อ๋องหนานหวายอุทานด้วยความตกใจ “เขากลับมาแล้วจริง ๆ รึ?”“รูปหกเหลี่ยมครบถ้วนสมบูรณ์ แต่มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นั่นหมายความว่าท่านสามารถแก้ไขมันได้ ซึ่งวิธีการก็คืออดทน ระวังตัว และปฏิบัติตามหน้าที่ของตน”อ๋องหนานหวายครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าหน้าไม้ที่พวกข้าสั่งซื้อไปจะถูกยกเลิกใช่หรือไม่?”“ท่านอย่าเพิ่งทำเรื่องบุ่มบ่ามในตอนนี้เลย หลังจากเซี่ยจื่ออันออกเดินทางไปยังเป่ยโม่แล้ว ท่านจงวางแผนให้รอบคอบ ในเวลานั้นทุกสายตาจะจับจ้องไปที่เซี่ยจื่ออัน และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อาจลอบติดตามนางไปด้วยก็เป็นได้ และเมื่อถึงตอนนั้นมันก็ยังไม่สายที่ท่านอ๋องจะเคลื่อนไหวอีกครั้ง ดังนั้นสิ่งเดียวที่น่ากังวลในตอนนี้คือ หากนกตัวนี้พลาดโอกาสไป มันจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่”อ๋องหนานหวายรีบโพล่งออกมา “ทหาร ไปสำรวจบริเวณโดยรอบเดี๋ยวนี้ และคอยสังเกตว่ามีคนน่าสงสัยอยู่แถวนี้หรือไม่”เหล่าทหารที่ได้รับคำสั่งต่างเดินสำรวจรอบ ๆ จวน และแน่นอนว่าพวกเขาสังเกตเห็นคนจำนวนหนึ่งกำลังลอบมองสอดส่องเข้ามาในจวน เมื่อเห็นทหารยามเดินตรวจตรารอบจวน พวกเขาก็รีบเดินจากไปทันทีทหารนายหนึ่งรีบกลับไปรายงานอย่า
ซุนฟางเอ๋อร์ถูกนำตัวเข้ามา ขณะที่ใบหน้าของนางซีดเซียวผิดปกติหลังจากเข้ามาภายในท้องพระโรง ซุนฟางเอ๋อร์ก็แทบยืนไหว เหล่านางกำนัลจึงเข้ามาช่วยประคองให้นางนั่งลงองค์จักรพรรดิออกคำสั่งให้ทหารนางตัวนางเข้ามาเฝ้าต่อหน้าตนเอง“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!” แม้นางจะนั่งลงกับพื้น แต่ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวทักทายตามมารยาท อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการนั่งถวายบังคมจะไม่สุภาพสักเท่าไรองค์จักรพรรดิสั่งให้เหล่านางกำลังออกไป ก่อนจ้องมองซุนฟางเอ๋อร์ “เจ้าเป็นคู่หมั้นของเหล่าปา และอาศัยอยู่ในแคว้นซีหนานกับเขาเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นเจ้าจึงรู้จักเขาอย่างทะลุปรุโปร่งใช่หรือไม่?”ซุนฟางเอ๋อพยักหน้าพร้อมตอบ “เพคะ”ซุนฟางเอ๋อร์ตอบตามความจริง นางไม่กล้าโป้ปดอีกฝ่ายเนื่องจากชีวิตของตนยังอยู่ในกำมือขององค์จักรพรรดิแม้ว่าชีวิตจะไม่ได้สวยหรู แต่นางก็ยังต้องการมีชีวิตอยู่ หากยังมีชีวิตอยู่ ก็จะมีโอกาสมากมายนับไม่ถ้วน“เจ้าต้องการแต่งงานกับเขาเพราะผลประโยชน์บางอย่างใช่หรือไม่?” คำถามขององค์จักรพรรดิ... ตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง แม้แต่ซุนฟางเอ๋อร์ยังตกตะลึงไปชั่วขณะนางจะมีเหตุผลอื่นใดอีกเล่า? หากไม่ใช่เพราะความทะเยอทะยานในกา
จักรพรรดิพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และยื่นมือออกไปประคองนาง “เอาเถิด เนื่องจากตอนนี้อ๋องหนานหวายไม่ใช่ว่าที่สวามีของเจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องปกป้องเขาอีก เล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับเรื่องเมื่อครั้งอ๋องหนานหวายไปประจำการที่แคว้นซีหนานที ตลอดหลายปีที่เขาปกครอง มีทหารซึ่งเป็นหน่วยกล้าตายทั้งหมดกี่คน และคนเหล่านี้อยู่ที่ไหน?”ซุนฟางเอ๋อร์กล่าว “ตอนนี้แทบไม่เหลือหน่วยกล้าตายแล้วเพคะ หน่วยกล้าตายเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนโดยกุ้ยไท่เฟย อ๋องหนานหวายและกุ้ยไท่เฟยสมคบคิดกัน ดังนั้นหน่วยกล้าตายจึงเชื่อฟังคำสั่งของอ๋องหนานหวายด้วยเช่นกัน ทว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่ออ๋องหนานหวายระดมกำลังในแคว้นซีหนาน กองกำลังก็เพิ่มจำนวนจนประเมินไม่ได้ แม้ว่ากองกำลังเหล่านี้จะอยู่ห่างไกลออกไป แต่ตราบใดที่อ๋องหนานหวายบัญชา คนเหล่านี้ก็จะกรีฑาทัพขึ้นเหนือ ฝ่าบาทสามารถปราบปรามพวกเขาได้อย่างแน่นอน ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังเป็นภัยคุกคามต่อเมืองหลวงอยู่ดี”“ข้าตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้ดี แต่หลังจากที่เขาเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงเล่าเป็นอย่างไร?” จักรพรรดิตรัสถามซุนฟางเอ๋อร์ส่ายหัว “หม่อมฉันไม่ทราบจริง ๆ เพคะ เพราะนับตั้งแต
งานเลี้ยงอาหารค่ำในวังหลังเริ่มต้นเมื่อสิ้นสุดยามโหย่ว ทั่วพระราชวังประดับประดาไปด้วยแสงไฟและของตกแต่งจำนวนมาก ทั้งหมดถูกจัดการจนแล้วเสร็จภายในวันเดียวอย่างพิถีพิถัน ด้วยคำสั่งของสนมเหมยทั้งขุนนางวังหลังและสนมเหมยต่างก็ทำงานเข้ากันได้ดี ตอนนี้ผู้ตรวจการแห่งวังหลังก็เริ่มคุ้นเคยกับการรายงานความคืบหน้าต่อสนมเหมย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แม้ว่าสนมอี้จะเป็นถึงกุ้ยเฟย แต่ปัจจุบันสมาชิกวังหลังถือว่าสนมเหมยคือผู้นำของพวกนาง แม้กระทั่งจักรพรรดิก็ดูเหมือนจะยอมรับนางเช่นเดียวกันสนมเหมยไม่มีครอบครัวเดิมให้พึ่งพา ดังนั้นจักรพรรดิจึงรู้สึกสบายใจเป็นธรรมดาเมื่อเรียกใช้นางในความคิดของจักรพรรดิ สนมอี้เคยเป็นคนประพฤติชอบมาก่อน ทว่านับตั้งแต่เขาประชวร เขาก็เริ่มตระหนักถึงความคิดเล็กคิดน้อยหลายประการของสนมอี้ ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับสนมอี้และองค์ชายที่จ้องจะก่อกบฏก็ค่อย ๆ ดังไปถึงหูของจักรพรรดิ แม้ว่าเขาจะทราบความจริงแน่ชัด แต่ย่อมมีความแค้นในใจแน่นอนข่าวลืออาจจะมาจากไหนสักแห่ง แต่ก็ใช่ว่าจะไร้มูลเหตุเสียทีเดียวดังนั้นภายในงานเลี้ยงอาหารค่ำคืนนี้ เขาจึงเรียกให้สนมเหมย
แม่ทัพจางถูกเรียกเข้าไปข้างในห้อง ส่วนอ๋องเยี่ยถูกเชิญออกมารอข้างนอกอ๋องเยี่ยยืนอยู่นอกม่าน เหยียดยิ้มอย่างเย็นชาหลังจากนั้นไม่นานแม่ทัพจางก็ออกมาอ๋องเยี่ยถาม “จักรพรรดิตรัสว่าอย่างไรบ้าง?”แม่ทัพจางกล่าว “ฝ่าบาทตรัสว่าพระองค์จะคิดเรื่องนี้อีกครั้ง และให้ข้ารออยู่ที่นี่ก่อน”อ๋องเยี่ยตอบกลับอย่างใจเย็น “เช่นนั้นก็รอก่อนเถอะ”หลังจากองค์จักรพรรดิถามแม่ทัพจางจนรู้ว่าสถานการณ์เป็นเรื่องจริง เขาก็โกรธมากลู่กงกงยืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าเศร้าหมอง“ฝ่าบาท แม่ทัพจางยังรอการตัดสินใจจากพระองค์อยู่พ่ะย่ะค่ะ” ลู่กงกงกล่าวเบา ๆจักรพรรดิตรัสว่า “ชายผู้นี้ ข้ารู้อยู่แล้วว่าจิตใจเขาไม่ได้สงบเช่นภายนอก แต่ข้าไม่คาดคิดว่าเขาจะเริ่มเคลื่อนไหวทันทีในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจากกุ้ยไท่เฟยตาย”ลู่กงกงถามอย่างเป็นกลาง “เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายคนนั้นแค่บังเอิญวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปในตำหนักของอ๋องหนานหวายเท่านั้น?”“บังเอิญหรือ? การที่คืนนี้อ๋องแปดไม่มาร่วมงานเลี้ยง เป็นเพราะเขาป่วยจริง ๆ หรืออย่างไร?” จักรพรรดิยิ้มเยาะ “เกรงว่าไม่ใช่อย่างนั้นแน่ อย่าลืมเสีย หมอหลวงบอกเองว่าการกินผลปาโต้วก็อาจส่งผลใ
องค์จักรพรรดิโกรธเคืองยิ่ง เขาหันหลังกลับโดยเอามือไพล่หลังไว้ “เจ้าสั่งปิดประตูเมืองแล้วหรือยัง? หน้าไม้จำนวนมากเช่นนั้นไม่มีทางขนออกนอกเมืองไปได้ภายในชั่วข้ามคืนแน่”“กระหม่อมสั่งปิดประตูเมืองโดยทันที และส่งคนออกไปตรวจค้นทุกที่ที่เป็นไปได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ให้อ๋องเยี่ยเป็นผู้นำในการลาดตระเวนครั้งนี้ ค้นหาหน้าไม้ทั้งหมดให้เจอ” จักรพรรดิกล่าวอย่างเคร่งขรึม“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้!” แม่ทัพจางกอบหมัดแล้วรีบจากไปหลังจากที่แม่ทัพจางจากไปแล้ว จักรพรรดิก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเสวยพระกระยาหารอีกต่อไป ทว่าอ๋องเป๋ยโม่ฉียังอยู่ที่นั่น ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามอย่างหนักเพื่อจัดการกับอารมณ์ภายในวังซีเหวยร่างทั้งสองค่อย ๆ ร่อนลงสู่พื้นอย่างเงียบเชียบ ลงจากหลังคากระเบื้องเคลือบ และเข้าไปในสวนเล็ก ๆ ที่ซุนฟางเอ๋อร์อาศัยอยู่โดยตรงหลังจากนั้นไม่นาน ชายชุดดำก็ออกมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งในอ้อมแขน ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังคาอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นไม่นาน ซุนฟางเอ๋อร์ก็เดินออกมาจากสวนขนาดเล็ก หลังจากที่นางเดินออกไป ก็กวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น จากนั้นก็หลบออกไปจากประตูด้า
“แปลกตรงไหน? มีอะไรในโลกนี้ที่ข้าไม่กล้าทำบ้างหรือไม่?” มู่หรงเจี๋ยหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงด้วยท่าทางหยิ่งผยอง“เจ้าต้องการจะทำอะไร? คิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ? อย่าลืมเสีย ทั้งเจ้าและข้าต่างก็มีกู่ร่วมชะตาเหมือนกัน!” อ๋องหนานหวายลุกขึ้นนั่ง หยิกมือตัวเองมากกว่าสิบครั้ง ใบหน้าของเขาเดิมทีก็ย่ำแย่มากแล้ว ตอนนี้ยิ่งเมื่อเขาเห็นมู่หรงเจี๋ย หน้าก็ยิ่งซีดขาวลงไปอีกด้วยอารามตกใจชางชิวตะโกน “ใครก็ได้ ใครก็ได้…”อ๋องเหลียงกล่าวอย่างสงบ “ไม่จำเป็นต้องร้องตะโกนให้มากความ ข้ามาที่นี่เพื่อถ่ายทอดเจตจำนงของฝ่าบาท จึงสั่งให้ทุกคนถอยออกไปหมดแล้ว คนที่ยืนอยู่ข้างนอกตอนนี้ล้วนเป็นคนจากตำหนักอ๋องเหลียง”“อ๋องเหลียง เวลานี้ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับอ๋องเหลียงอย่างมาก ท่านต้องคิดให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือทำอะไร อย่าถูกผู้อื่นหลอกใช้เอาได้” ชางชิวกล่าวอ๋องเหลียงแสยะยิ้ม “เสด็จพ่อเป็นคนสั่งให้ข้ามาที่นี่ เจ้าไม่รู้หรือ? ข้าเพียงมาที่นี่ตามคำสั่ง จะเป็นการถูกหลอกใช้ได้อย่างไร? ดูเหมือนว่าข้างกายของเสด็จอาแปดจะมีคนไม่รู้กาลเทศะ ช่างไม่มีมารยาท และพูดจาไม่สุภาพทั้ง ๆ ที่อยู่ต่อหน้าข้ากับเสด็จอา”ใบหน้าของชาง
มู่หรงเจี๋ยยิ้มช้า ๆ “ฆ่าเจ้า? จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าไม่ได้มีกู่ร่วมชะตาอยู่ในตัวหรอกรึ? ข้าแค่มาที่นี่เพื่อบอกเจ้าว่า ข้าได้ทำสิ่งที่เจ้าไม่เคยทำสำเร็จ รอให้ข้าขึ้นสู่บัลลังก์และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของแผ่นดินก่อนเถิด แน่นอนว่าเจ้ายังตายไม่ได้ หากกู่ร่วมชะตายังไม่ได้รับการแก้ไข เจ้าไม่สามารถตายไม่ว่าวันไหน ๆ ก็ตาม”กล่างจบก็ยืนขึ้นแล้วสั่งอ๋องเหลียงว่า “ส่งคนมาเฝ้าตำหนักอ๋องหนานหวายอย่างใกล้ชิด อ๋องหนานหวายจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากที่นี่ และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ทำร้ายอ๋องหนานหวายไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ไว้ข้าจะกลับมาตัดสินใจหลังจากเรื่องสำคัญเสร็จสิ้นแล้ว”“ขอรับ!” อ๋องเหลียงตอบรับอ๋องหนานหวายมองดูเขาอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วมองไปที่อ๋องเหลียง “มู่หรงซิน เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? นั่นคือพ่อของเจ้านะ เจ้ากล้าก่อกบฏกับเขาจริง ๆ หรือ?”อ๋องเหลียงกล่าวอย่างสงบ “เสด็จพ่อของข้าไม่เคยให้เกียรติข้าเลยสักครั้ง เช่นนั้นข้าเจริญรอยตามเสด็จอา ดีกว่าเป็นองค์ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นในตอนนี้”มู่หรงเจี๋ยเอ่ยกับอ๋องเหลียงว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องฟังกลอุบายของเขา จงอยู่ฝ้าที่นี่ ประเดี๋ยวข้าจะออกไปเปิดปร
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว