เซียวหลินเทียนเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง และครุ่นคิดอย่างรวดเร็วหากข้าหลวงเว่ยโจวเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย เช่นนั้นแม่ทัพเซี่ยที่ประจำการอยู่ที่เว่ยโจวจะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่?เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ข้าหลวงเว่ยโจวทำเลยจริง ๆ หรือ?นอกจากนี้ยังมีนายทหารที่รับคำสั่งจากแม่ทัพเซี่ยอีกสองคนด้วย...“ท่านจินต้า ให้สายลับสืบต่อไปว่าคนในรถม้าทั้งสองคันคือผู้ใด? และหยางต้าหู่ติดต่อกับพวกเขาแบบใด?”“ยอมจำนนต่อศัตรู ทรยศต่อแคว้น หรือแค่เพราะทำการค้า!”เซียวหลินเทียนครุ่นคิดพลางกำชับ“พ่ะย่ะค่ะ!” ท่านจินต้ารีบจดจำไว้“ส่งคนไปตรวจสอบแม่ทัพเซี่ยที่ประจำการอยู่กับพวกนายทหารลูกน้องเขาด้วย ดูว่ามีกี่คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!”“จริงสิ ข้าจำได้ว่ากองทหารของแม่ทัพเซี่ยมีคนสามพันคนใช่หรือไม่?”เซียวหลินเทียนเอ่ยถาม“พ่ะย่ะค่ะ! และยังมีกองทัพชายแดนนับหมื่นที่ประจำการอยู่ที่ชายแดน… แม่ทัพเซี่ยสามารถขอความช่วยเหลือจากกองทัพชายแดนได้ในกรณีฉุกเฉินพ่ะย่ะค่ะ!”ท่านจินต้าติดตามเซียวหลินเทียนมาหลายปีแล้ว แค่ฟังเขาก็สามารถเดาความคิดของเซียวหลินเทียนได้แล้ว นี่คือการปรับใช้กลยุทธ์อยู่“ท่านอ๋อง
เซียวหลินเทียนมองฉินซานอย่างชื่นชม พลางเอ่ยเสียงทุ้ม “แม่ทัพฉินพูดถูก! หากข้าหลวงเว่ยโจวกับแม่ทัพเซี่ยที่กองรักษาการณ์เป็นพวกเดียวกัน! คนที่พวกเราพามาก็คือไส้ศึกของพวกเขา!”“ดังนั้นข้าจึงเรียกพวกเจ้ามาเพื่อจะวางแผน!”“ท่านอ๋องบอกมาได้เลย...ท่านต้องการให้กระหม่อมทำสิ่งใด จะบุกน้ำลุยไฟกระหม่อมก็จะทำให้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ!” ฉินซานเอ่ยเสียงขรึมหลี่ว์จงเจ๋อเห็นใบหน้าที่จริงจังของคนสองคน ก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ ตอนนี้พวกเขาลงเรือลำเดียวกันแล้วพ่อของตนคือหลี่ว์เซียง พวกเขาจะปล่อยตนไปได้หรือ?“ท่านอ๋อง กระหม่อมก็เช่นเดียวกัน จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำงานที่ท่านอ๋องมอบหมายให้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่ว์จงเจ๋อแสดงจุดยืนอย่างรวดเร็ว“มันเป็นเรื่องความเป็นความตายของพวกเรา เราจะเอาชนะความยากลำบากนี้ได้ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจแบ่งกองกำลังของเราออกเป็นสามกลุ่ม…”เซียวหลินเทียนมองไปทางฉินซาน “แม่ทัพฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าเคยอยู่ที่ชายแดนและรู้ภาษาถิ่นอยู่บ้าง ข้าอยากให้เจ้าพาคนหลายสิบคนแอบเข้าไปในเมืองเว่ยโจวก่อน!”“ภารกิจของเจ้าคือตรวจสอบรายละเอียดหยางช่างจื้อ
ณ เวลานี้เผยอวี้กับหลิงหว่านกำลังเดินไปในภูเขาลึกพร้อมกับทหารสองสามคน หลังจากเดินมาเป็นเวลานาน พวกเขาก็กลับมาที่จุดเดิมอีกครั้งเผยอวี้สีหน้ามืดมนลง เขาฟันต้นไม้ที่มีเครื่องหมายดาบอย่างเหนื่อยหน่าย“นี่ถูกผีบังตาหรือไม่? เหตุใดเดินมาหลายรอบแล้วก็ยังกลับมาที่เดิมเล่า!”หลิงหว่านกลอกตาใส่เขา หลังจากเดินมานานนางก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงนั่งลงบนพื้นพลางเอ่ย“ข้ามิไปแล้ว พวกท่านก็อย่าไปเลย! รอจนรุ่งสางค่อยหาทางเถิด! มิฉะนั้นเราทุกคนคงจะเหนื่อยตายกันในภูเขานี้”ผู้ใต้บังคับบัญชาของเผยอวี้ทรุดตัวลงบนพื้นทีละคน เห็นด้วยกับคำพูดของหลิงหว่าน “แม่ทัพเผย พักอยู่ที่นี่กันสักคืนเถิดขอรับ! เราเดินไม่ไหวแล้วจริง ๆ!”ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนบ่นกับเผยอวี้ หากเผยอวี้ไม่ยืนกรานที่จะรวบรวมเครื่องยาสมุนไพรให้เพียงพอ พวกเขาคงมิต้องเข้ามาในภูเขาลึกเช่นนี้ แล้วก็คงมิหลงทางอยู่ในภูเขาด้วยก่อนหน้าหมอเฒ่าเคยเตือนไว้แล้วว่า ในภูเขาลึกมันจะหลงทางได้ง่าย แต่เผยอวี้กลับพูดอย่างหนักแน่นว่าตนจะทำเครื่องหมายไว้ มิหลงทางแน่นอนไหนเลยจะคิดว่า แม้ว่าจะทำเครื่องหมายไว้แล้วแต่พวกเขาก็มิสามารถหาทางกลับได้อยู่ดี“พวกเจ้าพั
ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน แต่หลิงหว่านรู้สึกว่ามีคนบีบตนนางจึงสะดุ้งฟื้นขึ้นมาตรงหน้านางยังคงมืดมน หลิงหว่านเอื้อมมือออกไปสัมผัสมือข้างหนึ่ง แล้วนางก็กรีดร้องด้วยความตกใจ“กรี๊ด… ใครกัน?”“คุณหนูใหญ่… ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว!”เผยอวี้เรียกอย่างอ่อนแรง “เจ้าอย่าขยับ… เราตกหลุมกับดัก! ข้าได้รับบาดเจ็บ!”“ท่านได้รับบาดเจ็บตรงที่ใด?”หลิงหว่านตกใจกับคำพูดของเผยอวี้ แต่รู้สึกได้ว่าเผยอวี้อยู่ข้างใต้นาง นางก็มิกล้าขยับตัวเพราะกลัวว่าจะทำให้เผยอวี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากขึ้นอีก“ยื่นมือไปในอ้อมแขนของข้า ในนั้นมีตะบันไฟอยู่ หยิบออกมาจุดไฟแล้วดูบริเวณโดยรอบก่อน!”หลิงหว่านคลำหาและลากมือไปตามอาภรณ์ของเผยอวี้เผยอวี้อธิบายไม่ถูกว่าเป็นเยี่ยงไร เขารู้สึกว่าสตรีผู้นี้สัมผัสไปทั่ว ชายวัยหนุ่มพลุ่งพล่านเช่นเขาจะทนรับสัมผัสของมือนุ่ม ๆ ได้เยี่ยงไรกัน!“เร็วเข้าสิ เหตุใดจึงชักช้าร่ำไรนักเล่า?”เขาแสร้งทำเป็นดุไป “ไฉนคนที่บาดเจ็บจึงมิใช่เจ้ากัน! ข้าเลือดออกจนจะตายอยู่แล้ว!”หลิงหว่านตกใจกลัวแล้วปัดป่ายมือไปมั่ว ๆ ในที่สุดนางก็หาตะบันไฟเจอจึงเอาออกมาจุดไฟ จากนั้นจึงได้เห็นชัดว่าพวกเขาตกลงมาในก
หลิงหว่านเข้าใจเจตนาของเผยอวี้ แต่นางก็ยังทนมิได้ “ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าทิ้งท่านไว้มิได้หรอก!”“หากเจ้าอยู่ที่นี่ เราสองคนจะตายกันอยู่ที่นี่ทั้งคู่! ขึ้นไปเร็วเข้า จะมัวชักช้าอยู่ไย!”เผยอวี้คว้ามือของหลิงหว่านแล้วดึงนางเข้ามาหาตนเองหลิงหว่านมองไปที่ปากกับดัก แล้วทำได้เพียงยืนบนไหล่ของเผยอวี้“เตรียมตัวให้พร้อมนะ ข้าจะลุกขึ้นส่งเจ้าขึ้นไป เจ้าก็รีบจับปากกับดักแล้วปีนขึ้นไปเสีย!”เผยอวี้รอให้หลิงหว่านยืนอย่างมั่นคงก่อน จากนั้นก็ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ แบกนางให้ยืนขึ้น“อีกนิด…”หลิงหว่านมองเห็นแสงจันทร์ด้านนอกปากกับดักแล้ว แต่มันก็ยังห่างเกือบช่วงแขน“เตรียมพร้อม...ขึ้นไป…”เผยอวี้ออกแรงทั้งหมดกระโดดขึ้นไป หลิงหว่านก็พ้นจากปากกับดักไปได้ครึ่งตัวแล้ว“ข้าออกมาได้แล้ว…”หลิงหว่านรู้สึกว่าด้านล่างเท้าของนางว่างเปล่า นางรีบดันร่างกับข้างหลุมแล้วปีนออกจากกับดักด้วยความยากลำบาก“แม่ทัพเผย… ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”หลิงหว่านหันกลับไปมองเผยอวี้ แล้วก็เห็นว่าเผยอวี้ล้มลงไปกับพื้น“แม่ทัพเผย… ท่านเป็นอะไรหรือไม่? แม่ทัพเผย?”หลิงหว่านเรียกอยู่หลายครั้ง แต่เผยอวี้ก็ไม่ตอบหลิงหว่านกัง
เซียวหลินเทียนพาพวกจ้าวซวนเดินหน้าต่อไป พวกเขาต้องระวังหลีกเลี่ยงกับดักที่อยู่ใต้เท้าด้วย ความเร็วในการเดินทางจึงช้าลงเล็กน้อยหลังจากเดินไปได้ประมาณครึ่งชั่วยาม ก็เห็นแสงริบหรี่อยู่ฝั่งตรงข้าม“พวกเจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อน ข้ากับจ้าวซวนจะไปดูหน่อย!”เซียวหลินเทียนรู้ว่าเข้าใกล้ภูเขาด้านหลังของเจ่าจวงแล้ว จึงให้พวกองครักษ์พักอยู่ที่เดิมก่อน ส่วนตนกับจ้าวซวนก็ไปตรงสถานที่มีไฟริบหรี่อย่างเงียบ ๆหลังจากเดินไปอีกประมาณเวลาหนึ่งก้านธูป ทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังมาจากทางแสงไฟนั้นจากนั้นเสียงก่นด่าของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา “โชคไม่ดีเลย คนทำงานให้น้อยลงทุกที ไม่ให้เงินพวกข้าเพิ่มเงิน ทั้งยังให้พวกข้าทำหลายอย่างอีก หยางต้าหู่ควรเปลี่ยนชื่อของเขาเป็นหยางขูดเลือดนะ!”“พี่ใหญ่ เบาเสียงลงหน่อย หากมีใครได้ยินเข้า พี่จะถูกทุบตีอีก!” เสียงหนึ่งกระซิบ“ทำงานหนักแทบตายยังมิได้รับอนุญาตให้บ่นอีกหรือวะ!”ชายคนนั้นถอนหายใจ แต่ลดเสียงลง “เสี่ยวอู่ ในช่วงนี้หยางขูดเลือดไม่อนุญาตให้เราออกไปเดินเพ่นพ่าน ไม่รู้ว่าที่บ้านเกิดอะไรขึ้นหรือไม่! ได้ยินมาว่ามีคนข้างนอกติดเชื้อโรคระบาดมากหลาย มิรู้ว
อยากได้เท่าใดก็มีให้?เซียวหลินเทียนขมวดคิ้ว ทุก ๆ ปีทางราชสำนักล้วนเก็บรวบรวมในจำนวนที่คงที่ แล้วหยางต้าหู่เอามาความกล้าจากไหนมาพูดเกินจริงเช่นนี้!หรือว่ามีการใช้พืชผลสำรองในคลังของแคว้น?ทางการท้องถิ่นทุกแห่งมีคลังพืชผลเพื่อบรรเทาทุกข์แผ่นดินไหว และเตรียมพร้อมสำหรับการบรรเทาทุกข์ในสงครามฉุกเฉินหากหยางช่างจื้อข้าหลวงเว่ยโจวกล้าเอาพืชผลที่เก็บไว้ในคลังแคว้นก็เพียงพอที่จะตัดหัวเขาแล้ว!เซียวหลินเทียนเห็นทั้งสองคนกำลังคุยกัน เมื่อรถม้าบรรทุกเครื่องยาสมุนไพรจนเต็มแล้วก็หายไปบนถนนจากด้านหลังกระท่อมนั้นทีละคันเซียวหลินเทียนเห็นชายเหล่านั้นกับท่านเหอขึ้นรถม้าไปด้วย คนงานที่ขนยาก็แยกย้ายกันไปหมดในท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสองพี่น้องนั้นเซียวหลินเทียนรออยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เห็นทั้งสองเข้าไปในกระท่อม จากนั้นเขาก็ไปแนบหูที่ผนังกระท่อมเสียงของเสี่ยวอู่ดังมาจากข้างใน “พี่ใหญ่ วันพรุ่งเหลือสินค้าชุดสุดท้ายแล้ว หากเจ้าจะหนีไปจริง ๆ ก็มีเพียงสองวิธี วิธีแรกคือการซ่อนตัวในสินค้าแล้วแอบออกไป เมื่อออกไปข้างนอกได้แล้วค่อยคิดหาทางหนีอีกที!”“อีกวิธีหนึ่งก็คือ แสร้งทำเป็นผู้ป่วยโรคระบาดและหนีออกไป
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนยอมจำนนแล้ว เซียวหลินเทียนก็ผ่อนน้ำเสียงลง“เช่นนั้นข้าถามสิ่งใด พวกเจ้าต้องตอบตามความจริง มิเช่นนั้นหากข้าตรวจสอบเจอจะไม่มีการผ่อนปรน!”“ใต้เท้าถามเลยขอรับ ข้าจะบอกท่านทุกอย่าง!” ชายคนนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคว้าโอกาสนี้ไว้เซียวหลินเทียนจึงเอ่ยถาม “เจ้ามีนามว่าอะไร?”ชายคนนั้นเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้านามว่าหยางเม่า นี่คือน้องชายของข้านามว่าหยางอู่ขอรับ!”“ครอบครัวใหญ่ทางตะวันตกของหมู่บ้านเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับหยางต้าหู่กับทำธุรกิจขายยาทั้งหมดใช่หรือไม่?”หยางเม่าพยักหน้า แล้วบอกทุกสิ่งที่เขารู้เองโดยที่เซียวหลินเทียนมิต้องถามอีกหลายปีมานี้หยางต้าหู่สมรู้ร่วมคิดกับข้าหลวงเว่ยโจว มิเพียงแต่ขายอาหาร แร่เหล็ก แต่ยังรวมถึงอาวุธกับสิ่งของต่าง ๆ ที่ฉีตะวันออกขาดแคลนอีกด้วยการขายเครื่องยาสมุนไพรเริ่มต้นเมื่อโรคระบาดเกิดขึ้นในฉีตะวันออก ครอบครัวใหญ่หลายครอบครัวทางตะวันตกของหมู่บ้านร่วมมือกันรวบรวมเครื่องยาสมุนไพรจากแต่ละที่ทั่วแคว้นมารวมกันไว้ที่เจ่าจวงแล้วขนส่งไปยังฉีตะวันออก“ใต้เท้า ก่อนหน้านี้ข้ามิรู้ว่าพวกเขาส่งของไปยังฉีตะวันออก ข้ากับพวกชาวบ้านคิดว่าพว