แล้วเงามืดก็เดินออกไปเมื่อหัวหน้าเห็นก็ยืนขึ้น ขยิบตาให้ผู้หญิงอีกสองคน แล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “ดูนางไว้ ข้าไปประเดี๋ยวก็กลับมา!”หลังจากที่หัวหน้าพูดจบก็รีบตามเงามืดออกไปหลิงอวี๋มีกำลังใจขึ้นมา นางรู้ดีว่าแม้ว่านางจะเปิดเผยที่อยู่ของตำราการแพทย์ออกไป คนเหล่านี้ก็ไม่มีทางปล่อยตนไปหรอก!ยิ่งไปกว่านั้น เงามืดลึกลับนั้นก็ทำให้หลิงอวี๋รู้สึกอันตรายมาก นางมิรู้ว่าพวกเขาออกไปข้างนอกจะทำอะไรนางรู้แค่ว่าหากตนไม่รีบออกจากสถานการณ์ในตอนนี้โดยเร็วที่สุด นางจะตายอยู่ที่นี่!เมื่อเห็นสถานการณ์เร่งด่วน หลิงอวี๋สนใจอะไรมิได้มากนัก เมื่อเห็นว่าหัวหน้าเพิ่งจะเดินออกไปนางคว้าที่วางแขนของเก้าอี้ที่ตนผูกติดอยู่ไว้อย่างเงียบ ๆเมื่อครู่นางแอบดูแล้ว ที่วางแขนมันมีการแตกหักอย่างรุนแรงอยู่แม้ว่าการเอามาใช้เป็นอาวุธจะดูงุ่มง่าม แต่เวลานี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว!“พวกเจ้ารับปากว่าจะปล่อยข้าไปหากบอกที่อยู่ของตำราการแพทย์! พวกเจ้าอยากจะผิดคำพูดหรือ?”หลิงอวี๋พยายามลุกขึ้นหญิงในชุดดำเห็นว่าเก้าอี้หัก เมื่อหลิงอวี๋ขยับ เชือกที่มัดตัวนางก็หลุดออกแล้วนางจึงเดินเข้ามา พลางตะคอกด้วยความโกรธ “หยุดอยู่ตรงน
หลิงอวี๋วิ่งเข้าไปก็เห็นเด็กในชุดสีชมพูนอนจมกองเลือดอยู่ใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางหันหน้ามาทางหลิงอวี๋พอดี หลิงอวี๋จำได้ว่านางคือท่านหญิงจ่างหนิงหัวหน้าของหญิงชุดดำคนนั้น กำลังถือกริชไล่ตามหลิงซวนอยู่ส่วนหลิงซวนก็อุ้มเด็กชายตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนแล้ววิ่งไปตรงหน้าต่างที่หลิงอวี๋ปีนออกไปเมื่อครู่นี้“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”เด็กชายกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก และพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของหลิงซวนอย่างบ้าคลั่ง“ปล่อยพวกเขาไป!”หลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ตะโกนอย่างกังวล“ปล่อยพวกเขาไป แล้วข้าจะบอกที่ซ่อนที่แท้จริงของตำราการแพทย์กับเจ้า!”“ว่ากระไรนะ? เจ้ากล้าโกหกข้าหรือ!” หัวหน้าตะคอกด้วยความโกรธ“อยากให้ข้าปล่อยพวกนางไปหรือ? ฝันไปเถอะ! เจ้าฆ่าเหล่าเอ้อร์กับเหล่าซานไปแล้ว ข้าจะฆ่าเจ้า!”นางตะคอกแล้วพุ่งไปหาหลิงอวี๋อย่างดุร้าย หลิงอวี๋จึงหันหลังวิ่งหนีไป“หลิงซวน เจ้าพาเขาหนีไปเร็วเข้า! รีบกลับไป…”หลิงอวี๋เตือนแล้ววิ่งไปที่ป่าไผ่นางอยากจะล่อหัวหน้าออกไป แล้วให้โอกาสเด็กกับหลิงซวนหนีเอาตัวรอด!เมื่อหัวหน้าเห็นก็ยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นก็ยกมือขึ้นปาลูกดอกออกไปเข้าที่น่องของหลิงอวี๋หลิงอว
ณ ศาลาร้อยบุปผางานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้วเซียวหลินเทียนนั่งกับองค์ชายสามรุ่ย องค์ชายห้าเย่ เขาเงยหน้าขึ้นมองฝั่งตรงข้าม แต่กลับมิเห็นหลิงอวี๋เซียวหลินเทียนเห็นว่าไทเฮากับคนอื่น ๆ อยู่กันหมด แต่หลิงอวี๋หายตัวไปเพียงคนเดียว ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก่อนหน้านี้หลิงอวี๋อยู่กับไทเฮามิใช่หรือ? เหตุใดจึงหายไปแล้ว?ในตอนแรกเซียวหลินเทียนไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าหลิงอวี๋อาจจะไปห้องน้ำแต่เมื่อเห็นว่าอาหารยกมาจนครบแล้ว เหลือแค่รอจักรพรรดิอู่อันมาประกาศเริ่มงานเลี้ยง แต่หลิงอวี๋ยังคงไม่มาหรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?เซียวหลินเทียนรู้สึกมิสบายใจ จึงแสร้งว่าจะไปห้องน้ำแล้วลุกออกไปเมื่อมาถึงหน้าประตูก็พบกับขันทีน้อยเซี่ย เซียวหลินเทียนจึงเอ่ยเบา ๆ “ขันทีน้อยเซี่ย เจ้าช่วยนำข้อความของข้าไปบอกหลิงซวนให้เร่งพระชายาอ๋องอี้ไปที่งานเลี้ยงทีได้หรือไม่?”“ไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะไปบอกให้เลย!”ขณะที่ขันทีน้อยเซี่ยกำลังจะไป ขันทีเซี่ยก็มาพร้อมกับองค์จักรพรรดิและท่านอ๋องเฉิงแล้ว“เสด็จพ่อ!” เซียวหลินเทียนเอ่ยทักทายด้วยความเคารพ แล้วก้าวไปด้านข้าง อยากจะรอให้องค์จักรพรรดิกับท่านอ๋องเฉิงเข้าไปก่อนแล้
เฮ่อจู้ตบไปอีกครั้งอย่างโหดร้าย หลิงอวี๋ถูกตบจนตาพร่า และมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากเฮ่อจู้จะตบตีต่ออีก แต่มีเสียงโกรธ ๆ ตะโกนมา “หยุด!”เฮ่อจู้ไม่หันกลับไป พลางตะคอกด้วยความโกรธ “ใครมันกล้ามายุ่งเรื่องของข้า? วันนี้ข้าจะฆ่านางสารเลวผู้นี้...”เฮ่อจู้เหวี่ยงมือตบไปอีกครั้ง แต่ยังมิทันที่มือของเขาจะโดน ก็มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วคว้ามือของเฮ่อจู้ไว้ยังมิทันที่เฮ่อจู้จะได้โต้ตอบ เซียวหลินเทียนก็คว้ามือของเขาไปด้านหลัง จากนั้นเฮ่อจู้ก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรง“บังอาจ...”“ท่านอ๋องอี้!”มีเสียงเรียกดังขึ้นในเวลาเดียวกัน เท้าของเซียวหลินเทียนเหยียบอยู่บนหน้าอกของเฮ่อจู้อย่างโหดร้ายเขาเห็นหลิงอวี๋ถูกทุบตีอยู่กับพื้น ใบหน้าครึ่งหนึ่งบวมช้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง และมีเลือดไหลลงมาที่มุมปากของนาง“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? ถึงได้กล้าทุบตีพระชายาของข้า!”เซียวหลินเทียนสีหน้ามืดมน ออกแรงที่เท้ามากขึ้น เฮ่อจู้รู้สึกราวกับว่ากระดูกที่อกของตนเองกำลังจะหักไปหมด หายใจไม่ออกเลยจ้าวซวนกับเฉาอี้ที่ตามหลังมาเห็นสภาพที่น่าเวทนาของหลิงอวี๋ ก็จ้องมองเฮ่อจู้อย่างโกรธ ๆ“ท่านอ๋องอี้ อย่าทำร้ายรองผู
ในเวลาไม่นาน ก็มีคนหลั่งไหลเข้ามาพระตำหนักหย่งเหอมากมายนางกำนัลพยุงฮองเฮาเว่ยเดินเข้ามา“จ่างหนิงเล่า?”“อยู่ในห้องโถงใหญ่เพคะ!”ฮองเฮาเว่ยรีบเดินเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นไม่นาน เสียงร้องไห้น่าสะเทือนใจของฮองเฮาเว่ยก็ดังมาจากข้างใน“จ่างหนิง เจ้าตายอย่างอนาถนัก!”“หลิงอวี๋ เหตุใดเจ้าจึงใจร้ายจึงเพียงนี้ เจ้าลงมืออย่าโหดเหี้ยมกับเด็กน้อยเช่นนี้ได้เยี่ยงไร!”ฮองเฮาเว่ยร้องไห้ แล้วจู่ ๆ เสียงก็หายไป จากนั้นนางกำนัลกับแม่นมที่อยู่ข้างในก็กรีดร้องขึ้นมา “แย่แล้ว ฮองเฮาเป็นลมไปแล้ว!”ใบหน้าของจักรพรรดิอู่อันมืดมนลงทันทีในเวลานี้ ทหารของกองทัพหลวงก็ได้เชิญถังถีเตี่ยนกับหมอจางมาพอดีเมื่อจักรพรรดิอู่อันเห็นดังนั้นก็รีบตะโกน “ถังถีเตี่ยน รีบเข้าไปดูฮองเฮาที!”ถังถีเตี่ยนรับคำแล้ววิ่งเข้าไปเฮ่อจู้รีบไปหาหมอจางแล้วตะโกน “หมอจาง รีบช่วยลูกชายของข้าที! มิรู้ว่าเขาเป็นเยี่ยงไรบ้าง เรียกเท่าไหร่ก็มิยอมตื่นเลย!”เฮ่อจู้เป็นพี่ชายของพระชายาเว่ย และเป็นคนของฮองเฮาเว่ยด้วยหมอจางเป็นคนของพระชายาเส้า เมื่อเห็นเฮ่อจู้จับตัวตนเองไว้ ก็รู้สึกมิพอใจนัก กลัวว่าพระชายาเส้าจะเข้าใจผิดว่าตนเอาใจเฮ
เมื่อหลิงอวี๋ได้ยินดังนั้น ก็คุกเข่าลงพลางเอ่ยเสียงเรียบ “เสด็จพ่อ หลิงอวี๋ถูกใส่ร้ายเพคะ!”ยังมิทันที่หลิงอวี๋จะพูดจบ ฮองเฮาเว่ยก็ตะโกนอย่างร้อนใจ “พูดจาไร้สาระ ใครจะใส่ร้ายเจ้า?”“ฝ่าบาท ดูสิเพคะ จนถึงตอนนี้หลิงอวี๋ก็ยังไม่มีท่าทีสำนึกผิดแม้แต่น้อย... เห็น ๆ กันอยู่ว่านางคือคนที่ฆ่าจ่างหนิง แต่นางกลับมิยอมรับ!”“นางถือว่าได้สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ในการออกไปกำจัดโรคระบาดครั้งนี้ คิดว่าฝ่าบาทยังต้องการนางอยู่ จึงได้เย่อหยิ่งเช่นนี้เพคะ!”จักรพรรดิอู่อันเกลียดที่สุดคือการที่มีคนเย่อหยิ่งเพราะได้รับความดีความชอบ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงตะคอกออกไป“หลิงอวี๋ เจ้าฆ่าคนโดยมีหลักฐานประจักษ์ชัด! ตอนนี้มิเพียงแต่มิคิดจะกลับใจแต่ยังกล้าโต้เถียงอีก! เจ้าคิดว่าเจ้ามีความดีความชอบจึงได้กล้าหยิ่งผยองเช่นนี้จริง ๆ ใช่หรือไม่?!”“วันนี้ข้าจะต้องกำจัดการวางอำนาจของเจ้า! ใครก็ได้ ลากตัวหลิงอวี๋ไปประหาร!”“เสด็จพ่อ เรื่องนี้ควรสอบสวนให้ดีก่อนมิใช่หรือ?”“ฝ่าบาท จัดการอย่างเร่งรีบเช่นนี้มิได้พ่ะย่ะค่ะ!”เซียวหลินเทียนกับท่านอ๋องเฉิงเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันจักรพรรดิอู่อันจ้องมองเซียวหลินเทียนด้วย
จักรพรรดิอู่อันพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อครู่เขาเห็นสภาพการตายของจ่างหนิงจึงได้โกรธมากตอนนี้เมื่อท่านอ๋องเฉิงพูดขึ้นมา เขาก็สงบลง พอคิด ๆ ดูเรื่องนี้ก็มีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ พฤติกรรมของหลิงอวี๋ในช่วงนี้ก็ดูมิเหมือนคนไร้เหตุผลเลย!นางจะกล้าฆ่าคนในวังได้เยี่ยงไรกัน!“หลิงอวี๋ เจ้าบอกมาตามความจริง หากกล้าโกหกแม้เพียงเล็กน้อย จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง!”หลิงอวี๋ก้มหน้าลง ในใจก็มีความคิดนับมิถ้วนอยู่ฮองเฮาเว่ยไม่มีทางที่จะฆ่าหลานสาวคนโปรดของนางเพื่อใส่ร้ายตนแน่ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้พระชายาเส้าเป็นตัวหลักพระชายาเส้าเสนอโอกาสให้ตนพูด ใครจะรู้ว่ามีกับดักซ่อนอยู่ในนั้นหรือไม่?“ฝ่าบาท เมื่อครู่หลิงอวี๋อยู่กับไทเฮาที่ศาลาในสวน แล้วเถาจื่อก็มารายงานว่าหลิงซวนถูกจ่างหนิงพาตัวไป หลิงอวี๋จึงมาตามหาหลิงซวนเพคะ!”หลิงอวี๋ตอบอย่างระมัดระวังพระชายาเส้าคว้าโอกาสนี้ทันที นางเอ่ยอย่างแสร้งทำเป็นแปลกใจ “นางรับใช้คนหนึ่งถูกจ่างหนิงพาตัวไป เจ้าก็ยังต้องตามหาด้วยตัวเองเลยหรือ มิสมเหตุสมผลกระมัง?”หัวใจของหลิงอวี๋บีบแน่น เป็นดังที่คาด พระชายาเส้าขุดกับดักไว้รอตนอยู่แล้วเช่นนี้มันจะนำไปสู่ข้อสรุปว่
เซียวหลินเทียนเชื่อว่าหลิงอวี๋พูดความจริง ส่วนฮองเฮาเว่ยเอาแต่พูดขัดหลิงอวี๋อยู่หลายครั้ง เขาจึงอดมิได้ที่จะเอ่ย“ฮองเฮา แม้ว่าฮองเฮาจะเสียใจมากกับการตายของจ่างหนิง และเราก็เข้าใจถึงความรู้สึกที่อยากจะแก้แค้น! แต่ตอนนี้เสด็จพ่อให้หลิงอวี๋ได้พูดแย้งให้ตัวเองอยู่มิใช่หรือ?”“หรือฮองเฮาคิดว่าเสด็จพ่อมิปราดเปรื่องเท่าฮองเฮา มิสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งที่หลิงอวี๋พูดมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”ฮองเฮาเว่ยคุกเข่าลงทันที พลางเอ่ยอย่างเศร้า ๆ “ฝ่าบาทโปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ! หม่อมฉันมิได้หมายความเยี่ยงนั้นเพคะ!”จักรพรรดิอู่อันก็โกรธอยู่เช่นกันกับความเลยเถิดของฮองเฮา จึงตะคอกเสียงแข็ง “ฮองเฮา หากเจ้าคิดว่าข้ามิสามารถทำการไต่สวนอย่างยุติธรรมได้ เช่นนั้นเจ้าก็มาทำเองเถอะ!”“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ... หม่อมฉันผิดไปแล้ว... ฝ่าบาทอย่าได้ถือสาหม่อมฉันเลย... หม่อมฉันอารมณ์เสียเพราะรับมิได้กับการตายของจ่างหนิง... หม่อมฉันสัญญาว่าจะมิพูดแทรกอีกเพคะ!”ฮองเฮาเว่ยแทบจะคลานลงไปบนพื้น จักรพรรดิอู่อันเห็นผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของนางก็ขมวดคิ้วและไม่ถือสานางอีก“หลังจากนั้นเล่า?”จักรพรรดิอู่อันเอ่ยถามต่อไป“ค
จางอิ๋งได้พูดคุยเรื่องการแต่งงานกับลูกชายของเย่ซื่อฝานแล้ว และต่อไปหอโอสถซ่างกู่ก็จะเป็นครอบครัวสามีของนาง นางมิอาจทนเห็นหอโอสถซ่างกู่ถูกแทนที่ได้ ดังนั้นนางจึงแสวงหาผู้มีความสามารถให้กับหอโอสถซ่างกู่อย่างกระตือรือร้นทันทีที่เสียงกลองหยุดลง จางอิ๋งก็อดใจรอมิไหวที่จะเก็บตำรับยาของผู้เข้าสอบจางอิ๋งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหลิงอวี๋จำแนกส่วนผสมโอสถได้เพียงสิบห้าชนิดเท่านั้นจากผลงานของหลิงอวี๋ในรอบแรก อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะจำแนกได้สักสิบแปดชนิด เหตุใดถึงได้แค่สิบห้าชนิดกันทางด้านหลงอิงที่ลงทะเบียนเรียนกับหอโอสถไป๋เป่าเขียนตำรับยายี่สิบชนิดได้ถูกต้องทั้งหมด และอยู่ในอันดับที่หนึ่งของกลุ่มนี้ส่วนจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเขียนตำรับยาได้สิบห้าชนิด แต่มีตำรับยาสองแผ่นที่มีข้อผิดพลาด ตำรับยาแผ่นหนึ่งระบุเครื่องยาสมุนไพรมิครบถ้วน และอีกแผ่นหนึ่งเขียนชื่อสมุนไพรผิดโดยรวมแล้ว จ้าวหรุ่ยหรุ่ยอยู่ในอันดับที่สาม และหลิงอวี๋อยู่ในอันดับที่สอง“อาจารย์ พวกเราต้องการผู้มีความสามารถที่โดดเด่นยอดเยี่ยมที่สุด ถึงจะเหนือกว่าหอโอสถไป๋เป่าได้ สิงอวี๋ผู้นี้มิเก่งกาจเท่าหลงอิง จะให้ข้าไปหาหลงอิงเป็นการส่
ขณะที่หลิงอวี๋กำลังจะก้าวขึ้นไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ ก็ได้ยินจงเจิ้งเฟยพูดขึ้นเสียงเรียบ “เสี่ยวอวี๋ เป้าหมายของเจ้าคือการได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาปรุงโอสถ เท่านั้นก็พอแล้ว อย่าได้ทำตัวโดดเด่นจนเกินไปล่ะ!”“ในสำนักศึกษาชิงหลง หากทำตัวโดดเด่นเกินหน้าเกินตาแต่ไม่มีคนหนุนหลังจะทำให้สร้างศัตรูได้ง่าย!”จงเจิ้งเฟยพูดเช่นนี้ด้วยความหวังดีการที่หลิงอวี๋ได้อันดับหนึ่งในรอบแรกก่อให้เกิดการถกเถียงกันในหมู่ผู้คนมากมาย จงเจิ้งเฟยกังวลว่าสหายใหม่คนนี้จะมิเข้าใจวิถีของสังคม นางจึงให้คำชี้แนะอีกฝ่ายคำพูดเหล่านี้เปรียบเสมือนอ่างน้ำเย็นที่ทำให้หลิงอวี๋ได้สติขึ้นมาทันทีนางมองจ้าวหรุ่ยหรุ่ย หลงอิง และเหล่าคุณหนูที่แต่งกายหรูหรา แต่ละคนล้วนร่ำรวยและมีฐานะสูงส่งเหมือนที่จงเจิ้งเฟยพูด ในเมื่อไม่มีพลังอำนาจ แล้วจะเอาอะไรไปต่อกรกับพวกนางได้?ความรู้ความสามารถที่แท้จริงหรืออย่างไร?ในสายตาของเหล่าคุณหนูจากตระกูลขุนนางเหล่านี้ นั่นไม่มีความหมายอะไร เพราะยังมีคนในสำนักศึกษาชิงหลงอีกมากที่มีความสามารถมากกว่าตนการที่นางชนะจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้มิใช่เรื่องอะไรหรอก แต่การปลุกเร้าความอิจฉาริษยาของเหล่าคุณหน
“หากมิทำให้ยากขึ้นมาหน่อยแล้วจะคัดคนมากมายออกได้อย่างไร!”จงเจิ้งเฟยกลอกตาไปที่เหลยเหวินอีกครั้งพลางยิ้มเยาะ “บางคนมาที่สำนักศึกษาชิงหลงเพียงเพื่อแสวงหาชื่อเสียง และบางคนก็มาเพื่อหาสามีที่ร่ำรวย ไม่มีใจที่จะศึกษาหาความรู้ด้วยซ้ำ!”“หากมิคัดคนเช่นนี้ออกไป ก็รังแต่จะทำให้ชื่อเสียงของเหล่าปรมาจารย์ต้องเสื่อมเสีย!”"เจ้าก็มั่นใจในตัวเองหน่อย เจ้ามิได้ด้อยไปกว่าคนอื่นเลย!"หลิงอวี๋รับคำพูดของจงเจิ้งเฟยมาเป็นกำลังใจให้ตัวเอง นางมิด้อยกว่าใครแน่นอน นางจะต้องเข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงและพยายามพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นให้ได้ เพื่อที่นางจะได้แก้แค้นจ้าวหรุ่ยหรุ่ยสุดท้ายทั้งสามคนก็ไปกินอาหารเย็นด้วยกัน หลังจากที่พักผ่อนกันครู่หนึ่งก็กลับมาที่สำนักย่อยเพื่อเข้าร่วมการประเมินรอบต่อไปเนื่องจากในรอบแรกมีคนถูกคัดออกไปเป็นกลุ่มใหญ่ ผู้เข้าสอบที่สำนักย่อยจึงน้อยลงไปมาก ดังนั้นผู้เข้าสอบทุกคนจึงสามารถเข้าไปสังเกตการณ์ในรอบที่สองได้การสอบแข่งขันยังคงจัดขึ้นแบบกลุ่ม และผู้ที่อยู่ห้าอันดับแรกจะได้ผ่านไปยังการประเมินรอบสุดท้ายสิ่งที่ทำให้ผู้เข้าสอบทุกคนตื่นเต้นก็คือ ครั้งนี้นอกเหนือจากรองเจ้า
ศิษย์น้องหญิงนางนี้พูดจาอวดดีราวกับสำนักศึกษาชิงหลงเป็นของตระกูลนาง!หลิงอวี๋อดมิได้ที่จะรู้สึกสนใจศิษย์น้องหญิงนางนี้มากขึ้นกว่าเดิมมิรู้ว่าใครเป็นคนกล่าวคำนี้ไว้ ศัตรูของศัตรูคือมิตร!ตอนนี้หลิงอวี๋มิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอีกต่อไปแล้ว แต่นั่นก็มิอาจหยุดยั้งนางจากการใช้ศัตรูของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเพื่อแก้แค้นอีกฝ่ายได้ดูเหมือนว่าศิษย์น้องหญิงจะเกลียดจ้าวหรุ่ยหรุ่ยมาก บางทีนางอาจจะร่วมมือกับตนเพื่อจัดการจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้“เหวินเหวิน ศิษย์น้องหญิงนางนั้นเป็นใครกัน? ข้าว่านางดูบ้าบิ่นมากเลย!”หลิงอวี๋ถามด้วยความสงสัย“แน่นอนว่านางทำตัวบ้าบิ่นได้อยู่แล้ว เพราะนางสกุลหลงอย่างไรเล่า!”เมื่อเห็นว่าหลิงอวี๋มิรู้ตัวตนของศิษย์น้องหญิงจริง ๆ เหลยเหวินจึงเลิกเคืองหลิงอวี๋แล้วกระซิบบอกนาง“นางชื่อหลงอิง แม้นางจะมิได้มาจากตระกูลจักรพรรดิมังกร แต่ก็ยังถือว่าเป็นคนของตระกูลหลงอยู่ดี และยังมีชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่คนภายนอกอีกด้วย!”หลิงอวี๋ตระหนักได้ทันทีว่าใต้หล้าในแดนเทพนี้เป็นของตระกูลหลง คนเดียวที่ประสบความสำเร็จในตระกูลนี้ทำให้ทุกคนรอบข้างได้รับประโยชน์ แม้แต่พวกไร้สถานะอำนาจยังดูสู
ต่งเฉิงมองหลิงอวี๋พลางพยักหน้ารัว ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับลูบเคราของตัวเองว่า “สาวน้อยนางนี้รู้จักเครื่องยาสมุนไพรมากมายเช่นนี้นับว่าหายาก!”เครื่องยาสมุนไพรเหล่านี้มิใช่สมุนไพรธรรมดาทั้งหมด นอกจากเครื่องยาสมุนไพรที่ใช้ในการกลั่นโอสถระดับต้นแล้ว ยังมีระดับกลางและระดับสูงจำนวนเล็กน้อยอีกด้วยโดยทั่วไป ผู้เข้าสอบที่ตอบได้เจ็ดสิบถึงแปดสิบชนิดก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ทว่าหลิงอวี๋สามารถตอบได้มากกว่าหนึ่งร้อยชนิด ถือว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงเลยทีเดียวเพิ่งเข้ามาก็ทำคะแนนได้ดีถึงเพียงนี้ หากนางได้เรียนอย่างเป็นระบบก็คงแซงหน้าบัณฑิตคนอื่นได้ในมิช้า“ตึง ตึง ตึง!”เมื่อเสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง การสอบแข่งขันของกลุ่มนี้ก็สิ้นสุดลง“หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดคะแนน!”กลองหยุดลงแล้ว และบนใบหน้าของศิษย์พี่หญิงก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นเป็นครั้งแรก นางหยิบป้ายส่งให้หลิงอวี๋พร้อมรอยยิ้ม“การสอบแข่งขันรอบต่อไปจะจัดขึ้นในช่วงบ่าย! ความสามารถในการจำแนกเครื่องยาสมุนไพรของเจ้าดีที่สุดในรอบนี้ ทำให้ดีล่ะ!”“ขอบคุณศิษย์พี่หญิง!”หลิงอวี๋รับป้ายมาด้วยความตื่นเต้น พลางหันไปดูผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ที่กำลังมองนางด้
เป็นไปตามคาด หลิงอวี๋เห็นใบหน้าที่งดงามทว่าโหดร้ายนั้น และนั่นก็คือศัตรูที่นางมิอาจลืมเลือน...จ้าวหรุ่ยหรุ่ย!ชั่วขณะนั้นดวงตาของหลิงอวี๋เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พลางนึกอยากจะรุดเข้าไปฉีกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นชิ้น ๆ เพียงหลับตา นางก็มิอาจควบคุมตนมิให้นึกถึงฉากที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเตะต่อยตนความเจ็บปวดและเลือดสด ๆ อีกทั้งความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียลูกไปทำให้หลิงอวี๋มิอาจลืมความเกลียดชังที่ตนมีต่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้เลย!คาดมิถึงว่าศัตรูจะปรากฏตัวต่อหน้าตนเช่นนี้!หลิงอวี๋ตื่นตัวมากจนร่างกายสั่นเทา แต่นางก็ยังสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้นางมิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ย การวู่วามลงมือมีแต่จะเป็นการรนหาที่ตายเท่านั้นหลิงอวี๋สูดหายใจเข้าลึกพลางมองเด็กสาวที่ประกาศสงครามกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเด็กสาวคนนี้ดูอายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดปี มีรูปร่างสูง ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว และดวงตาแวววาวสดใสผมสีดำสนิทของนางถูกแสกกลางและถักเป็นเปียยาวสองข้างพันไว้รอบมวยผม ข้าง ๆ มวยผมนั้นมีปิ่นมุกปักประดับอยู่สองอันเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีม่วงควันธูป และเมื่อดูจากเนื้อผ้าแล้ว นางน่าจะเป็นค
ข่าวที่สือหรงนำมาให้เซียวหลินเทียนมิใช่ข่าวดี จ้าวหรุ่ยหรุ่ยยังคงอยู่ในตำหนักเทียนจีและมิได้มาลงทะเบียนด้วยตนเองหากอยากพบกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ย ก็ทำได้แค่ต้องรอจนถึงวันคัดเลือกรอบแรกเท่านั้นแต่เซียวหลินเทียนก็มิย่อท้อ ถึงอย่างไรขอเพียงจ้าวหรุ่ยหรุ่ยปรากฏตัว เขาก็จะไม่มีทางปล่อยนางหนีไปอีกแน่ ให้นางเป็นอิสระอีกสักสองสามวันก็คงมิเป็นไร!ในช่วงวันเวลาที่เหลือ หลายคนเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเช่นเดียวกับหลิงอวี๋ พวกเขาอ่านตำราอย่างหนักและเพิ่มพูนความรู้ที่ขาดไป เพื่อที่จะผ่านการคัดเลือกและได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงทว่าหลิงอวี๋มิรู้เลยว่าศัตรูของตนมาถึงเมืองหลวงแดนเทพแล้ว หลังจากเอาแต่ปิดห้องอ่านตำราเป็นเวลาหลายวันนางก็มาที่สำนักศึกษาชิงหลงที่อยู่นอกเมืองในวันแห่งการคัดเลือก โดยมีผู้รอบรู้เรื่องร่วมเดินทางด้วยหน้าทางเข้าสำนักศึกษาชิงหลงเต็มไปด้วยผู้คนทั้งบุรุษและสตรี ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รวมกันนับพันคนผู้รอบรู้เห็นเช่นนั้นก็ทึ่งจนพูดมิออก และอ้ำอึ้งพูดออกไปว่า “รู้เช่นนี้ข้าน่าจะมาลงทะเบียนเข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงกับเจ้าด้วย เฮ้อ ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว!”หลิงอวี๋ยิ้ม นางรู้ว่าผู้รอบร
“เถาจื่อ หานอวี้ วันพรุ่งพวกเจ้าไปลงทะเบียนเสีย!”เซียวหลินเทียนทำการตัดสินใจและกำชับว่า “ลงทะเบียนในชื่อของน้องสาวข้า!”“เผยอวี้ ฉินซาน พวกเจ้าสองคนก็ไปลงทะเบียนสาขาที่ตนเองชื่นชอบด้วย พวกเจ้าทั้งคู่บอกแค่ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าก็พอ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทุกคนก็หัวเราะอย่างมีความสุข พลางพยักหน้าและจัดลำดับอาวุโสกันให้เซียวหลินเทียนเป็นพี่ใหญ่ของทุกคน เถาจื่อเป็นพี่หญิงใหญ่ หานเหมยเป็นพี่น้องคนที่สาม และหานอวี้เป็นคนที่สี่เซียวหลินเทียนได้บอกจุดประสงค์ของภารกิจให้พวกเขาทราบแล้ว เถาจื่อกับหานอวี้ต้องให้ความสำคัญกับฝั่งของสตรีวันรุ่งขึ้น เถาจื่อและหานอวี้ไปลงทะเบียน และทั้งคู่ก็เลือกวิชาปรุงโอสถเนื่องจากก่อนหน้านี้พวกนางเคยตามหลิงอวี๋ไปจำแนกเครื่องยาสมุนไพรหลายชนิด ในความคิดของพวกนาง การกลั่นโอสถเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการผ่านการประเมินมีชั้นเรียนที่สอนการกลั่นโอสถเพียงสองแห่งเท่านั้น ดังนั้นเถาจื่อและหานอวี้จึงต้องลงทะเบียนเรียนคนละชั้นเรียนและเถาจื่อก็ได้ลงทะเบียนเรียนชั้นเรียนของหอโอสถซ่างกู่เซียวหลินเทียน เผยอวี้และคนอื่น ๆ ก็ไปลงทะเบียนด้วยเซียวหลินเทียนลงทะ
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย