็นคนปล่อยข่าวเองว่าซื้อธนูและหน้าไม้จากพ่อค้าอาวุธคนนี้ ซึ่งสินค้าเหล่านั้นมีมูลค่ามากมาย แต่พ่อค้าอาวุธกลับไม่ให้ความร่วมมือด้วย เพราะเขาเคยหลอกลวงข้า บางทีข้าอาจทำให้การร่วมมือครั้งนี้ง่ายขึ้นก็ได้”สิ้นคำ เขาก็เผยท่าทีครุ่นคิด “ตอนนี้องค์จักรพรรดิเรียกซุนฟางเอ๋อร์เข้าไปในพระราชวังแล้ว ซึ่งซุนฟางเอ๋อร์คือพระชายาในอนาคตของอ๋องหนานหวาย เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากฝ่าบาทรู้ว่าซุนฟางเอ๋อร์ยังคงลอบติดต่อกับอ๋องหนานหวาย?”จื่ออันจ้องมองรอยยิ้มอันน่าขนลุกของชายตรงหน้า “คนเจ้าเล่ห์!”จวนอ๋องหนานหวายจวนของอ๋องหนานหวายคือที่พักอาศัยของอ๋องซู่ชินในอดีต หลังจากอ๋องซู่ชินสิ้นพระชนม์ และเนื่องจากเขาไม่มีทายาทสืบทอด ราชสำนักจึงได้ยึดจวนของเขากลับคืนมา และมอบให้กับอ๋องหนานหวายในปัจจุบันในอดีตจวนของอ๋องซู่ชินหรูหราตระการตา แม้อาคารจะเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา แต่หาก
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว