ท่านอ๋องเฉิงเป็นผู้บัญชาการขุนนางฝ่ายในของราชสำนัก มีกลอุบายใดบ้างเล่าที่เขามิเคยเห็น หลังจากที่คิดเชื่อมโยงในเรื่องนี้แล้ว ก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นเขารู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ เซียวทงเป็นถึงองค์หญิงหก แต่ใช้วิธีการใส่ร้ายที่มิเป็นประโยชน์ต่อผู้ใดเลยแต่พอเห็นเซียวทงที่หน้าซีดแล้ว ท่านอ๋องเฉิงก็ไม่อยากให้เซียวทงเสียหน้าเซียวทงอับอาย และเป็นเรื่องที่ทั้งราชวงศ์อับอายด้วย!ท่านอ๋องเฉิงยิ้มบาง ๆ“เมื่อครู่องค์หญิงหกอาจทำจี้หยกหล่นหายจึงร้อนใจมากเกินไป มิได้ดูให้ชัดว่าเป็นจี้หยกของตนหรือไม่… ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างชัดเจนแล้ว เซียวทง เอาจี้หยกของเจ้ากลับไปสิ!”“ต่อไปก็อย่าไปทำตกที่ไหนอีก!”ทันทีที่เซียวทงได้ยินท่านอ๋องเฉิงช่วยนางโกหก ก็ยิ้มทันทีพลางเอ่ย “เพคะ หม่อมฉันร้อนใจมากก็เลยมองมิชัด!”นางหยิบจี้หยกจากในมือของท่านอ๋องเฉิงแล้วรีบเก็บไปหากจี้หยกนี้แตกไปจริง ๆ นางจะต้องถูกเสด็จพ่อดุเป็นแน่องค์ชายสามรุ่ยเซียวหลินเฉียนมองหลิงอวี๋อย่างประหลาดใจ ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อยพระชายาอ๋องอี้ผู้นี้ ดูมิค่อยเหมือนกับที่ร่ำลือกันเลย!น่าสนใจ!หลิงอวี๋เข้าใจเจตนาของท่านอ๋องเฉิงที่จะปกป้อ
“เซียวทง ในเมื่อเจ้าสัญญาแล้ว เช่นนั้นก็ยกน้ำชาขอโทษไปเถอะ!”“เจ้าเชิญแขกมามากถึงเพียงนี้ การปล่อยให้พวกเขารอนั้นเสียมารมาทมากนะ!”ท่านอ๋องเฉิงตัดสินใจแล้วโบกมือให้นางกำนัลไปเอาน้ำชามาเซียวทงกัดฟัน ยังคงมิเต็มใจเท่าไหร่เมื่อฉินรั่วซือเห็นสิ่งนี้ก็ก้าวไปกระซิบข้างหูของนางสองสามประโยคสีหน้าของเซียวทงดีขึ้นเล็กน้อย แล้วมองหลิงอวี๋ได้ ข้าจักให้เจ้าได้ใจไปก่อน แล้วข้าขอจัดการเจ้าในภายหลัง!กระทั่งนางกำนัลเอาน้ำชามา เซียวทงก็รินชาอย่างดีแล้วมอบให้หลิงหว่านอย่างเย็นชา“คุณหนูหลิง ข้าขอโทษ ข้าเข้าใจเจ้าผิด! ข้าขอโทษเจ้าด้วยนะ!”หลิงหว่านตื่นเต้นมากจนแทบจะร้องไห้ออกมา!เดิมทีนางคิดว่าเรื่องความอับอายที่ได้รับในวันนี้คงจะพลิกกลับมาดีมิได้แล้ว เพราะว่าคนที่ทำให้นางอับอายคือองค์หญิงหกผู้เป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิกับไทเฮา!คิดไม่ถึงว่าหลิงอวี๋จะช่วยตนเองแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์แบบ!ไม่เพียงเท่านั้น แต่หลิงอวี๋ยังบีบให้องค์หญิงหกยกน้ำชาขอโทษตนด้วย!อยากถามว่าผู้ใดในเมืองหลวงที่สามารถทำให้องค์หญิงผู้เป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิมายกน้ำชาขอโทษได้ นอกเสียจากพี่สาวของตนผู้นี้!นอ
เห็นว่ากระโปรงนั้นบางราวกับปีกจักจั่นทั้งยังโปร่งแสงราวกับกระโปรงที่สตรีในหอนางโลมใส่ชุดกระโปรงเช่นนี้อย่าว่าแต่ใส่เต้นรำเลย แค่มองมากกว่าหนึ่งครั้งก็ถือว่าดูหมิ่นตนเองแล้วในสายตาของคุณหนูเหล่านี้!มีฮูหยินหลายคนขมวดคิ้ว องค์หญิงหกผู้นี้แย่จริง ๆ ชุดเช่นนี้จะสวมใส่ได้เยี่ยงไร!ท่านอ๋องเฉิงส่ายหัวอย่างหมดคำพูด เซียวทงไปเรียนรู้สิ่งนี้มาจากที่ใดกัน? ทำให้ราชวงศ์อับอายเสียจริง!เซียวหลินเทียนก็ขมวดคิ้วเช่นกัน เขามีลางสังหรณ์ว่าครั้งนี้เซียวทงจะมุ่งเป้าไปที่หลิงอวี๋!ชื่อเสียงของหลิงอวี๋ที่ขึ้นชื่อว่าไม่มีการศึกษาและโง่เขลาได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้วแม้ว่าตอนนี้หลิงอวี๋จะเก่งเรื่องทักษะทางการแพทย์ แต่นางก็ไม่เก่งเรื่องดนตรี หมากรุก อักษรศิลป์ และการวาดภาพ!อันเจ๋อนั่งอยู่ข้าง ๆ เซียวหลินเทียน เขาเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน นอกจากนี้ ภาพที่เซียวทงทำให้หลิงหว่านลำบากใจเมื่อครู่เขาก็ได้เห็นแล้วเขาเหมือนกับเซียวหลินเทียน รู้สึกว่าการกระทำนี้ของเซียวทงมุ่งเป้าไปที่หลิงอวี๋หรือไม่ก็หลิงหว่าน!และมีคุณชายลามกหลายคนที่ดวงตาวาววับเมื่อเห็นชุดนั้น พวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นสตรีร่ายรำในชุดน
เมื่อหลิงอวี๋พบว่าไร้ทางหนีจึงเชิดปากยิ้มกล่าวว่า“องค์หญิงหก ในเมื่อมีบทลงโทษก็ควรมีรางวัลด้วยเพคะ! มิทราบว่ารางวัลคืออันใดเพคะ?”“มีการแข่งขันสี่รายการ ได้แก่ ดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการวาดภาพ การปฏิเสธสิ่งใดสิ่งหนึ่งบทลงโทษคือสุราสามจอก สำหรับรางวัลขององค์หญิงพึงควรเป็นสิ่งล้ำค่าจึงจะกระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วมเพคะ!”“องค์หญิงหกทรงได้รับความเอ็นดูอันลึกซึ้งจากองค์จักรพรรดิ แน่นอนว่าต้องมีของล้ำค่ามากมายที่เรามิเคยพบ ได้โปรดองค์หญิงนำของมีค่าสี่ชิ้นมาเป็นรางวัลเถิดเพคะ!”“หม่อมฉันคิดว่าปิ่นบนพระเศียรองค์หญิงนั้นงามนัก มิสู้องค์หญิงเอามาเป็นรางวัลเล่าเพคะ?”เมื่อหลิงอวี๋เอ่ยเช่นนี้ เซียวทงก็แตะปิ่นที่ปักบนศีรษะโดยสัญชาตญาณครั้นนึกถึงคุณค่าของปิ่น เซียวทงก็ค่อนข้างลังเลใจ“องค์หญิงหกคงตัดใจจากปิ่นอันนี้มิได้! หรือว่าปิ่นที่ดีที่สุดในตำหนักขององค์หญิงมีแค่อันนี้ ไม่มีปิ่นดี ๆ อันอื่นอีกแล้วหรือเพคะ?”“หากองค์หญิงตัดใจมิได้ก็ช่างเถิด… เป็นหม่อมฉันพลั้งปากไปเองเพคะ!”หลิงอวี๋กล่าวด้วยยิ้มตาหยีเมื่อเซียวทงถูกหลิงอวี๋ปลุกปั่นก็พลันร้องเรียกทันควัน “ผู้ใดตัดใจมิได้กัน…! รางวัลช
“หม่อมฉันว่าสร้อยไข่มุกบนคอองค์หญิงหกช่างพิเศษนัก จี้สีเขียวนั่นทำจากวัสดุกระไรเพคะ? ดูมีระดับยิ่งนัก!”หลิงอวี๋กล่าวพลางยิ้มตาหยี “องค์หญิงหกเพคะ สร้อยไข่มุกเส้นนี้นำมาเป็นรางวัลชิ้นที่สามได้หรือไม่เพคะ?”เซียวทงปิดจี้หินโมราเขียวโดยสัญชาตญาณนี่คือของที่องค์จักรพรรดิยึดได้จากสนามรบข้าศึกแห่งฉีตะวันออกในคราก่อน ซึ่งมันมีมูลค่ามหาศาล!นางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่ว่าหลิงอวี๋จะพูดอะไรนางจะไม่นำสร้อยหินโมราเขียวมาเป็นรางวัลเด็ดขาดสิ่งนี้นางกะจะเก็บไว้เป็นสินเดิมในอนาคต!เซียวทงยังไม่ทันเอื้อนเอ่ย หลิงอวี๋พลันพูดว่า “องค์หญิงหกได้รับความเอ็นดูจากองค์จักรพรรดิและไทเฮาโดยแท้!”“เครื่องประดับที่ดูธรรมดาบนพระวรกายล้วนคือของล้ำค่าหายากทั้งสิ้น ในพระตำหนักขององค์หญิงยังต้องมีสมบัติหายากอีกมากโขเป็นแน่!”“องค์หญิงหก สร้อยไข่มุกเส้นนี้ท่านนำมาเป็นรางวัลเถิดเพคะ! โปรดอย่าเสียดายไปเลย… พวกเราต่างไม่เคยพบเห็นสมบัติดี ๆ ขนาดนี้มาก่อน ได้โปรดท่านมอบประสบการณ์แก่เราด้วยเถิด!”“เห้อ เมื่อเทียบกับท่าน พวกเราช่างต่ำต้อยเกินไป! เราไม่มีกระทั่งเครื่องประดับดี ๆ สักชิ้นด้วยซ้ำเพคะ!”หลิงอวี๋เสแสร้งทอด
ครั้นหลิงอวี๋พบว่าบรรลุเป้าหมายก็ปรบมือทั้งกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าว่าแล้วเชียว องค์หญิงต้องมีเครื่องประดับมากมาย พี่ ๆ น้อง ๆ ทั้งหลาย ผู้ใดที่คว้าชัยได้จักต้องขอบพระทัยองค์หญิงหกเป็นแน่!”หลิงอวี๋เชิดริมฝีปาก หัวใจเซียวทงเต้นรัวทันใด สีหน้าผกผันไปเล็กน้อย ราวกับกลัวว่าหลิงอวี๋จะเล็งเครื่องประดับบางอย่างของตนอีกบนตัวเซียวทงไม่มีของล้ำค่าอะไรเหลือแล้ว ยกเว้นหยกห้อยเอวชิ้นนั้นที่องค์จักรพรรดิมอบให้ หรือนางจะเอาหยกห้อยเอวไปเป็นรางวัลอีกเล่า?“เป็นไปมิได้เด็ดขาด!”หากหลิงอวี๋กล้าขอหยกห้อยเอวเป็นรางวัลอีก นางจะชักสีหน้าใส่นางเดี๋ยวนี้เลย!เมื่อหลิงอวี๋เห็นสีหน้าเซียวทงเป็นสีเขียวก็ยิ้มน้อย ๆ กล่าวอย่างใส่ใจ“องค์หญิงหกนำสมบัติล้ำค่าออกมามากปานนี้แล้ว สำหรับชิ้นที่สี่ก็ให้คนอื่นออกแทนเถอะเพคะ!”หลิงอวี๋มองทางจ้าวเจินเจิน กล่าวพลางยิ้มตาหยีว่า“เมื่อครู่องค์หญิงหกตรัสว่าภาพเขียนของพี่สะใภ้รองไร้ผู้ใดเทียม หลิงอวี๋จำได้ว่าพี่สะใภ้รองได้ที่หนึ่งของงานบุปผาในปีที่แล้ว ทั้งยังลือว่าผู้ที่ได้ที่หนึ่งนั้นได้รับรางวัลเป็นมงกุฎดอกโบตั๋น!”“ว่ากันว่ามงกุฎดอกโบตั๋นได้รับการสนับสนุนจากตระกูลกวนในคร
เซียวทงถลึงมองหลิงอวี๋พลางกล่าวเหลืออด“พี่สะใภ้สี่ช่างรอบคอบจริง ๆ! โปรดวางใจ ตัวข้าเตรียมผู้ตัดสินไว้เรียบร้อย! ผู้ที่รับเชิญมาทั้งสี่ในวันนี้ต่างคือปรมาจารย์ทั้งสิ้น!”“ด้านศิลปะดีดพิณคือแม่นางชางหัวหน้านักดนตรีแห่งวังหลวง… ด้านหมากล้อมคือหลวงจีนอวี๋ ด้านอักษรศิลป์คือหลวงจีนซุนอดีตประมุขแห่งสำนักเยวี่ยลู่ ส่วนด้านวาดภาพคือแม่ชีเฉินแห่งสำนักชิงเถิง”เมื่อวาจานี้ขององค์หญิงหกได้เอื้อนเอ่ยก็ดึงดูดความปั่นป่วนทันที ปรมาจารย์ทั้งสี่ท่านต่างคือผู้อาวุโสมากชื่อแห่งลัทธิเต๋าแม่นางชางเชี่ยวชาญเครื่องดนตรีหลายประเภท และมีหูที่แหลมคมจนชวนคนอิจฉานางสามารถจับผิดจังหวะของเครื่องดนตรีได้ทุกประเภทท่ามกลางเสียงอันวุ่นวายส่วนหลวงจีนอวี๋ที่อายุหกสิบในปีนี้ เขาเริ่มเรียนหมากล้อมตั้งแต่สามขวบ และเมื่ออายุได้ยี่สิบปีก็ไม่มีคู่ต่อสู้คนใดในแผ่นดินคว่ำเขาลงหลวงจีนซุนอดีตประมุขแห่งสำนักเยวี่ยลู่เป็นผู้เชี่ยวชาญมีชื่อด้านอักษรศิลป์ เขาไม่เพียงช่ำชองลายมือหลายแบบ แต่เขายังมีลายเส้นโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกด้วยที่ยิ่งสำคัญกว่านั้นคือ หลวงจีนซุนอบรมบ่มเพาะศิษย์มาทั้งชีวิต และลูกศิษย์ก็มีทั่วทุ
เมื่อเซียวทงเห็นจ้าวเจินเจินพูดแบบนี้ก็พยักหน้าทันทีนางปรายมองหลิงอวี๋อย่างขุ่นเคืองพลางกล่าวเย้ย“พี่สะใภ้สี่ ตอนนี้ผู้ตัดสินก็มีแล้ว เจ้าคงไม่มีข้อโต้แย้งอื่นอีกใช่หรือไม่?”ความนัยแฝงคือการเย้ยที่หลิงอวี๋เป่าขนหาข้อด้อย(1)เนื่องตัวเองไร้ความสามารถหลิงอวี๋บรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว พลันกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีข้อโต้แย้ง เริ่มเลยเถิดเพคะ!”หลังจากที่เซียวทงให้อาคันตุกะเลือกผู้ตัดสินสิบคนก็เรียนเชิญปรมาจารย์ทั้งสี่นั่งลงตัดสินเหล่าองค์ชายต่างเป็นผู้ตัดสินอย่างกระตือรือร้นเพราะคนมิพอ พวกเขาจึงเพิ่มสวีฮ่าวตงที่รับตำแหน่งจอหงวน(2)คนใหม่ของปีที่แล้ว เว่ยอี้หลานชายของฮองเฮาเว่ย และจูเฮ่าพี่ชายของพระชายาเย่ ทั้งยังมีโจวเจียงชายผู้มีความสามารถที่กำลังโด่งดังอยู่เมืองหลวงในช่วงนี้เซียวทงสั่งให้นางกำนัลอุ้มกระบอกไม้เซียมซีมาให้ฝูงชนจับฉลากหลิงอวี๋จับมาหนึ่งแท่งโดยไม่ได้มองจ้าวเจินเจินและองค์หญิงหกตั้งใจทำให้ตนขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล ฉะนั้นต้องมีปัญหากับกระบอกไม้เซียมซีอย่างแน่นอนไม่ว่าตนจะจับได้ไม้ใด ผลลัพธ์ก็จะเหมือนเดิม…พระชายาเย่กับหลิงอวี๋นั่งโต๊ะเดียวกัน เมื่อเห็นหลิง