เจียงอวี้ตกใจจนมิกล้าร้องไห้เสียงดัง จึงปิดปากตนไว้แล้วกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา“ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย… ข้าควรทำอย่างไรดี? ข้ายอมตายดีกว่าเข้าวัง!”“อวี้เอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าจะตายมิได้! หากเจ้าตายไป เขาก็จะไม่มีทางปล่อยพวกเราไป!”ฮูหยินเจียงกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นคนที่มีประสบการณ์มามากมาย สิ่งที่พวกนางเอ่ยก็เป็นจริงเช่นกันหากเจียงอวี้ได้ยินพระราชโองการให้เข้าวังก็ฆ่าตัวตายทันที นั่นจะมิใช่การตบหน้าองค์จักรพรรดิหรือ?องค์จักรพรรดิจะปล่อยตระกูลเจียงไปได้เยี่ยงไร!เมื่อเจียงอวี้ได้ยินว่า แม้แต่จะตายก็ทำมิได้ก็ยิ่งสิ้นหวังแล้วทรุดลงไปที่พื้นอย่างอ่อนแรงหรือนี่คือชะตากรรมของตน?“มิต้องกังวล มิต้องกังวล ตั้งวันพรุ่งถึงจะเข้าวังมิใช่หรือ? พวกเราลองคิดหาทางหลีกเลี่ยงสิ่งนี้กันก่อน!”ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงใจสลายเมื่อเห็นท่าทางสิ้นหวังของเจียงอวี้ จึงรีบปลอบใจฮูหยินเจียงก็คุกเข่าลงกับพื้นแล้วกอดเจียงอวี้อย่างทุกข์ใจเช่นกัน “อวี้เอ๋อร์ หากท่านพ่อกับพี่ชายของเจ้าอยู่ที่นี่ บางทีพวกเขาอาจคิดหาทางได้!”“แต่ตอนนี้มีเพียงพวกเราสตรีเพียงมิกี่คนเท่านั้น ใครจะตัดสินใจแทนเราได้เล่า!”เจียงอวี้ร้องไห้
เจียงอวี้ร้องไห้แล้วเล่าเรื่องพระราชโองการให้เข้าวังหลิงอวี๋กับหลิงหว่านฟังแล้วต่างตกตะลึง แรกเริ่มหลิงหว่านก็มีความคิดเดียวกันกับเจียงอวี้ จึงเอ่ยอย่างมิอยากจะเชื่อ“เจียงอวี้ เจ้าเข้าใจผิดไปหรือไม่? แค่ให้เจ้าตามองค์หญิงหกไป มิแน่ว่าจะต้องเป็นอย่างที่เจ้าคิดนี่!”แต่หลิงอวี๋มิได้มองในแง่ดีเท่าหลิงหว่านเช่นนั้น เพราะว่านางเป็นคนยุคใหม่ ในประวัติศาสตร์มีเรื่องเกิดขึ้นอยู่มิน้อย เรื่องที่เจียงอวี้เข้าวังมิใช่เรื่องในแง่ดีแน่นอน“หว่านหว่าน ข้าก็หวังว่าจะมิเป็นเช่นนั้น แต่ท่านแม่กับท่านย่าของข้าต่างก็พูดเช่นนั้น ข้ามิเชื่อคงมิได้แล้ว!”เจียงอวี้เช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยอย่างหมดหวัง “ท่านพี่หลิงหลิง โปรดให้คำแนะนำแก่ข้าทีเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะหลีกเลี่ยงการเข้าวังได้เยี่ยงไรหรือ?”หลิงอวี๋ขมวดคิ้ว เรื่องจักรพรรดิอู่อันทำเรื่องที่มิเข้าท่าจริง ๆ แต่เขาเป็นจักรพรรดิ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาที่จะรับสตรีเข้าวังจำนวนเท่าใดก็ได้“เจียงอวี้ พระราชโองการออกมาแล้ว เจ้าหนีมิพ้นที่จะต้องเข้าวังหรอก!” หลิงอวี๋เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นสีหน้าของเจียงอวี้ซีดลงทันที “ท่านพี่หลิงหลิง ท่านก็ไม่มีวิธีหรือ?
มินานหลิงอวี๋ก็นำยามาให้เจียงอวี้ แล้วนางก็สั่ง “เจ้าควรเริ่มกินยานี้ก่อนเข้าวัง เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ใครเจอแล้วสงสัยเข้า!”“ข้าเข้าใจแล้ว!” เจียงอวี้พยักหน้าอย่างซาบซึ้งใจ “พระชายาอ๋องอี้ ขอบคุณนะเจ้าคะ ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณของท่านเลย!”“จริงสิ ท่านให้ยานี้กับข้ามากหน่อยได้หรือไม่? ได้ยินมาว่าเถาลี่ก็จะเข้าวังด้วยกัน! ข้าจะแบ่งให้นางกิน!”เมื่อหลิงอวี๋ได้ยินสิ่งนี้ก็รีบส่ายหัว “เจียงอวี้ มิใช่ว่าข้ามิอยากช่วยเถาลี่ แต่เจ้าลองคิดดูสิ หากเจ้าเป็นคนเดียวที่มีกลิ่นประหลาดที่อธิบายมิถูกมันจะเป็นเรื่องปกติมาก!”“ทว่าหากคนสองคนเข้าวังต่างมีกลิ่นแปลกติดตัวเช่นนี้ทั้งคู่ มันจะสมเหตุสมผลหรือ?”“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามิอยากปรนนิบัติองค์จักรพรรดิแล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเถาลี่มิอยากทำ?”หลิงอวี๋ชอบเจียงอวี้มาก จึงเอ่ยอย่างอดทน “เจียงอวี้ คนจะเปลี่ยนไปได้ภายใต้การล่อลวงของอำนาจ! แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะเป็นพ่อของพวกเจ้าได้ ทว่าหากเจ้ากลายเป็นสนมคนโปรดขององค์จักรพรรดิ เจ้าก็จะได้ดีทุกอย่างเลยนะ!”“เจ้าเอ่ยสิ่งเหล่านี้กับข้ากับหลิงหว่านได้ แต่เมื่อเจ้าเข้าวัง แม้แต่พี่น้องที่ดีที่สุดก็อาจแทงข้างหลัง
จักรพรรดิอู่อันกำลังคิดที่จะจัดคัดเลือกระหว่างแคว้นของตนก่อนการแข่งขันสี่แคว้นแต่องค์ชายหนิงเอ่ยแนะนำ “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าท่านมิจำเป็นต้องจัดอะไรเพิ่มเติมหรอก แค่ให้องค์ชายทุกคนนำกลุ่มคนลงสนามเลยเถิด! ถึงเวลานั้นพวกเขาทั้งหมดจะเป็นตัวแทนของฉินตะวันตก ใครชนะก็จะนับเป็นชัยชนะของฉินตะวันตก!”“ให้ทุกคนเห็นเช่นนี้ กลุ่มของฉินตะวันตกก็จะแข็งแกร่งมาก!”จักรพรรดิอู่อันนึกถึงความล้มเหลวของการแข่งขันเตะลูกกลมของสตรี จึงมิคัดค้านหลายกลุ่มเลือกกิจกรรมที่พวกเขาถนัดเพื่อเข้าร่วม สิ่งที่กลุ่มหนึ่งทำมิได้ กลุ่มอื่นทำได้ ก็จะมิทำให้ฉินตะวันตกต้องอับอายหลังจากการแข่งขันเตะลูกกลมเซียวหลินเทียนก็หาโอกาสพาหลิงอวี๋ไปดูการฝึกซ้อมกลุ่มของตนคนที่เขาเลือกในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นคนที่ยอดเยี่ยมในกลุ่ม ว่ากันตามเหตุผลแล้วพวกเขาทั้งหมดสามารถต่อสู้แบบหนึ่งต่อสิบคนได้หลิงอวี๋ดูเสร็จแล้วมิได้พอใจมากนัก นางเอ่ยกับเซียวหลินเทียน “พวกท่านจัดรายการอะไรไว้สำหรับการแข่งขันทางทหารหรือเพคะ?”เพราะเป็นการแข่งขันสี่แคว้น รายการกิจกรรมจึงถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วเซียวหลินเทียนเอ่ยอย่างมั่นใจ “สี่รายการใหญ่ได้แก่ ยิงธ
ช่วงนี้ในเมืองหลวงเงียบสงบ อย่างน้อยภายนอกก็เป็นเช่นนี้เหล่าองค์ชายล้วนทุ่มเทแรงกายแรงใจเตรียมการแข่งขันทางทหาร และแยกกันไปหาสถานที่ฝึกกลุ่มของตนนี่คือการแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับการแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทที่มองมิเห็น ใคร ๆ ก็อยากจะเปล่งประกายทั้งนั้นทางด้านเซียวหลินเทียน นอกเหนือจากการฝึกฝนของตนแล้ว ก็ยังให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของบรรดาคู่ต่อสู้อีกด้วยเขามิได้คาดคิดที่จะส่งใครไปแอบดูวิธีการฝึกฝนของคู่ต่อสู้ แต่เขามิดูก็มิได้หมายความว่าคู่ต่อสู้จะมิอยากรู้เกี่ยวกับเขาจ้าวซวนจับสายลับสองกลุ่มที่องค์ชายคังกับองค์ชายเว่ยส่งมาได้ เซียวหลินเทียนเหยียดหยามพฤติกรรมเช่นนี้มากมีแผนการเช่นนี้ ก็เอาไปใช้พัฒนาความแข็งแกร่งของกลุ่มของตนก็ได้ เหตุใดต้องมาต่อสู้กันเองด้วยเล่า!พวกเขาเป็นคนฉินตะวันตก เป้าหมายของพวกเขาคือการเอาชนะอีกสามแคว้นที่เหลือ การสอดแนมตนจะไปมีประโยชน์อะไรกัน!เซียวหลินเทียนแค่ให้จ้าวซวนปล่อยตัวสายลับไป มิได้ทำให้พวกเขาต้องอับอายแต่องค์ชายเว่ยกับองค์ชายคังกลับมิได้รู้สึกขอบคุณ พวกเขาแค่รู้สึกว่าเซียวหลินเทียนกำลังตบหน้าพวกเขาองค์ชายคังได้ยินว่า กลุ่มของเซียว
ฮองเฮาเว่ยยิ้มเยาะ “เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าคิดดูสิ ยิ่งเจ้าขยะนั่นมีชื่อเสียงมากเท่าไร เขาก็จะยิ่งมีศัตรูมากขึ้นเท่านั้นมิใช่หรือ? องค์ชายคัง องค์ชายรุ่ยและองค์ชายเย่จะสามารถเชื่อใจได้หรือ?”“ผู้นำคนหนึ่งสามารถผลักดันเขาไปต่อสู้ด่านหน้าได้ ดีกว่าที่เจ้าจะจัดการกับเขาเพียงลำพังใช่หรือไม่เล่า!”“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขามีคนที่มีความสามารถมากมาย แทนที่จะใช้เวลาเพื่อป้องกันมิให้เขาชนะ สู้ช่วยกระพือให้ปัญหามันใหญ่ขึ้นจะดีกว่า ส่งเขาไปยังตำแหน่งสูง ๆ แล้วค่อยตัดไฟตั้งแต่ต้นลม!”องค์ชายเว่ยเริ่มสนใจคำพูดของฮองเฮาเว่ย “ท่านแม่ ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมอย่างไรหรือ?”“เยี่ยนเอ๋อร์ พวกเจ้าทุกคนกำลังลงเข้าชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท ยิ่งความสามารถของเจ้าสูงเท่าไร เสด็จพ่อของเจ้าก็ยิ่งต้องระวังมากขึ้นเท่านั้นมิใช่หรือ?”“ในเวลานี้ หากมีหลักฐานแน่ชัดว่า เจ้าขยะนั่นต้องการแย่งชิงบัลลังก์ เสด็จพ่อของเจ้าจะยังทนขยะผู้นั้นได้หรือ?”องค์ชายเว่ยฟังแล้วก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ตั้งสติ หรี่ตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะพลางเอ่ย“เสด็จแม่ ลูกเข้าใจแล้ว แผนของท่านแยบยลยิ่งนัก!”“ฮ่าฮ่า ข้ารู้แล้วว่าต้องทำเยี่ยง
หลิงอวี๋หมดคำพูด เด็กผู้นี้เสพติดการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไปแล้วหรือ?ตั้งแต่เดินทางไปไร่นาของเซียวหลินเทียนครั้งที่แล้วและได้กระต่ายตัวน้อยกลับมาสองตัว เด็กผู้นี้ก็เอาแมวมาเลี้ยงอีกหนึ่งตัว ที่เกินไปกว่านั้นคือเมื่อสองวันก่อนเอางูตัวสีขาวทั้งตัวมาเลี้ยงอีกหลิงอวี๋กลัวงูที่สุด เมื่อนางเดินเข้าไปเห็นงูตัวหนึ่งพันรอบแขนของหลิงเยวี่ยก็กรีดร้องอย่างตกใจขึ้นมาทันทีหลิงเยวี่ยระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทั้งยังอุ้มงูขาวไว้ในอ้อมแขนอย่างกับสมบัติล้ำค่า พลางเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ท่านแม่ เสี่ยวไป๋เชื่องมาก มันมิกัดคนนะขอรับ ท่านแม่ลองลูบมันดู...”“เอาออกไป ๆ…”หลิงอวี๋วิ่งหนีไปในเรือนด้วยความตื่นตระหนก พลางตะโกนด้วยความโกรธ “ใครให้เจ้าตัวนี้กับเยวี่ยเยวี่ย? ออกมาเลยนะ ข้าสัญญาว่าจะมิทุบตีเจ้าจนตาย!”เซียวหลินเทียนเข้ามาคุยกับหลิงอวี๋พอดี เมื่อเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของหลิงอวี๋ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจเขามิเคยเห็นหลิงอวี๋ดูโกรธและกลัวถึงเพียงนี้มาก่อน เขาทั้งประหลาดใจทั้งรู้สึกตลก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?ในความทรงจำของเซียวหลินเทียน หลิงอวี๋เป็นคนมิเกรงกลัวฟ้าดิน เมื่อเผชิญหน้ากับอ
“ท่านแม่ ท่านแม่อย่าไป เยวี่ยเยวี่ยมิเลี้ยงแล้ว!”หลิงเยวี่ยพุ่งเข้าไปกอดหลิงอวี๋ แต่หลิงอวี๋หลบเขากับตะโกนอย่างมิชอบ “อย่าเอามือที่สัมผัสกับงูมากอดข้า ไปล้างมือให้สะอาดก่อนค่อยมา!”หลิงเยวี่ยจึงทำได้เพียงต้องไปล้างมือ ตอนเดินผ่านเซียวหลินเทียนก็มองงูขาวอย่างอาลัยอาวรณ์เซียวหลินเทียนอุ้มงูขาว ทั้งยังถูกหลิงอวี๋จ้องอยู่ด้วย เขารู้สึกผิดพลางเอ่ย “ข้า… ข้าคิดว่าเจ้าจะชอบมัน!”“ท่านต่างหากที่ชอบ...”ทั้งครอบครัวของท่านชอบมัน!หลิงอวี๋อดทนมิพูดคำด้านหลัง พลางเอ่ยอย่างมิพอใจ “ท่านรู้จักหม่อมฉันเท่าใด? ท่านรู้หรือว่าหม่อมฉันชอบอะไรมิชอบอะไร?”“เซียวหลินเทียน ต่อไปหากท่านจะให้สัตว์ชนิดใดกับเยวี่ยเยวี่ยจะต้องได้รับการอนุมัติจากหม่อมฉันก่อน! หากท่านกล้าให้อะไรมั่ว ๆ ทำให้หวาดกลัวอีก หม่อมฉันจะเอาของที่น่ากลัวไปใส่ให้เต็มเรือนของท่าน!”เซียวหลินเทียนเป็นคนผิดจึงทำได้เพียงยิ้มพลางเอ่ย “ได้ ๆ ครั้งหน้าหากข้าจะให้อะไรข้าจะบอกเจ้าล่วงหน้า!”“ท่านรีบไปเถิด! วันนี้เรือนบุหงามิต้อนรับท่าน! เอาสิ่งที่เอามาให้ไปไกล ๆ อย่าให้หม่อมฉันเห็นมันในตำหนักอีก!”เซียวหลินเทียนผู้น่าสงสารมิทันได้พูด
ต่งเฉิงมองหลิงอวี๋พลางพยักหน้ารัว ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับลูบเคราของตัวเองว่า “สาวน้อยนางนี้รู้จักเครื่องยาสมุนไพรมากมายเช่นนี้นับว่าหายาก!”เครื่องยาสมุนไพรเหล่านี้มิใช่สมุนไพรธรรมดาทั้งหมด นอกจากเครื่องยาสมุนไพรที่ใช้ในการกลั่นโอสถระดับต้นแล้ว ยังมีระดับกลางและระดับสูงจำนวนเล็กน้อยอีกด้วยโดยทั่วไป ผู้เข้าสอบที่ตอบได้เจ็ดสิบถึงแปดสิบชนิดก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ทว่าหลิงอวี๋สามารถตอบได้มากกว่าหนึ่งร้อยชนิด ถือว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงเลยทีเดียวเพิ่งเข้ามาก็ทำคะแนนได้ดีถึงเพียงนี้ หากนางได้เรียนอย่างเป็นระบบก็คงแซงหน้าบัณฑิตคนอื่นได้ในมิช้า“ตึง ตึง ตึง!”เมื่อเสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง การสอบแข่งขันของกลุ่มนี้ก็สิ้นสุดลง“หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดคะแนน!”กลองหยุดลงแล้ว และบนใบหน้าของศิษย์พี่หญิงก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นเป็นครั้งแรก นางหยิบป้ายส่งให้หลิงอวี๋พร้อมรอยยิ้ม“การสอบแข่งขันรอบต่อไปจะจัดขึ้นในช่วงบ่าย! ความสามารถในการจำแนกเครื่องยาสมุนไพรของเจ้าดีที่สุดในรอบนี้ ทำให้ดีล่ะ!”“ขอบคุณศิษย์พี่หญิง!”หลิงอวี๋รับป้ายมาด้วยความตื่นเต้น พลางหันไปดูผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ที่กำลังมองนางด้
เป็นไปตามคาด หลิงอวี๋เห็นใบหน้าที่งดงามทว่าโหดร้ายนั้น และนั่นก็คือศัตรูที่นางมิอาจลืมเลือน...จ้าวหรุ่ยหรุ่ย!ชั่วขณะนั้นดวงตาของหลิงอวี๋เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พลางนึกอยากจะรุดเข้าไปฉีกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นชิ้น ๆ เพียงหลับตา นางก็มิอาจควบคุมตนมิให้นึกถึงฉากที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเตะต่อยตนความเจ็บปวดและเลือดสด ๆ อีกทั้งความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียลูกไปทำให้หลิงอวี๋มิอาจลืมความเกลียดชังที่ตนมีต่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้เลย!คาดมิถึงว่าศัตรูจะปรากฏตัวต่อหน้าตนเช่นนี้!หลิงอวี๋ตื่นตัวมากจนร่างกายสั่นเทา แต่นางก็ยังสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้นางมิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ย การวู่วามลงมือมีแต่จะเป็นการรนหาที่ตายเท่านั้นหลิงอวี๋สูดหายใจเข้าลึกพลางมองเด็กสาวที่ประกาศสงครามกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเด็กสาวคนนี้ดูอายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดปี มีรูปร่างสูง ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว และดวงตาแวววาวสดใสผมสีดำสนิทของนางถูกแสกกลางและถักเป็นเปียยาวสองข้างพันไว้รอบมวยผม ข้าง ๆ มวยผมนั้นมีปิ่นมุกปักประดับอยู่สองอันเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีม่วงควันธูป และเมื่อดูจากเนื้อผ้าแล้ว นางน่าจะเป็นค
ข่าวที่สือหรงนำมาให้เซียวหลินเทียนมิใช่ข่าวดี จ้าวหรุ่ยหรุ่ยยังคงอยู่ในตำหนักเทียนจีและมิได้มาลงทะเบียนด้วยตนเองหากอยากพบกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ย ก็ทำได้แค่ต้องรอจนถึงวันคัดเลือกรอบแรกเท่านั้นแต่เซียวหลินเทียนก็มิย่อท้อ ถึงอย่างไรขอเพียงจ้าวหรุ่ยหรุ่ยปรากฏตัว เขาก็จะไม่มีทางปล่อยนางหนีไปอีกแน่ ให้นางเป็นอิสระอีกสักสองสามวันก็คงมิเป็นไร!ในช่วงวันเวลาที่เหลือ หลายคนเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเช่นเดียวกับหลิงอวี๋ พวกเขาอ่านตำราอย่างหนักและเพิ่มพูนความรู้ที่ขาดไป เพื่อที่จะผ่านการคัดเลือกและได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงทว่าหลิงอวี๋มิรู้เลยว่าศัตรูของตนมาถึงเมืองหลวงแดนเทพแล้ว หลังจากเอาแต่ปิดห้องอ่านตำราเป็นเวลาหลายวันนางก็มาที่สำนักศึกษาชิงหลงที่อยู่นอกเมืองในวันแห่งการคัดเลือก โดยมีผู้รอบรู้เรื่องร่วมเดินทางด้วยหน้าทางเข้าสำนักศึกษาชิงหลงเต็มไปด้วยผู้คนทั้งบุรุษและสตรี ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รวมกันนับพันคนผู้รอบรู้เห็นเช่นนั้นก็ทึ่งจนพูดมิออก และอ้ำอึ้งพูดออกไปว่า “รู้เช่นนี้ข้าน่าจะมาลงทะเบียนเข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงกับเจ้าด้วย เฮ้อ ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว!”หลิงอวี๋ยิ้ม นางรู้ว่าผู้รอบร
“เถาจื่อ หานอวี้ วันพรุ่งพวกเจ้าไปลงทะเบียนเสีย!”เซียวหลินเทียนทำการตัดสินใจและกำชับว่า “ลงทะเบียนในชื่อของน้องสาวข้า!”“เผยอวี้ ฉินซาน พวกเจ้าสองคนก็ไปลงทะเบียนสาขาที่ตนเองชื่นชอบด้วย พวกเจ้าทั้งคู่บอกแค่ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าก็พอ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทุกคนก็หัวเราะอย่างมีความสุข พลางพยักหน้าและจัดลำดับอาวุโสกันให้เซียวหลินเทียนเป็นพี่ใหญ่ของทุกคน เถาจื่อเป็นพี่หญิงใหญ่ หานเหมยเป็นพี่น้องคนที่สาม และหานอวี้เป็นคนที่สี่เซียวหลินเทียนได้บอกจุดประสงค์ของภารกิจให้พวกเขาทราบแล้ว เถาจื่อกับหานอวี้ต้องให้ความสำคัญกับฝั่งของสตรีวันรุ่งขึ้น เถาจื่อและหานอวี้ไปลงทะเบียน และทั้งคู่ก็เลือกวิชาปรุงโอสถเนื่องจากก่อนหน้านี้พวกนางเคยตามหลิงอวี๋ไปจำแนกเครื่องยาสมุนไพรหลายชนิด ในความคิดของพวกนาง การกลั่นโอสถเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการผ่านการประเมินมีชั้นเรียนที่สอนการกลั่นโอสถเพียงสองแห่งเท่านั้น ดังนั้นเถาจื่อและหานอวี้จึงต้องลงทะเบียนเรียนคนละชั้นเรียนและเถาจื่อก็ได้ลงทะเบียนเรียนชั้นเรียนของหอโอสถซ่างกู่เซียวหลินเทียน เผยอวี้และคนอื่น ๆ ก็ไปลงทะเบียนด้วยเซียวหลินเทียนลงทะ
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห