“สัตว์เดรัจฉานที่ไร้เมตตา ไร้กตัญญูแล้วไร้เมตตาเช่นนี้ อย่าได้ไปสนใจเขาเลย หากเขาอยากตายข้าก็ให้เขาได้สมปรารถนา!”จักรพรรดิอู่อันตะคอกด้วยความโกรธ“ฝ่าบาท อย่าได้เอ่ยด้วยอารมณ์กริ้วเลยเพคะ! ฝ่าบาททรงโปรดเขามากถึงเพียงนั้น จะยอมให้เขาตายลงได้อย่างไร!”ฮองเฮาเว่ยพูดความจริง แต่นี่มิใช่จุดประสงค์ของนาง นางเหลือบมองจักรพรรดิอู่อันพลางขยิบตาให้พระชายาหรงพระชายาหรงเข้าใจทันที แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าองค์จักรพรรดิ“ฝ่าบาท... ตามเหตุผลแล้วฝ่าบาทกับฮองเฮาก็ประทับอยู่ที่นี่ หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์ไปขัดจังหวะ แต่หม่อมฉันมีบางอย่างที่จะบอกเพคะ ฝ่าบาทให้หม่อมฉันเอ่ยเสียหน่อยเถิด!”“ว่ามา! ฝ่าบาทมิตำหนิเจ้าหรอก!”ฮองเฮาเว่ยดึงจักรพรรดิอู่อัน พลางเอ่ยเสียงอ่อน “น้องพระชายาหรงมาอยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันตั้งแต่เช้า นางกลัวว่าหม่อมฉันจะตำหนิอ๋องอี้ หม่อมฉันจะตำหนิอ๋องอี้ได้อย่างไร เขาสูญเสียแม่ไปตั้งแต่เขายังเด็ก หม่อมฉันเป็นผู้ดูแลเขาให้เติบโตเพคะ!”“แม้ว่าเขาจะมิใช่ลูกชายแท้ ๆ ของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันก็เหมือนน้องพระชายาหรง ที่เห็นอ๋องอี้เป็นดั่งลูกชายแท้ ๆ! ฝ่าบาทโปรดให้น้องพระชายาหรงเอ่ยอะไรสักสองสามคำเ
ยังมิทันที่ท่านอ๋องเฉิงจะถูกเรียกเข้าวัง ขันทีเซี่ยก็หาคนไปรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในตำหนักฮองเฮาเว่ยให้ไทเฮาทราบอย่างเงียบ ๆไทเฮาเหลียงหัวเราะเยาะ “หลิงอวี๋ยังมิถูกตัดสินลงโทษเลยนะ! คนพวกนี้ก็รีบเร่งที่จะทำลายนางเสียแล้ว! คิดว่าข้าตายไปแล้วจริง ๆ รึ?”แม่นมเว่ยถอนหายใจพลางเอ่ย “พระชายาอ๋องอี้ผู้นี้ดูเป็นคนฉลาด ไฉนนางจึงตกไปในอุบายของผู้อื่นมากมายถึงเพียงนี้ได้เล่าเพคะ!”ไทเฮาเหลียงยังเอ่ยด้วยความโกรธ “เด็กผู้นี้ทำอะไรตามใจเกินไป! นางฟังคำพูดของข้าแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา!”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยเตือนนางแล้ว ให้นางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเทียนเอ๋อร์เข้าไว้ แต่เจ้าคิดว่านางคำนึงถึงคำพูดของข้าหรือไม่เล่า?”นางกำนัลอาวุโสไป่ซุ่ยได้รับความกรุณาจากหลิงอวี๋มามิน้อย หลังจากได้ยินสิ่งนี้ นางก็ยิ้มพลางเอ่ย “ไทเฮาเพคะ ไทเฮาเอ่ยเช่นนี้อาจเป็นการใส่ความพระชายาอ๋องอี้หนาเพคะ!”“ก่อนหน้านี้ท่านเสนอให้นางรักษาขาของท่านอ๋องอี้มิใช่หรือ? ดูท่านอ๋องอี้สิเพคะ ตอนนี้เขาสามารถยืนขึ้นได้แล้วมิใช่หรือ?”“บ่าวคิดว่าเหตุผลที่พระชายาอ๋องอี้มิได้ร่วมห้องกับท่านอ๋องอี้อาจเป็นต้องการการรักษา! ไทเฮาทรงคิดดูเถิดเพคะ ก่
แม่นมเว่ยนำถ้อยคำของไทเฮาเหลียงไปถ่ายทอดถึงจักรพรรดิอู่อัน ความโกรธของจักรพรรดิอู่อันก็หายไปครึ่งนึงทันทีเขาเอ่ยกับฮองเฮาเว่ยด้วยความโกรธ “ในเมื่อไทเฮาบอกมาเช่นนี้ เช่นนั้นก็รอวันมะรืนดีกว่า! หากหลิงอวี๋มิสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนางได้ในวันมะรืน ข้าจะออกคำสั่งให้อ๋องอี้หย่ากับหลิงอวี๋แล้วค่อยลงโทษนาง!”ฮองเฮาเว่ยแอบกัดฟัน ในใจก็รู้สึกเกลียดไทเฮาเหลียงขึ้นมานางคิดว่าหากเวลายิ่งยาวนานไปจะยิ่งมีอุปสรรคมากขึ้น จึงอยากจะตัดหนทางของหลิงอวี๋เสียก่อน ไหนเลยจะคิดว่าไทเฮาเหลียงแม่เฒ่าเลวผู้นี้ จนถึงเวลานี้แล้วจะยังคงปกป้องหลิงอวี๋เช่นนี้ไทเฮาบอกมาเช่นนี้แล้ว องค์จักรพรรดิไม่มีทางเปลี่ยนใจอย่างแน่นอนฮองเฮาเว่ยจะพูดอะไรได้อีกเล่า!นางคิดว่านางได้บอกกับพระชายาเว่ยแล้ว หากพระชายาเว่ยฉลาดก็คงจะลงมือโจมตีก่อน!......ราชสำนักฝ่ายในท่านอ๋องเฉิงให้แม่นางเหยียนพาหลิงอวี๋ไปสอบปากคำทางด้านหลิงอวี๋ยังคงมิสามารถทำสิ่งใดได้ นางยังคิดมิออกว่าจะช่วยเฮ่ออันได้อย่างไรดีนางบอกเรื่องการคาดเดาของนางเกี่ยวกับพระชายาเส้าให้ท่านอ๋องเฉิงรู้ แล้วให้ท่านอ๋องเฉิงช่วยตนถ่ายทอดเรื่องเหล่านั้นไปให้เซียว
“อย่าเพิ่งใจร้อน! นั่งลงแล้วค่อย ๆ พูดกัน!”เซียวหลินเทียนเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าของหลิงอวี๋ ก็อดมิได้ที่จะสัมผัสมันอย่างปวดใจ“ข้าพบเบาะแสบางอย่างแล้ว จึงเข้ามาคุยกับเจ้า”“เหล่าเอ้อร์ที่ถูกเจ้าแทงเมื่อวานนี้คือเนี่ยนซวงจากตำหนักพระชายาซิ่น พระชายาซิ่นแจ้งกับผู้ดูแลภายในว่านางหายตัวไป แต่กองทัพหลวงมิพบบุคคลนี้ในวังเลย!”“พระชายาซิ่น?” หลิงอวี๋มิได้รู้จักพระชายาในวังมากนัก“นางเป็นแม่ขององค์หญิงเจ็ด และยังมีองค์ชายอีกคนหนึ่งที่เป็นลูกแท้ ๆ ของนาง ปีนี้เขาอายุเพียงสิบขวบเท่านั้น พระชายาซิ่นไม่มีทางสร้างศัตรูกับเราเพียงเพื่อองค์ชายที่อายุน้อยเช่นนี้แน่!”เซียวหลินเทียนเล่าเรื่องตงฮุ่ยกับตงจู๋ให้หลิงอวี๋ฟัง รวมถึงความสงสัยของเขาเกี่ยวกับพระชายาเส้าด้วยหลิงอวี๋ฟังแล้วก็หัวเราะเยาะ “หม่อมฉันก็คิดว่าผู้บงการอยู่เบื้องหลังคือพระชายาเส้าเช่นกัน! วิธีการของนางฉลาดมาก คนที่นางใช้ล้วนเป็นคนที่นางให้แทรกซึมอยู่ในตำหนักของผู้อื่น! หากถูกเปิดโปงก็จะไม่มีใครสงสัยนาง!”หลิงอวี๋บอกทุกอย่างที่นางคิดให้เซียวหลินเทียนฟังเมื่อเซียวหลินเทียนฟังที่หลิงอวี๋บอกว่า คนลึกลับมิได้ฆ่าเฮ่ออัน อาจจะอยากดูว่า
หลิงอวี๋คิดว่าท่านจินต้ามีความรู้มากมาย ดังนั้นนางจึงเขียนคำสองสามคำนั้นลงบนพื้นให้ท่านจินต้าดูท่านจินต้าดูแล้วก็เอ่ย “นี่น่าจะเป็นตัวอักษรของเยวี่ยใต้เมื่อกว่าร้อยปีที่แล้ว อักษรเช่นนี้เลิกใช้ไปแล้วและเขียนยากเกินไป”“เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วหลังจากที่จักรพรรดิมู่หรงเกาจู่แห่งเยวี่ยใต้ขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ได้ระดมนักวิชาการมาพัฒนาอักษร พยายามที่จะรวมเข้ากับสี่แคว้นเพื่อให้สะดวกทางการค้าระหว่างแคว้น!”“ภายใต้อิทธิพลของพระองค์ ตอนนี้ทั้งสี่แคว้นจึงมีอักษรกับภาษาที่คล้ายคลึงกันมากแล้ว!”หลิงอวี๋รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย หรือว่าท่านจินต้าเองก็มิเข้าใจคำเหล่านี้เช่นกัน?เช่นนั้นตนจะหาทางช่วยเฮ่ออันได้เยี่ยงไรเล่า?ท่านจินต้าเห็นท่าทางลำบากใจของหลิงอวี๋ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “พระชายามิต้องกังวล อย่าคิดว่าอักษรมันซับซ้อน อักษรเหล่านี้ก็มีกฎเกณฑ์ของมัน หากอนุมานตามอักษรปัจจุบันของเรา แม้ว่าจะเข้าใจได้มิหมด แต่ก็พอจะเข้าใจความหมายทั่วไปได้!”หลิงอวี๋คิดอยู่พักหนึ่งแล้วใช้วิธีที่ท่านจินต้าสอนมาลองอนุมานดู มันก็เหมือนกับอักษรจีนตัวเต็มกับตัวย่อในยุคปัจจุบัน มีบางตัวที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่บางตั
เมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของหลิงอวี๋ ท่านจินต้าก็มีแรงใจขึ้นมา แล้วเอ่ยต่อ“ข้าก็ได้ยินมาจากคำบอกเล่าเช่นกัน มิรู้รายละเอียดมากนัก... ว่ากันว่ายิ่งพลังวิญญาณของพวกเขายิ่งฝึกจนอยู่ขั้นสูงเท่าไร ความสามารถก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น สามารถควบคุมอากาศให้เป็นดาบได้ ควบแน่นน้ำให้เป็นน้ำแข็งได้ ทั้งยังผนึกวิญญาณได้ด้วย! ใช้สัตว์เทพมาใช้ประโยชน์ส่วนตัวได้อีก!”เซียวหลินเทียนฟังแล้วก็ตะลึง เขากับท่านจินต้ามิเคยคุยกันถึงตำนานเหล่านี้เลย เขามืรู้จริง ๆ ว่ามีชนเผ่าที่มีวรยุทธที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้อยู่ในใต้หล้าด้วย“ท่านจินต้า เช่นนั้นตามที่ท่านบอก หากเราเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเช่นนี้ วรยุทธของข้าก็อ่อนแอมากสำหรับพวกเขาใช่หรือไม่?”ท่านจินต้าพยักหน้าอย่างระมัดระวัง “หากตำนานเป็นเรื่องจริง วรยุทธของท่านอ๋องก็อ่อนแอสำหรับพวกเขาอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวหลินเทียนตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหัวพลางเอ่ย “ข่าวลือทั้งหมดมันเกินจริงไป! ข้ามิเชื่อว่าจะมีคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ในใต้หล้า!”แต่หลิงอวี๋กลับมิได้มองในแง่เดียวกับเซียวหลินเทียน ตัวนางเองเป็นคนที่ข้ามมิติมา ทั
หลังจากที่ทั้งสองคนออกไปแล้ว หลิงอวี๋ก็พบแนวทางแล้วก็ศึกษาตำราการแพทย์ต่อไปมิรู้เช่นกันว่าดูไปนานเท่าใดก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าสองคน คนหนึ่งก้าวหนักกับอีกคนก้าวเบาหลิงอวี๋รีบซ่อนตำราการแพทย์ไว้ในมิติทันทีทันทีที่ออกมา ก็เห็นร่างคนสองคนยืนอยู่นอกประตูห้องขังเป็นหญิงหนึ่งคน และชายหนึ่งคนร่างกายของชายผู้นั้นถูกซ่อนอยู่ในความมืด หลิงอวี๋รู้สึกถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยบนร่างกายของเขาทันทีคนลึกลับที่ปรากฏตัวในตำหนักหย่งเหอผู้นั้น!หลิงอวี๋ตกใจมาก เหตุใดสองคนนี้จึงมาปรากฏตัวในคุกของราชสำนักฝ่ายในได้?เส้นสายของพระชายาเส้ากว้างไกลมาก!“หลิงอวี๋…”ทันทีที่หญิงผู้นั้นเอ่ย หลิงอวี๋ก็ฟังออกเลยว่านี่คือหัวหน้าที่ลักพาตัวตน!เหตุใดนางจึงออกมาจากวังเล่า?หลิงอวี๋ตกใจเล็กน้อย เซียวหลินเทียนบอกว่า ในเวลานั้นมีกองทัพหลวงเห็นตงฮุ่ยกับตงจู๋จากตำหนักพระชายาฮุ่ยบริเวณใกล้กับตำหนักหย่งเหอ!เช่นนั้นหัวหน้าผู้นี้ก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้นในเวลานี้หัวหน้าผู้นี้ยังกล้าออกจากวังอีก นี่มิเกรงกลัวเลยหรือ?หลิงอวี๋มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระชายาเย่ ก่อนหน้านี้นางลืมให้เซียวหลินเทียนไปเตือนองค์ชายเย่ให้
หลิงอวี๋อดมิได้ที่จะหัวเราะพลางเอ่ย “เทียนซือ เจ้าพาผู้ที่เป็นเซียนมาให้ข้าดูสิ แล้วข้าจะเชื่อคำพูดของเจ้า!”สีหน้าของเก๋อเทียนซือมืดมนลง ตงจู๋จึงดุด้วยความโกรธ “หลิงอวี๋ เทียนซือของเราให้โอกาสเจ้าแล้ว เจ้าอย่ามาทิ้งเกียรตินี้ไปจะดีกว่า!”หลิงอวี๋ยิ้มเย็นชา “เช่นนี้จะเรียกว่าทิ้งเกียรติได้เยี่ยงไรรึ? เมื่อครู่เจ้าบอกว่า ข้ามิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตา เช่นนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่ข้าจะมิลงมือทำสิ่งใดหากมิได้เห็นเป้าหมายที่ชัดเจน!”“ข้าเติบโตมาถึงเพียงนี้ยังมิเคยเห็นคนที่เป็นเซียนเลย เขามิให้ข้าดู ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเขาพูดความจริงเล่า?”“ดังเช่นที่ว่า ใคร ๆ ก็วาดรูปอาหารได้ แต่มันกินได้หรือไม่เล่า?”ตงจู๋ถูกหลิงอวี๋ขัดเช่นนั้นก็พูดมิออกเก๋อเทียนซือยิ้มพลางเอ่ย “เจ้านี่ฉลาดมากจริง ๆ ได้สิ การเป็นเซียนอาจจะยากสักหน่อย แต่การที่ความอ่อนเยาว์มิแก่เฒ่านั้น ตัวข้านี้แลที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด! หากเจ้าเรียนรู้จากข้า แม้ว่าเจ้าจะมิสามารถเป็นเซียนได้ แต่ก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายร้อยปี!”“สาวน้อย หากเจ้าฉลาดมาก เจ้าสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดและยืดอายุของเจ้าเป็นพันปีได้!
ต่งเฉิงมองหลิงอวี๋พลางพยักหน้ารัว ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับลูบเคราของตัวเองว่า “สาวน้อยนางนี้รู้จักเครื่องยาสมุนไพรมากมายเช่นนี้นับว่าหายาก!”เครื่องยาสมุนไพรเหล่านี้มิใช่สมุนไพรธรรมดาทั้งหมด นอกจากเครื่องยาสมุนไพรที่ใช้ในการกลั่นโอสถระดับต้นแล้ว ยังมีระดับกลางและระดับสูงจำนวนเล็กน้อยอีกด้วยโดยทั่วไป ผู้เข้าสอบที่ตอบได้เจ็ดสิบถึงแปดสิบชนิดก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ทว่าหลิงอวี๋สามารถตอบได้มากกว่าหนึ่งร้อยชนิด ถือว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงเลยทีเดียวเพิ่งเข้ามาก็ทำคะแนนได้ดีถึงเพียงนี้ หากนางได้เรียนอย่างเป็นระบบก็คงแซงหน้าบัณฑิตคนอื่นได้ในมิช้า“ตึง ตึง ตึง!”เมื่อเสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง การสอบแข่งขันของกลุ่มนี้ก็สิ้นสุดลง“หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดคะแนน!”กลองหยุดลงแล้ว และบนใบหน้าของศิษย์พี่หญิงก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นเป็นครั้งแรก นางหยิบป้ายส่งให้หลิงอวี๋พร้อมรอยยิ้ม“การสอบแข่งขันรอบต่อไปจะจัดขึ้นในช่วงบ่าย! ความสามารถในการจำแนกเครื่องยาสมุนไพรของเจ้าดีที่สุดในรอบนี้ ทำให้ดีล่ะ!”“ขอบคุณศิษย์พี่หญิง!”หลิงอวี๋รับป้ายมาด้วยความตื่นเต้น พลางหันไปดูผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ที่กำลังมองนางด้
เป็นไปตามคาด หลิงอวี๋เห็นใบหน้าที่งดงามทว่าโหดร้ายนั้น และนั่นก็คือศัตรูที่นางมิอาจลืมเลือน...จ้าวหรุ่ยหรุ่ย!ชั่วขณะนั้นดวงตาของหลิงอวี๋เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พลางนึกอยากจะรุดเข้าไปฉีกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นชิ้น ๆ เพียงหลับตา นางก็มิอาจควบคุมตนมิให้นึกถึงฉากที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเตะต่อยตนความเจ็บปวดและเลือดสด ๆ อีกทั้งความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียลูกไปทำให้หลิงอวี๋มิอาจลืมความเกลียดชังที่ตนมีต่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้เลย!คาดมิถึงว่าศัตรูจะปรากฏตัวต่อหน้าตนเช่นนี้!หลิงอวี๋ตื่นตัวมากจนร่างกายสั่นเทา แต่นางก็ยังสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้นางมิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ย การวู่วามลงมือมีแต่จะเป็นการรนหาที่ตายเท่านั้นหลิงอวี๋สูดหายใจเข้าลึกพลางมองเด็กสาวที่ประกาศสงครามกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเด็กสาวคนนี้ดูอายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดปี มีรูปร่างสูง ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว และดวงตาแวววาวสดใสผมสีดำสนิทของนางถูกแสกกลางและถักเป็นเปียยาวสองข้างพันไว้รอบมวยผม ข้าง ๆ มวยผมนั้นมีปิ่นมุกปักประดับอยู่สองอันเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีม่วงควันธูป และเมื่อดูจากเนื้อผ้าแล้ว นางน่าจะเป็นค
ข่าวที่สือหรงนำมาให้เซียวหลินเทียนมิใช่ข่าวดี จ้าวหรุ่ยหรุ่ยยังคงอยู่ในตำหนักเทียนจีและมิได้มาลงทะเบียนด้วยตนเองหากอยากพบกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ย ก็ทำได้แค่ต้องรอจนถึงวันคัดเลือกรอบแรกเท่านั้นแต่เซียวหลินเทียนก็มิย่อท้อ ถึงอย่างไรขอเพียงจ้าวหรุ่ยหรุ่ยปรากฏตัว เขาก็จะไม่มีทางปล่อยนางหนีไปอีกแน่ ให้นางเป็นอิสระอีกสักสองสามวันก็คงมิเป็นไร!ในช่วงวันเวลาที่เหลือ หลายคนเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเช่นเดียวกับหลิงอวี๋ พวกเขาอ่านตำราอย่างหนักและเพิ่มพูนความรู้ที่ขาดไป เพื่อที่จะผ่านการคัดเลือกและได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงทว่าหลิงอวี๋มิรู้เลยว่าศัตรูของตนมาถึงเมืองหลวงแดนเทพแล้ว หลังจากเอาแต่ปิดห้องอ่านตำราเป็นเวลาหลายวันนางก็มาที่สำนักศึกษาชิงหลงที่อยู่นอกเมืองในวันแห่งการคัดเลือก โดยมีผู้รอบรู้เรื่องร่วมเดินทางด้วยหน้าทางเข้าสำนักศึกษาชิงหลงเต็มไปด้วยผู้คนทั้งบุรุษและสตรี ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รวมกันนับพันคนผู้รอบรู้เห็นเช่นนั้นก็ทึ่งจนพูดมิออก และอ้ำอึ้งพูดออกไปว่า “รู้เช่นนี้ข้าน่าจะมาลงทะเบียนเข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงกับเจ้าด้วย เฮ้อ ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว!”หลิงอวี๋ยิ้ม นางรู้ว่าผู้รอบร
“เถาจื่อ หานอวี้ วันพรุ่งพวกเจ้าไปลงทะเบียนเสีย!”เซียวหลินเทียนทำการตัดสินใจและกำชับว่า “ลงทะเบียนในชื่อของน้องสาวข้า!”“เผยอวี้ ฉินซาน พวกเจ้าสองคนก็ไปลงทะเบียนสาขาที่ตนเองชื่นชอบด้วย พวกเจ้าทั้งคู่บอกแค่ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าก็พอ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทุกคนก็หัวเราะอย่างมีความสุข พลางพยักหน้าและจัดลำดับอาวุโสกันให้เซียวหลินเทียนเป็นพี่ใหญ่ของทุกคน เถาจื่อเป็นพี่หญิงใหญ่ หานเหมยเป็นพี่น้องคนที่สาม และหานอวี้เป็นคนที่สี่เซียวหลินเทียนได้บอกจุดประสงค์ของภารกิจให้พวกเขาทราบแล้ว เถาจื่อกับหานอวี้ต้องให้ความสำคัญกับฝั่งของสตรีวันรุ่งขึ้น เถาจื่อและหานอวี้ไปลงทะเบียน และทั้งคู่ก็เลือกวิชาปรุงโอสถเนื่องจากก่อนหน้านี้พวกนางเคยตามหลิงอวี๋ไปจำแนกเครื่องยาสมุนไพรหลายชนิด ในความคิดของพวกนาง การกลั่นโอสถเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการผ่านการประเมินมีชั้นเรียนที่สอนการกลั่นโอสถเพียงสองแห่งเท่านั้น ดังนั้นเถาจื่อและหานอวี้จึงต้องลงทะเบียนเรียนคนละชั้นเรียนและเถาจื่อก็ได้ลงทะเบียนเรียนชั้นเรียนของหอโอสถซ่างกู่เซียวหลินเทียน เผยอวี้และคนอื่น ๆ ก็ไปลงทะเบียนด้วยเซียวหลินเทียนลงทะ
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห