ถังเป่านำข่าวจากชายแดนมารายงานพร้อมบอกให้เซียวเซียวรีบรุดไปยังสนามรบ เพราะในระหว่างที่มู่หรงเจี๋ยบาดเจ็บ หน้าที่ผู้บัญชาการในกองทัพจะถูกส่งมอบให้กับเซียวเซียวเป็นการชั่วคราวเซียวเซียวเดินทางไปยังสนามรบ ซึ่งในเวลาเดียวกันองค์จักรพรรดิก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างมากเซียวเซียวคือแม่ทัพผู้เลื่องชื่อแห่งแผ่นดินต้าโจว เขามีประสบการณ์ในการรบมากมาย ทั้งยังมีอุปนิสัยใจเย็น รอบคอบ และมีคุณสมบัติในการเป็นแม่ทัพอีกด้วยทว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล เนื่องจากครานี้ท่านเซียวโหวและเซียวเซียวเป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหาร พวกเขาพยายามสร้างชื่อเสียงให้ตระกูลเซียวอีกครั้งเขาไม่เชื่อว่าตระกูลเซียวจะก่อกบฏ ถึงกระนั้นตระกูลเซียวก็มีอำนาจมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ นอกจากนี้เซียวเซียวมักใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ทำให้ขาดการยั้งคิด ดังนั้นพวกเขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะถูกเอารัดเอาเปรียบไม่ได้สิ่งนี้คือความกังวลขององค์จักรพรรดิองค์จักรพรรดิวางแผนการทุกอย่างด้วยความทะเยอทะยาน แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปจะเป็นเรื่องน่าขันในภายภาคหน้าแม้แผนการเหล่านั้นจะไม่สำเร็จ แต่ผลประโยชน์เดียวที่เขาได้รับจากความพยายามก็คืออ๋องหน
“จื่ออัน ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!” นางเดินเข้ามาภายในท้องพระโรง ขณะที่มู่หรงเจี๋ยยืนอยู่ข้างนอกองค์จักรพรรดิจ้องมองนาง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด”“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ!” จื่ออันรู้ถึงจุดประสงค์ขององค์จักรพรรดิในการเชิญนางเข้ามาในพระราชวังครั้งนี้อย่างดี ถึงกระนั้นนางยังคงเผยท่าทีนิ่งเฉย“ตอนนี้แม่ของเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ในวังแล้ว ข้าคิดว่านางจะอยู่ที่นั่นเสียอีก ในฐานะลูกสาว เจ้าควรจะไปพบหน้านางบ่อย ๆ แต่ข้าก็ไม่เห็นเจ้าไปที่นั่นเลย” องค์จักรพรรดิเริ่มกล่าวทักทายจื่ออันตอบด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ของหม่อมฉันเข้าวังเพื่อสอนศิลปะแก่องค์หญิงและองค์ชาย แล้วจื่ออันจะรบกวนนางบ่อย ๆ ได้อย่างไร? หากเป็นเช่นนั้น องค์จักรพรรดิจะไม่ตำหนิจื่ออันหรือเพคะ?”“ฮ่าฮ่าฮ่า!” องค์จักรพรรดิระเบิดหัวเราะ “เจ้าช่างเจรจาเสียจริง บางทีมันอาจจะเรียกว่าทั้งรักทั้งเกลียดก็ได้กระมัง”“องค์จักรพรรดิยกย่องเกินไปแล้วเพคะ” จื่ออันคลี่ยิ้มเช่นกัน ถึงกระนั้นนางก็ยังรู้สึกว่าคำกล่าวทักทายของอีกฝ่ายชวนอึดอัดใจเกินไป ดังนั้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเห็นได้ชัดว่าแท้จริงแล้วองค์จักรพรรดิไม่ได้อยากรู้เ
หลังจากเรียกจื่ออันกลับไปแล้ว องค์จักรพรรดิก็เรียกพบอ๋องเป่ยโม่ฉีแน่นอนว่าเกี่ยวกับเรื่องข้อสัญญาองค์จักรพรรดิยังไม่กล้ากล่าวยืนยันในตอนนี้ หากจื่ออันเดินทางไปยังเป่ยโม่ นางอาจไม่สามารถยับยั้งโรคระบาดและคิดค้นวิธีรักษาได้เขาเพียงต้องการให้อ๋องเป่ยโม่ฉีสัญญาว่าเขาจะรักษาความปลอดภัยของจื่ออัน หากนางเดินทางไปยังเป่ยโม่ไม่ใช่ว่าเขาใส่ใจความเป็นตายของจื่ออันนักหรอก เพียงแต่จื่ออันเดินทางไปที่นั่นในครั้งนี้ตามคำสั่งของเขา ดังนั้นหากเกิดปัญหาอื่นใดในแผ่นดินเป่ยโม่ ก็อาจเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของเขาในฐานะองค์จักรพรรดิ และนับว่าเป็นการยั่วยุแผ่นดินต้าโจวอีกด้วยเขาตั้งใจจะส่งทหารติดตามจื่ออันไป เพราะหากนางคิดค้นวิธีการรักษาได้สำเร็จ มันก็อาจเป็นสิ่งที่เขาสามารถใช้ต่อรองและเจรจากับเป่ยโม่ได้อ๋องเป่ยโม่ฉีเข้าใจความกังวลขององค์จักรพรรดิเป็นอย่างดี เขาจึงกล่าวว่า “ในวันที่พระชายาหนานหวายออกเดินทาง ข้าในฐานะองค์ชายรัชทายาทแห่งเป่ยโม่จะออกเดินทางไปยังเมืองหลวงของแผ่นดินต้าโจวด้วย ข้าจะอยู่ที่นี่ในฐานะตัวประกัน ดังนั้นข้าจึงขอให้องค์จักรพรรดิแห่งต้าโจวรักษาความปลอดภัยให้ข้าด้วยเช่นกัน”การแล
“สงครามกำลังจะปะทุขึ้น และธุรกิจของเขากำลังไปได้สวย”จื่ออันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จริงด้วย ธุรกิจของเขากำลังไปได้สวย พวกพ่อค้าอาวุธสามารถทำธุรกิจได้ทุกประเภทใช่หรือไม่? ตราบใดที่พวกมันได้กำไร”“มิใช่ว่าข้ากล่าวให้ร้ายเหล่าปาหรอกนะ แต่เขาเป็นคนปล่อยข่าวเองว่าซื้อธนูและหน้าไม้จากพ่อค้าอาวุธคนนี้ ซึ่งสินค้าเหล่านั้นมีมูลค่ามากมาย แต่พ่อค้าอาวุธกลับไม่ให้ความร่วมมือด้วย เพราะเขาเคยหลอกลวงข้า บางทีข้าอาจทำให้การร่วมมือครั้งนี้ง่ายขึ้นก็ได้”สิ้นคำ เขาก็เผยท่าทีครุ่นคิด “ตอนนี้องค์จักรพรรดิเรียกซุนฟางเอ๋อร์เข้าไปในพระราชวังแล้ว ซึ่งซุนฟางเอ๋อร์คือพระชายาในอนาคตของอ๋องหนานหวาย เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากฝ่าบาทรู้ว่าซุนฟางเอ๋อร์ยังคงลอบติดต่อกับอ๋องหนานหวาย?”จื่ออันจ้องมองรอยยิ้มอันน่าขนลุกของชายตรงหน้า “คนเจ้าเล่ห์!”จวนอ๋องหนานหวายจวนของอ๋องหนานหวายคือที่พักอาศัยของอ๋องซู่ชินในอดีต หลังจากอ๋องซู่ชินสิ้นพระชนม์ และเนื่องจากเขาไม่มีทายาทสืบทอด ราชสำนักจึงได้ยึดจวนของเขากลับคืนมา และมอบให้กับอ๋องหนานหวายในปัจจุบันในอดีตจวนของอ๋องซู่ชินหรูหราตระการตา แม้อาคารจะเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา แต่หาก
อ๋องหนานหวายรู้แผนการขององค์จักรพรรดิดีและตอนนี้เขายืนอยู่ข้างหน้าองค์จักรพรรดิในฐานะหลานชาย หากองค์จักรพรรดิสั่งให้ไปทางทิศตะวันออก เขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งไปทางทิศตะวันตกเขาได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงคืนนี้เช่นกัน เดิมทีเขาควรจะอยู่ในพระราชวังเพื่อช่วยเตรียมการ แต่ชางชิวบอกให้เขาเข้าไปในพระราชวังพร้อมแขกคนอื่น ๆ เนื่องจากองค์จักรพรรดิต้องการเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นไท่เวย ดังนั้นตอนนี้จึงต้องรักษาสถานะของตนเองเอาไว้กล่าวได้ว่าในฐานะซุ่นจื่อจะต้องอยู่ที่นี่ชั่วคราว หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวต่อหน้าลุงของเขายิ่งไปกว่านั้น ชางชิวยังสนใจข่าวคราวเกี่ยวกับพื้นที่ชายแดนเป็นอย่างมากขณะนี้เซียวเซียวเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพชั่วคราว ในระหว่างที่มู่หรงเจี๋ยได้รับบาดเจ็บสาหัสเขาเชื่อข่าวแรก แต่ไม่เชื่อว่ามู่หรงเจี๋ยบาดเจ็บสาหัสแม้แต่น้อยหากมู่หรงเจี๋ยได้รับบาดเจ็บสาหัสจริง เซียวท่าและคนอื่น ๆ จะกลับมาได้อย่างไร? แม้มันจะเป็นรับสั่งขององค์จักรพรรดิ แต่พวกเขาคงไม่ทำตามแน่นอน อย่างมากก็แค่กลับมาขออภัยโทษ ซึ่งไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนับตั้งแต่การบูรณาการกองทัพก็ไม่มีสงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้
อ๋องหนานหวายอุทานด้วยความตกใจ “เขากลับมาแล้วจริง ๆ รึ?”“รูปหกเหลี่ยมครบถ้วนสมบูรณ์ แต่มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นั่นหมายความว่าท่านสามารถแก้ไขมันได้ ซึ่งวิธีการก็คืออดทน ระวังตัว และปฏิบัติตามหน้าที่ของตน”อ๋องหนานหวายครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าหน้าไม้ที่พวกข้าสั่งซื้อไปจะถูกยกเลิกใช่หรือไม่?”“ท่านอย่าเพิ่งทำเรื่องบุ่มบ่ามในตอนนี้เลย หลังจากเซี่ยจื่ออันออกเดินทางไปยังเป่ยโม่แล้ว ท่านจงวางแผนให้รอบคอบ ในเวลานั้นทุกสายตาจะจับจ้องไปที่เซี่ยจื่ออัน และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อาจลอบติดตามนางไปด้วยก็เป็นได้ และเมื่อถึงตอนนั้นมันก็ยังไม่สายที่ท่านอ๋องจะเคลื่อนไหวอีกครั้ง ดังนั้นสิ่งเดียวที่น่ากังวลในตอนนี้คือ หากนกตัวนี้พลาดโอกาสไป มันจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่”อ๋องหนานหวายรีบโพล่งออกมา “ทหาร ไปสำรวจบริเวณโดยรอบเดี๋ยวนี้ และคอยสังเกตว่ามีคนน่าสงสัยอยู่แถวนี้หรือไม่”เหล่าทหารที่ได้รับคำสั่งต่างเดินสำรวจรอบ ๆ จวน และแน่นอนว่าพวกเขาสังเกตเห็นคนจำนวนหนึ่งกำลังลอบมองสอดส่องเข้ามาในจวน เมื่อเห็นทหารยามเดินตรวจตรารอบจวน พวกเขาก็รีบเดินจากไปทันทีทหารนายหนึ่งรีบกลับไปรายงานอย่า
ซุนฟางเอ๋อร์ถูกนำตัวเข้ามา ขณะที่ใบหน้าของนางซีดเซียวผิดปกติหลังจากเข้ามาภายในท้องพระโรง ซุนฟางเอ๋อร์ก็แทบยืนไหว เหล่านางกำนัลจึงเข้ามาช่วยประคองให้นางนั่งลงองค์จักรพรรดิออกคำสั่งให้ทหารนางตัวนางเข้ามาเฝ้าต่อหน้าตนเอง“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!” แม้นางจะนั่งลงกับพื้น แต่ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวทักทายตามมารยาท อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการนั่งถวายบังคมจะไม่สุภาพสักเท่าไรองค์จักรพรรดิสั่งให้เหล่านางกำลังออกไป ก่อนจ้องมองซุนฟางเอ๋อร์ “เจ้าเป็นคู่หมั้นของเหล่าปา และอาศัยอยู่ในแคว้นซีหนานกับเขาเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นเจ้าจึงรู้จักเขาอย่างทะลุปรุโปร่งใช่หรือไม่?”ซุนฟางเอ๋อพยักหน้าพร้อมตอบ “เพคะ”ซุนฟางเอ๋อร์ตอบตามความจริง นางไม่กล้าโป้ปดอีกฝ่ายเนื่องจากชีวิตของตนยังอยู่ในกำมือขององค์จักรพรรดิแม้ว่าชีวิตจะไม่ได้สวยหรู แต่นางก็ยังต้องการมีชีวิตอยู่ หากยังมีชีวิตอยู่ ก็จะมีโอกาสมากมายนับไม่ถ้วน“เจ้าต้องการแต่งงานกับเขาเพราะผลประโยชน์บางอย่างใช่หรือไม่?” คำถามขององค์จักรพรรดิ... ตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง แม้แต่ซุนฟางเอ๋อร์ยังตกตะลึงไปชั่วขณะนางจะมีเหตุผลอื่นใดอีกเล่า? หากไม่ใช่เพราะความทะเยอทะยานในกา
จักรพรรดิพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และยื่นมือออกไปประคองนาง “เอาเถิด เนื่องจากตอนนี้อ๋องหนานหวายไม่ใช่ว่าที่สวามีของเจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องปกป้องเขาอีก เล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับเรื่องเมื่อครั้งอ๋องหนานหวายไปประจำการที่แคว้นซีหนานที ตลอดหลายปีที่เขาปกครอง มีทหารซึ่งเป็นหน่วยกล้าตายทั้งหมดกี่คน และคนเหล่านี้อยู่ที่ไหน?”ซุนฟางเอ๋อร์กล่าว “ตอนนี้แทบไม่เหลือหน่วยกล้าตายแล้วเพคะ หน่วยกล้าตายเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนโดยกุ้ยไท่เฟย อ๋องหนานหวายและกุ้ยไท่เฟยสมคบคิดกัน ดังนั้นหน่วยกล้าตายจึงเชื่อฟังคำสั่งของอ๋องหนานหวายด้วยเช่นกัน ทว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่ออ๋องหนานหวายระดมกำลังในแคว้นซีหนาน กองกำลังก็เพิ่มจำนวนจนประเมินไม่ได้ แม้ว่ากองกำลังเหล่านี้จะอยู่ห่างไกลออกไป แต่ตราบใดที่อ๋องหนานหวายบัญชา คนเหล่านี้ก็จะกรีฑาทัพขึ้นเหนือ ฝ่าบาทสามารถปราบปรามพวกเขาได้อย่างแน่นอน ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังเป็นภัยคุกคามต่อเมืองหลวงอยู่ดี”“ข้าตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้ดี แต่หลังจากที่เขาเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงเล่าเป็นอย่างไร?” จักรพรรดิตรัสถามซุนฟางเอ๋อร์ส่ายหัว “หม่อมฉันไม่ทราบจริง ๆ เพคะ เพราะนับตั้งแต
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว