องค์จักรพรรดิไว้วางใจพระราชโอรสของตนเองมากกว่าผู้อื่น โดยเฉพาะอ๋องเหลียง เพราะเขาชื่นชมในตัวอ๋องเหลียงมาโดยตลอด แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ถึงบุตรชายจะมีเรื่องบางอย่างปิดบังหลังจากสนิทสนมกับมู่หรงเจี๋ยก็ตาม อย่างไรก็ตาม ในอดีตเขาก็ไม่ได้คิดระแวงในตัวมู่หรงเจี๋ยมากเท่าตอนนี้รากฐานของความไว้วางใจคือความมั่นคง ดังนั้นคราวนี้เขาจึงเลือกที่จะเชื่อคำพูดของอ๋องเหลียง และคอยสังเกตท่าทีของอ๋องหนานหวายอย่างละเอียดเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งหลายต่างไม่กล้ากล่าวคำใด ในตอนนี้เหตุการณ์ตรงหน้ายังไม่ชัดเจน แล้วใครจะกล้าพูดเล่า?อ๋องฉีรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก เรื่องนี้เป็นปัญหาภายในของแผ่นดินต้าโจว และในฐานะขององค์ชายจากต่างแดน เขาไม่ควรจะรับฟัง ทว่ายังเดินหลบฉากไปตอนนี้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของอ๋องเหลียง อ๋องหนานหวายก็หัวเราะเยาะสองสามครั้งก่อนกล่าว “ข้าไม่คิดเลยว่าอาซินจะเจ้าเล่ห์เพียงนี้ ข้ามองเจ้าผิดไปจริง ๆ ตอนที่เจ้าเข้ามา ชางชิวก็อยู่ในห้องตลอดเวลา และแน่นอนว่าเจ้ามาที่จวนข้าพร้อมมู่หรงเจี๋ย”อ๋องเหลียงตอบโต้ด้วยความโกรธ “เสด็จอา หลานไปพร้อมกับเสด็จอาเจ็ดตั้งแต
หลังจากข่าวได้รับการยืนยันแล้ว องค์จักรพรรดิก็เรียกทุกคนให้เข้ามา“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าอาซินพาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปที่จวนของเจ้าใช่หรือไม่?” องค์จักรพรรดินั่งลงพลางถามอ๋องหนานหวายอย่างช้า ๆอ๋องหนานหวายไม่รู้ว่าองค์จักรพรรดิจะเชื่อคำพูดตนในตอนนี้หรือไม่ เขาทำได้เพียงกัดฟันและคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนยืนยันหนักแน่น “ฝ่าบาท น้องชายคนนี้ไม่ได้โกหกท่าน ข้าขอสาบานด้วยชีวิตว่ามู่หรงเจี๋ยกลับมาแล้ว เขาออกจากค่ายทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต ตอนนี้เขากลับมาแล้ว และบอกกับข้าว่าเขาต้องการนำกำลังทหารบุกพระราชวังเพื่อกบฏ และอ๋องเหลียงก็สมรู้ร่วมคิดในเรื่องนี้ด้วย พวกเขาซุกซ่อนธนูและหน้าไม่จำนวนหนึ่งในบ้านพักย่านเจียวเหอพ่ะย่ะค่ะ”“จางอ้ายชิง” องค์จักรพรรดิออกคำสั่งโดยไม่เผยอารมณ์ใด “เจ้าจงพาทหารไปตรวจค้นบ้านพักย่านเจียวเหอ จากนั้นพาทหารไปตรวจค้นจวนอ๋องหนานหวายด้วย”“พ่ะย่ะค่ะ!” แม่ทัพจางตอบรับหลังจากที่นายพลจางจากไป องค์จักรพรรดิก็เดินเข้าไปในห้องโถงด้านในจึงเหลือเพียงอ๋องหนานหวาย ชางชิว และอ๋องเหลียงอยู่ในห้องโถงเท่านั้นจ้วงจ้วงและจื่ออันยืนอยู่หลังม่านและฟังความเคลื่อนไหวภายในท้องพระโรงอ๋องห
อ๋องหนานหวายเหลืออดต่อท่าทีโอหังในคืนนี้ของจื่ออัน เขาจึงตำหนิด้วยความโกรธ “พระชายา ได้โปรดรักษาท่าทีด้วย เจ้าเป็นพระชายา มิใช่หญิงแก่ที่ชอบด่ากราดไปทั่ว และที่นี่คือวังซีเหวย ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะกระทำอะไรก็ได้ ในอดีตมู่หรงเจี๋ยไม่คิดกบฏ เพราะเขาไม่ต้องการทำเช่นนั้น เขามีทั้งแรงสนับสนุนจากเชื้อพระวงศ์และอำนาจทางการทหารอยู่ในมือ แล้วเหตุใดถึงต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า? แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไปแล้ว องค์จักรพรรดิหายจากอาการประชวร และฟื้นฟูอำนาจกลับมาดังเดิม มู่หรงเจี๋ยเคยนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุด และอาจจะไม่ต้องการลงจากอำนาจก็เป็นได้ ดังนั้นจึงใช้ประโยชน์จากการสงบศึกชั่วคราวกลับมายังเมืองหลวงและช่วงชิงบัลลังก์ เห็นได้ชัดว่าเขามีจุดประสงค์อันชั่วร้ายและความทะเยอทะยานอันโฉดชั่ว แม้เจ้าจะพูดแก้ตัวให้เขาสวยงามเพียงใด มันก็ไม่อาจพิสูจน์ได้”เมื่อได้ยินเช่นนั้น จื่ออันก็หันมองเขาด้วยสายตาเชือดเฉือน “ท่านผู้นำกลุ่มกบฏช่างพูดจามีศีลธรรมยิ่งนัก ท่านมียางอายบ้างหรือไม่? ท่านไม่รู้สึกรังเกียจตนเองบ้างหรือ ข้ารู้สึกละอายใจแทนท่านเสียจริง ท่านคิดว่าจะปกปิดสิ่งที่ตนทำกับกุ้ยไท่เฟยได้หรือ? และหากไม่ใช่เพราะ
ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าในวันนี้ทั้งสองฝ่ายจงใจกล่าวบทสนทนาเหล่านั้นออกมาเพื่อต้องการให้องค์จักรพรรดิได้ยินทว่าองค์จักรพรรดิประทับอยู่ในห้องโถงด้านในจึงไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง ถึงกระนั้นลู่กงกงก็รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างละเอียดหลังจากฟังรายงานองค์จักรพรรดิก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวออก “พระชายาพูดได้ตรงไปตรงมาและรุนแรงยิ่งนัก คำพูดทุกคำของนางช่างเชือดเฉือนไม่น้อย นางจงใจพูดแทงใจดำเจ้าแปดหรือ? นางกำลังประณามข้าอยู่ต่างหาก เพราะนางเกลียดชังข้าไม่น้อย”ลู่กงกงเผยท่าทีกังวลพร้อมกล่าว “ถึงกระนั้นฝ่าบาทอย่าทรงยอมอ่อนข้อนะพ่ะย่ะค่ะ นางจะต้องออกเดินทางไปยังเป่ยโม่ในวันพรุ่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็สามารถแลกเปลี่ยนองค์ชายรัชทายาทของเป่ยโม่ให้มาอยู่ในแผ่นดินของเราได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรายังสามารถปลีกตัวไปเจรจากับเซียเป่ยได้ โอกาสเช่นนี้หายากยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”องค์จักรพรรดิส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าไม่ตำหนินางหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลงโทษ สิ่งที่นางพูดไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย บางทีนางอาจจงใจใช้โอกาสที่ถูกส่งไปยังเป่ยโม่สร้างสถานการณ์เพื่อระบายความข้องใจ... เสี
ลู่กงกงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ฝ่าบาทรับสั่งให้แม่ทัพจางไปตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น หลังจากการสอบสวนแล้วพระองค์จะทำอย่างไร? แต่จากที่ฝ่าบาททรงวิเคราะห์ ดูเหมือนว่าอ๋องหนานหวายจะถูกเปิดโปงนะพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่สำคัญ พวกเราต้องสอบสวนไว้ก่อน ไม่ใช่เรื่องดีหรือที่อาวุธเหล่านั้นจะตกมาอยู่ในมือของข้า โดยที่ไม่ต้องใช้เงินแม้แต่แดงเดียว?” องค์จักรพรรดิคลี่ยิ้มอย่างช้า ๆ “เดิมทีฝ่าบาทประสงค์ที่จะเลื่อนตำแหน่งอ๋องหนานหวายเป็นไท่เวย...” ลู่กงกงถามด้วยความลังเลองค์จักรพรรดิโบกมือพร้อมกล่าว “ไม่แล้วล่ะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้เตือนข้าว่าช่วงที่ผ่านมา ข้ามีความลำเอียงจริง ๆ หากไม่หยุดเสียตอนนี้ จะต้องสูญเสียความสมดุลแน่นอน ในความคิดของข้า เหล่าเจี่ยวทำหน้าที่ได้ดีแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาทำต่อไปเถิด”ลู่กงกงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ? อ๋องเยี่ยจะไม่ต้องอาละวาดแล้ว เขามีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งไท่เวยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ!”องค์จักรพรรดิถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นหันมองลู่กงกง “เจ้าว่าช่วงนี้ข้ามีความคิดสุดโต่งเกินไปหรือไม่?”ลู่กงกงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาททรงห่วงใยและคำนึงถึงควา
อ๋องหนานหวายไม่มีอำนาจในการป้องกันตน ดังนั้นจึงทำได้เพียงรอเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่เหมือนคำทำนายไม่มีผิด เขาคือนกที่บินพลาดแล้วตกลงไปในกรงสินะ ในตอนนี้องค์จักรพรรดิสามารถยัดเยียดข้อหากบฏให้เขาได้ เพื่อที่จะกำจัดให้พ้นทาง แม้ตายยังไร้ที่ฝังกลบชางชิวมั่นใจอย่างมาก เพราะแฉกของหกเหลี่ยมนั้นผิดแผกไป และมันสามารถเปลี่ยนคำทำนายจากดีกลายเป็นร้ายได้ ซึ่งความหวังที่จะมีชีวิตต่ออันริบหรี่นี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจขององค์จักรพรรดิที่มีต่อน้องชายของเขาแน่นอนว่าองค์จักรพรรดิรับสั่งให้อ๋องหนานหวายกลับไปที่จวนเพื่อไตร่ตรองสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่าไม่ดำเนินการไต่สวน ส่วนเรื่องธนูและหน้าไม้ องค์จักรพรรดิไม่ได้กล่าวถึงในกฤษฎีกา และในเมื่อเป็นเช่นนั้น อ๋องหนานหวายจึงไม่ได้ถูกตัดสินว่าเป็นกบฏ แต่กลับถูกลงโทษในข้อหาทำร้ายหลานชายแทนองค์จักรพรรดิไม่แม้แต่จะตำหนิอ๋องหนานหวาย เขาออกคำสั่งให้ทหารพาอีกฝ่ายกลับไปที่จวนและกักบริเวณเอาไว้ จากนั้นเปลี่ยนตัวบ่าวรับใช้ทุกคนในจวนให้เป็นคนของตน ทั้งยังส่งทหารองครักษ์ไปอารักขาอีกด้วยแผนการขององค์จักรพรรดิสามารถทำได้ทั้งรุกคืบและตั้งรับได้ในเวลาเดียวกัน เมื่อมู่หรงเจ
เวลาต่อมา ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อจัดเตรียมสัมภาระในการเดินทางไปยังโม่เป่ยอ๋องเยี่ยไม่ได้ติดตามไปด้วย เพราะเหตุผลประการแรกคือเขายังคงเป็นไท่เวย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญอย่างยิ่งประการที่สอง เมื่อพูดถึงโม่เป่ย เขาก็ถอนหายใจยาวพลางกล่าว “ข้าติดหนี้ทั่วโม่เป่ย และไม่สามารถจ่ายคืนพวกเขาได้ จริงสิ ข้าสามารถแนะนำใครบางคนให้ท่านได้ หลังจากเดินทางไปถึงโม่เป่ยแล้ว พี่เจ็ด... หากต้องการสิ่งใด ท่านสามารถไปหานางได้ นางจะช่วยท่านแน่นอน แต่อย่าบอกตัวตนที่แท้จริงกับนางล่ะ”“หืม?” มู่รงเจี๋ยขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”จ้วงจ้วงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หนี้รักน่ะ มันจะเป็นอะไรได้อีกเล่า ท่านหลงกลเขาเสียแล้ว”“ไร้สาระ!” มู่หรงเจี๋ยอุทาน“นางคือองค์หญิงเป่ยอัน น้องสาวขององค์จักรพรรดิ นางคือผู้ที่มีความสามารถคนหนึ่งในเป่ยโม่ ท่านควรไปพบนางนะ นอกจากนี้ยังมีอีกคนหนึ่งที่ท่านควรไปเจอ คนผู้นั้นมีนามว่าเกาเฟิ่งเทียน พี่ชายร่วมสาบานของข้า เขาเป็นคนมีคุณธรรม และถือได้ว่าเป็นบุคคลที่ทรงพลังของลู่หลินแห่งเป่ยโม่ หากท่านไม่รู้จะพึ่งพาผู้ใด ก็ให้ตามหาเขา ข้าจะส่งคนไปอารักขาพี่สะใภ้เจ็ดเอง”“ลู่หลิน? ดียิ่งนัก!” มู่ห
โรคระบาดเป็นสิ่งที่รอไม่ได้ หากชักช้าเพียงแค่วันเดียวก็อาจจะมีคนล้มตายมากมายหลังออกจากเมืองหลวง พวกเขาก็มาถึงป้อมอู่หลี่ ทุกคนต่างเห็นม้าหลายตัวถูกผูกอยู่ที่ไกล ๆจื่ออันจึงขอให้หยุดรถม้าอ๋องฉีขมวดคิ้วพลางคิดในใจ ‘ออกเดินทางได้ไม่กี่ลี้ นางก็ขอให้หยุดพักแล้วรึ? ไม่ต้องพูดถึง ต่อให้เดินทางห้าวันหรือสิบห้าวันก็เดินทางไปไม่ถึงเป่ยโม่ได้หรอก’เขาฝืนแสร้งทำท่าทีนิ่งเฉยก่อนเดินเข้าไปถาม “พระชายารู้สึกเหนื่อยหรือหิวรึ?”รถม้าคันนี้สะดวกสบายเป็นที่สุด แม้แต่ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองก็ไม่อาจรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหลังจากออกเดินทางเพียงไม่กี่ลี้จื่ออันตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก”นางหันกลับไปออกคำสั่งกับเสี่ยวซุนและแม่นม “พวกเจ้านั่งรถม้าและตามขบวนเดินทางไป ส่วนพวกข้าจะขี่ม้าล่วงหน้าไปก่อน โรคระบาดเป็นเรื่องเร่งด่วน ดังนั้นไม่ควรเดินทางล่าช้า”“เจ้าค่ะ!” แม่นมตอบหลิวหลิ่วและโหรวเหยาลงจากรถม้า และเดินไปยังป้อมอู่หลี๋จื่ออันหันมองอ๋องฉีที่กำลังงุนงงพลางกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านทนเหน็ดเหนื่อยอีกสักนิด และขี่ม้าไปกับพวกเราได้หรือไม่?”อ๋องฉีรู้สึกสะเทือนใจอย่างมากก่อนตอบ “ข้าไม่ไ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว