แม่ทัพจางถูกเรียกเข้าไปข้างในห้อง ส่วนอ๋องเยี่ยถูกเชิญออกมารอข้างนอกอ๋องเยี่ยยืนอยู่นอกม่าน เหยียดยิ้มอย่างเย็นชาหลังจากนั้นไม่นานแม่ทัพจางก็ออกมาอ๋องเยี่ยถาม “จักรพรรดิตรัสว่าอย่างไรบ้าง?”แม่ทัพจางกล่าว “ฝ่าบาทตรัสว่าพระองค์จะคิดเรื่องนี้อีกครั้ง และให้ข้ารออยู่ที่นี่ก่อน”อ๋องเยี่ยตอบกลับอย่างใจเย็น “เช่นนั้นก็รอก่อนเถอะ”หลังจากองค์จักรพรรดิถามแม่ทัพจางจนรู้ว่าสถานการณ์เป็นเรื่องจริง เขาก็โกรธมากลู่กงกงยืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าเศร้าหมอง“ฝ่าบาท แม่ทัพจางยังรอการตัดสินใจจากพระองค์อยู่พ่ะย่ะค่ะ” ลู่กงกงกล่าวเบา ๆจักรพรรดิตรัสว่า “ชายผู้นี้ ข้ารู้อยู่แล้วว่าจิตใจเขาไม่ได้สงบเช่นภายนอก แต่ข้าไม่คาดคิดว่าเขาจะเริ่มเคลื่อนไหวทันทีในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจากกุ้ยไท่เฟยตาย”ลู่กงกงถามอย่างเป็นกลาง “เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายคนนั้นแค่บังเอิญวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปในตำหนักของอ๋องหนานหวายเท่านั้น?”“บังเอิญหรือ? การที่คืนนี้อ๋องแปดไม่มาร่วมงานเลี้ยง เป็นเพราะเขาป่วยจริง ๆ หรืออย่างไร?” จักรพรรดิยิ้มเยาะ “เกรงว่าไม่ใช่อย่างนั้นแน่ อย่าลืมเสีย หมอหลวงบอกเองว่าการกินผลปาโต้วก็อาจส่งผลใ
องค์จักรพรรดิโกรธเคืองยิ่ง เขาหันหลังกลับโดยเอามือไพล่หลังไว้ “เจ้าสั่งปิดประตูเมืองแล้วหรือยัง? หน้าไม้จำนวนมากเช่นนั้นไม่มีทางขนออกนอกเมืองไปได้ภายในชั่วข้ามคืนแน่”“กระหม่อมสั่งปิดประตูเมืองโดยทันที และส่งคนออกไปตรวจค้นทุกที่ที่เป็นไปได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ให้อ๋องเยี่ยเป็นผู้นำในการลาดตระเวนครั้งนี้ ค้นหาหน้าไม้ทั้งหมดให้เจอ” จักรพรรดิกล่าวอย่างเคร่งขรึม“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้!” แม่ทัพจางกอบหมัดแล้วรีบจากไปหลังจากที่แม่ทัพจางจากไปแล้ว จักรพรรดิก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเสวยพระกระยาหารอีกต่อไป ทว่าอ๋องเป๋ยโม่ฉียังอยู่ที่นั่น ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามอย่างหนักเพื่อจัดการกับอารมณ์ภายในวังซีเหวยร่างทั้งสองค่อย ๆ ร่อนลงสู่พื้นอย่างเงียบเชียบ ลงจากหลังคากระเบื้องเคลือบ และเข้าไปในสวนเล็ก ๆ ที่ซุนฟางเอ๋อร์อาศัยอยู่โดยตรงหลังจากนั้นไม่นาน ชายชุดดำก็ออกมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งในอ้อมแขน ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังคาอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นไม่นาน ซุนฟางเอ๋อร์ก็เดินออกมาจากสวนขนาดเล็ก หลังจากที่นางเดินออกไป ก็กวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น จากนั้นก็หลบออกไปจากประตูด้า
“แปลกตรงไหน? มีอะไรในโลกนี้ที่ข้าไม่กล้าทำบ้างหรือไม่?” มู่หรงเจี๋ยหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงด้วยท่าทางหยิ่งผยอง“เจ้าต้องการจะทำอะไร? คิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ? อย่าลืมเสีย ทั้งเจ้าและข้าต่างก็มีกู่ร่วมชะตาเหมือนกัน!” อ๋องหนานหวายลุกขึ้นนั่ง หยิกมือตัวเองมากกว่าสิบครั้ง ใบหน้าของเขาเดิมทีก็ย่ำแย่มากแล้ว ตอนนี้ยิ่งเมื่อเขาเห็นมู่หรงเจี๋ย หน้าก็ยิ่งซีดขาวลงไปอีกด้วยอารามตกใจชางชิวตะโกน “ใครก็ได้ ใครก็ได้…”อ๋องเหลียงกล่าวอย่างสงบ “ไม่จำเป็นต้องร้องตะโกนให้มากความ ข้ามาที่นี่เพื่อถ่ายทอดเจตจำนงของฝ่าบาท จึงสั่งให้ทุกคนถอยออกไปหมดแล้ว คนที่ยืนอยู่ข้างนอกตอนนี้ล้วนเป็นคนจากตำหนักอ๋องเหลียง”“อ๋องเหลียง เวลานี้ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับอ๋องเหลียงอย่างมาก ท่านต้องคิดให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือทำอะไร อย่าถูกผู้อื่นหลอกใช้เอาได้” ชางชิวกล่าวอ๋องเหลียงแสยะยิ้ม “เสด็จพ่อเป็นคนสั่งให้ข้ามาที่นี่ เจ้าไม่รู้หรือ? ข้าเพียงมาที่นี่ตามคำสั่ง จะเป็นการถูกหลอกใช้ได้อย่างไร? ดูเหมือนว่าข้างกายของเสด็จอาแปดจะมีคนไม่รู้กาลเทศะ ช่างไม่มีมารยาท และพูดจาไม่สุภาพทั้ง ๆ ที่อยู่ต่อหน้าข้ากับเสด็จอา”ใบหน้าของชาง
มู่หรงเจี๋ยยิ้มช้า ๆ “ฆ่าเจ้า? จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าไม่ได้มีกู่ร่วมชะตาอยู่ในตัวหรอกรึ? ข้าแค่มาที่นี่เพื่อบอกเจ้าว่า ข้าได้ทำสิ่งที่เจ้าไม่เคยทำสำเร็จ รอให้ข้าขึ้นสู่บัลลังก์และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของแผ่นดินก่อนเถิด แน่นอนว่าเจ้ายังตายไม่ได้ หากกู่ร่วมชะตายังไม่ได้รับการแก้ไข เจ้าไม่สามารถตายไม่ว่าวันไหน ๆ ก็ตาม”กล่างจบก็ยืนขึ้นแล้วสั่งอ๋องเหลียงว่า “ส่งคนมาเฝ้าตำหนักอ๋องหนานหวายอย่างใกล้ชิด อ๋องหนานหวายจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากที่นี่ และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ทำร้ายอ๋องหนานหวายไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ไว้ข้าจะกลับมาตัดสินใจหลังจากเรื่องสำคัญเสร็จสิ้นแล้ว”“ขอรับ!” อ๋องเหลียงตอบรับอ๋องหนานหวายมองดูเขาอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วมองไปที่อ๋องเหลียง “มู่หรงซิน เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? นั่นคือพ่อของเจ้านะ เจ้ากล้าก่อกบฏกับเขาจริง ๆ หรือ?”อ๋องเหลียงกล่าวอย่างสงบ “เสด็จพ่อของข้าไม่เคยให้เกียรติข้าเลยสักครั้ง เช่นนั้นข้าเจริญรอยตามเสด็จอา ดีกว่าเป็นองค์ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นในตอนนี้”มู่หรงเจี๋ยเอ่ยกับอ๋องเหลียงว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องฟังกลอุบายของเขา จงอยู่ฝ้าที่นี่ ประเดี๋ยวข้าจะออกไปเปิดปร
“ขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยก็จะพูดอย่างตรงไปตรงมา” ชางชิวยืนขึ้นและมองตรงไปที่อ๋องเหลียง “ข้าน้อยรู้ว่าคราวนี้หนีไม่พ้นแน่ แต่พวกเราไม่อาจยอมปล่อยให้องค์ชายผู้สำเร็จราชการประสบความสำเร็จ ในเมื่อท่านเป้นคนนำเสนอแผนการ เมื่อเขาก่อกบฏสำเร็จและขึ้นครองราชย์เรียบร้อยแล้ว ท่านจะกลายเป็นขุนนางกบฏทันที หากประสงค์จะลบล้างความผิดของตน แน่นอนว่าต้องกล่าวหาจักรพรรดิองค์ปัจจุบันด้วยความผิดหลายประการ ทำให้ทุกคนคิดว่าท่านกำลังเรียกร้องความยุติธรรม ตั้งแต่เขาขึ้นครองราชญ์ เขาจะต้องหวาดกลัวพระโอรสองค์โตของจักรพรรดิองค์ก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย อ๋องเหลียงคงเป็นคนแรกที่ถูกเขาโจมตี อันที่จริงท่านอ๋องควรรู้ไว้ ว่าเขาไม่มีวันปล่อยให้ผู้ที่มีอำนาจคุกคามอยู่เคียงข้าง และเมื่อถึงเวลานั้น เขาจะไม่จำเป็นต้องใช้อ๋องเหลียงอีกต่อไป เช่นนี้ยังต้องสนใจความสัมพันธ์ระหว่างอาหลานอยู่หรือ? แม้แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง เขายังไม่สนใจด้วยซ้ำ”อ๋องเหลียงกล่าวด้วยใบหน้าเย็นชา “อย่าพยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเสด็จอาเหินห่าง ข้าเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าเขาจะไม่ทำเช่นนี้แน่ เพราะเขาไม่ใช่คนแบบนั้น”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชางชิวก็ห
พวกเขาทั้งสามคนพูดคุยกันอยู่ในห้อง หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็เห็นอ๋องหนานหวายเดินออกมา ขณะที่ชางชิวที่อยู่ด้านหลังของเขา ใช้มีดจ่อไปที่ลำคอของอ๋องเหลียง ก่อนขู่บังคับให้เหล่าองครักษ์ล่าถอยออกไปอ๋องเหลียงมีท่าทีลนลานขณะปรบมือเสียงดัง พร้อมสั่งเหล่าองครักษ์ “พวกเจ้าถอยออกไป!”เหล่าองครักษ์ต่างถอยหลังทีละก้าว ขณะที่ต้าฉินเดินไปข้างหน้าพร้อมกล่าวตำหนิอ๋องหนานหวายด้วยความโกรธ “อ๋องหนานหวาย ท่านจะก่อกบฏด้วยการลักพาตัวท่านอ๋องหรือ?”อ๋องหนานหวายแค่นเสียง “มิใช่ว่าข้าอยากก่อกบฏ ข้าเพียงแต่ต้องการเข้าไปในพระราชวังเท่านั้น”ชางชิวยังคงใช้มีดจ่อไปที่ลำคอของอ๋องเหลียงพร้อมกล่าวเสียงเข้ม “หลบไปซะ”อ๋องเหลียงรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณลำคอจึงอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งอีกฝ่าย ไอร่างทรงคนนี้ช่างไม่รู้กำลังตนเองเสียจริงเหล่าองครักษ์ก้าวถอยหลังไปจนถึงประตู ขณะที่ทหารตั้งท่าโต้กลับ และบุกเข้าไปประจันหน้ากับองครักษ์ของอ๋องเหลียง ซึ่งการกระทำเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนกอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทหารของอ๋องเหลียงล้วนมีความทะนงตน แล้วพวกเขาทนต่อการดูหมิ่นได้อย่างไร? เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงเข้าตะลุมบอนกับเหล่าทหาร
อย่างไรก็ตาม อ๋องหนานหวายไม่คิดเช่นนั้น เขาเกรงว่าองค์จักรพรรดิจะเข้าใจผิดว่าตนสมรู้ร่วมคิดกับมู่หรงเจี๋ย -/-และเรื่องนี้จะต้องได้รับการสะสาง ดังนั้นเขาจึงตั้งใจเปิดโปงแผนการก่อกบฏของมู่หรงเจี๋ยต่อหน้าสาธารณชนการร้องรำทำเพลงหยุดลงทันทีองค์จักรพรรดิขมวดคิ้วช้า ๆ ขณะเผยสีหน้าเคร่งเครียดทุกคนในงานเลี้ยงล้วนจ้องมองอ๋องหนานหวายด้วยความประหลาดใจ อ๋องหนานหวายผู้นี้เสียสติไปแล้วรึ? เหตุใดถึงโผล่พรวดออกมาเช่นนี้?เกิดอะไรขึ้น?อ๋องหนานหวายคุกเข่าลงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง โดยไม่รีรอให้องค์จักรพรรดิเอ่ยถาม จากนั้นกล่าวอย่างเศร้าใจว่า “ฝ่าบาท มู่หรงเจี๋ยคิดก่อกบฏ เขาลอบหนีกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกองกำลัง และจะเข้าโจมตีพระองค์ในคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ”ทันทีเขาเอ่ยคำเหล่านั้นออกมา ทุกคนก็ตกตะลึงและเงียบไปทันใดจื่ออันโมโหอย่างมาก นางจึงลุกยืนขึ้นแล้วกล่าวด้วยความโกรธเคือง “อ๋องหนานหวาย ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านใส่ร้ายว่าเขาเป็นกบฏ ขณะที่เขากำลังทำงานรับใช้แผ่นดินของเรางั้นรึ?”จื่ออันกระตือรือร้นที่จะปกป้องสามียิ่งนัก แม้นางจะไม่มีท่าทีสงบนิ่งอีกต่อไป แต่คนอื่น ๆ ก็คิดว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่อ
องค์จักรพรรดิไว้วางใจพระราชโอรสของตนเองมากกว่าผู้อื่น โดยเฉพาะอ๋องเหลียง เพราะเขาชื่นชมในตัวอ๋องเหลียงมาโดยตลอด แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ถึงบุตรชายจะมีเรื่องบางอย่างปิดบังหลังจากสนิทสนมกับมู่หรงเจี๋ยก็ตาม อย่างไรก็ตาม ในอดีตเขาก็ไม่ได้คิดระแวงในตัวมู่หรงเจี๋ยมากเท่าตอนนี้รากฐานของความไว้วางใจคือความมั่นคง ดังนั้นคราวนี้เขาจึงเลือกที่จะเชื่อคำพูดของอ๋องเหลียง และคอยสังเกตท่าทีของอ๋องหนานหวายอย่างละเอียดเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งหลายต่างไม่กล้ากล่าวคำใด ในตอนนี้เหตุการณ์ตรงหน้ายังไม่ชัดเจน แล้วใครจะกล้าพูดเล่า?อ๋องฉีรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก เรื่องนี้เป็นปัญหาภายในของแผ่นดินต้าโจว และในฐานะขององค์ชายจากต่างแดน เขาไม่ควรจะรับฟัง ทว่ายังเดินหลบฉากไปตอนนี้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของอ๋องเหลียง อ๋องหนานหวายก็หัวเราะเยาะสองสามครั้งก่อนกล่าว “ข้าไม่คิดเลยว่าอาซินจะเจ้าเล่ห์เพียงนี้ ข้ามองเจ้าผิดไปจริง ๆ ตอนที่เจ้าเข้ามา ชางชิวก็อยู่ในห้องตลอดเวลา และแน่นอนว่าเจ้ามาที่จวนข้าพร้อมมู่หรงเจี๋ย”อ๋องเหลียงตอบโต้ด้วยความโกรธ “เสด็จอา หลานไปพร้อมกับเสด็จอาเจ็ดตั้งแต
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว