คราวนี้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิได้ตามตระกูลเฉียวเข้าไปที่ภูเขาหิมะด้วย นางเคยประสบกับความน่ากลัวของภูเขาหิมะแห่งนั้นมาครั้งหนึ่งแล้ว และนางก็มิอยากจะหาเรื่องใส่ตัวอีกยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตระกูลเฉียวตามหาหลิงอวี๋เจอก็จะต้องพาตัวกลับไป นางก็อ้างว่าตนบาดเจ็บยังมิหาย จึงจะรอพวกเขาลงจากภูเขาอยู่ในเมืองนี้อีกทั้งที่เมืองเล็กแห่งนี้ก็มิได้มีสถานที่ใดที่น่าสนุกด้วย ในตอนที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยรู้ว่าเผยอวี้ประจำการอยู่ที่เมืองนี้ นางจึงเล็งเป้าไปที่ตระกูลป้าวตระกูลป้าวมีอำนาจแข็งแกร่ง และสามารถเป็นที่พักพิงชั่วคราวของตนได้ดังนั้นจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำความรู้จักกับป้าวซวน ซึ่งเป็นบุตรสาวคนที่สามของป้าวเฉิงบุตรสาวคนโตของป้าวเฉิงสองคนแต่งงานไปแล้ว และในปีนี้ ป้าวซวนผู้นี้ก็อายุสิบเจ็ดปี ว่ากันตามเหตุผลแล้วด้วยอำนาจของตระกูลป้าวผู้ที่จะมาสู่ขอก็น่าจะมีจำนวนมากจนสามารถเข้าแถวได้แล้วแต่เรื่องการแต่งงานของป้าวซวนกลับยังคงล่องลอยอยู่ในอากาศมาโดยตลอดซึ่งสาเหตุก็คือ ป้าวซวนมีปานแดงขนาดใหญ่ที่แก้มซ้ายของนาง ซึ่งทำให้คนที่ได้เห็นต่างก็รู้สึกหวาดกลัวแต่ป้าวเฉิงกลับปฏิบัติต่อบุตรสาวของเขาผ
กระทั่งพวกนางมาถึงเรือนเล็กที่หลิงอวี๋ถูกคุมขังอยู่ จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็มองเห็นแต่ไกลแล้วว่าที่หน้าประตูมีคนรับใช้อยู่กันหลายคน พวกนางกำลังต่อแถวรอให้หมอชั้นเซียนตรวจรักษาให้อยู่“ซวนซวน พวกเราอย่าเพิ่งเข้าไปเลย รอดูอยู่ข้างนอกก่อนดีกว่าว่านางเป็นหมอชั้นเซียนจริงหรือไม่!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยดึงป้าวซวนเอาไว้ แล้วเสนอออกไปเช่นนั้นป้าวซวนคิดว่าสมเหตุสมผลดี ดังนั้นนางจึงยืนดูอยู่ที่หน้าประตูกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจ้าวหรุ่ยหรุ่ยมองข้ามหัวของฝูงชนเข้าไปแล้วก็เห็นว่าข้างในนั้นมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง และสตรีคนหนึ่งก็กำลังนั่งตรวจชีพจรของผู้ป่วยอยู่ที่โต๊ะตัวนั้นรอยแผลเป็นที่แน่นขนัดอยู่บนใบหน้าด้านข้างนั้นทำให้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมีความสุขขึ้นมาทันทีหลิงอวี๋!ฮ่า ๆ ตระกูลเฉียว ตระกูลเก๋อและเซียวหลินเทียนต่างก็วิ่งวุ่นไปจนถึงที่วังเทพเพื่อตามหาหลิงอวี๋ แต่ไหนเลยจะคิดว่าหลิงอวี๋กลับมาอยู่ที่นี่นี่คือของกำนัลที่ดีที่สุดที่สวรรค์ประทานให้ตนเลยทีเดียว!หากไม่มีตระกูลเฉียวและตระกูลเก๋อมาแย่งชิงหลิงอวี๋กับนาง นางก็จะสามารถนำหยกหล้าสุขาวดีออกจากตัวหลิงอวี๋ได้อย่างราบรื่นในหัวของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยกำลังครุ่นคิดอย่างร
หลิงอวี๋มิรู้ตัวว่ามีอันตรายกำลังใกล้เข้ามา นางเอาแต่จ้องมองจ้าวหรุ่ยหรุ่ย และเมื่อเห็นว่านางเข้ามาใกล้ตน ก็ถอยหลังไปหลายก้าวตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็เอ่ยถามออกไป“คุณหนูจ้าว ท่านบอกข้ามาตามตรงเถิดว่าพวกเราไปถึงที่ภูเขาหิมะนั้นได้อย่างไร?”หลิงอวี๋นึกถึงสิ่งที่หวงฝู่หลินพูดกับตนว่า ตันเถียนของตนถูกคนผนึกเอาไว้หรือว่าคนผู้นั้นจะเป็นจ้าวหรุ่ยหรุ่ย?ช่วงสองสามวันมานี้หลิงอวี๋เป็นกังวลว่า เด็กในท้องจะเจริญเติบโตได้อย่างราบรื่นหรือไม่ และจะเกิดมาพิการหรือไม่หากพิสูจน์แล้วว่า จ้าวหรุ่ยหรุ่ยทำร้ายลูกของตน นางจะต้องสังหารจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอย่างแน่นอน!“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วมิใช่หรือ? พวกเราเจอพวกค้ามนุษย์ แล้วพวกเขาก็พาเราไปที่ภูเขาหิมะ!”เมื่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเห็นว่าหลิงอวี๋กำลังระแวงตนอยู่ นางก็รู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย หรือว่าหลิงอวี๋จะจำบางเรื่องขึ้นมาได้แล้ว?ตอนนั้นพลังที่ตันเถียนของนางกำลังจะสลายไป นางจึงมิแน่ใจว่าผนึกที่ตนทำไว้กับหลิงอวี๋นั้นตรงทุกตำแหน่งหรือไม่“เจ้าโกหก ภูเขาหิมะมีการป้องกันหนาแน่นนัก อีกทั้งยังมีค่ายกลที่สามารถกักขังผู้คนไว้ได้เป็นจำนวนมาก พวกค้ามนุษย์ไม่มีทางที่จ
แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนแล้ว แต่ความเคลื่อนไหวที่คฤหาสน์ตระกูลป้าวนั้นก็ทำให้เผยอวี้ที่จับตาดูตระกูลป้าวอยู่ตลอดรู้ข่าวในทันทีเมื่อเขาได้ยินว่าหลิงอวี๋หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หัวใจของเขาก็เต้นรัว และมิสนใจอะไรแล้ว เขาเรียกตัวผู้ว่าการอำเภอหยางมาทันที แล้วนำกลุ่มคนมุ่งไปที่คฤหาสน์ตระกูลป้าวในขณะที่ป้าวเฉิงกำลังรู้สึกเป็นกังวลเรื่องที่หลิงอวี๋กับบุตรีสุดที่รักของตนหายตัวไป เมื่อได้ยินว่าเผยอวี้นำกำลังทหารมาถึงหน้าประตู เขาก็ยิ่งโกรธเกรี้ยวขึ้นกว่าเดิม จากนั้นเขาก็ถือกระบี่หมายจะพุ่งออกไปสังหารเผยอวี้ในทันใดแต่ป้าวฮุยบุตรชายของป้าวเฉิงกลับรีบมาขวางทางพ่อของเขาเอาไว้ แล้วเอ่ยเตือนออกไป “ท่านพ่อ อย่าได้หุนหันพลันแล่น!”“จุดประสงค์ที่แม่ทัพเผยกับคนของทางการมาที่นี่ก็เพราะหลิงอวี๋ แต่น้องสามก็หายตัวไปเช่นกัน หากคิดจะไปสู้กับพวกเขาจนตัวตายในเวลานี้มันมิคุ้มหรอกขอรับ!”“จากที่ลูกมอง ลูกคิดว่าสู้บอกความจริงกับพวกเขาไปเลยดีกว่า เราก็จะได้อาศัยกำลังความช่วยเหลือของพวกเขาในการตามหาน้องสามด้วย!”ป้าวเฉิงก็เอ่ยขึ้นมาอย่างโกรธ ๆ “พวกเขาจะต้องมาช่วยหลิงอวี๋ออกไปเป็นแน่ พวกเขาแค่แสร้งทำเป็นมาตาม
ป้าวฮุยจึงอธิบายออกไป “แม่นมเฝิงบอกว่า น้องสามของข้าไปหาหลิงอวี๋ให้ตรวจรักษา นอกจากนางแล้ว ก็ยังมีคุณหนูสกุลจ้าวอีกคนด้วย!”“คุณหนูจ้าวเข้าไปตรวจก่อน จากนั้นเมื่อน้องสามคุยกับแม่นมเฝิงเสร็จแล้วนางก็ตามไปแล้วเห็นแสงในห้องดูแปลกประหลาดจึงเข้าไปตรวจดู ผลก็คือนางหายตัวไปในวงแหวนหลากสีนั้นด้วย!”“สกุลจ้าว?”“นางชื่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยใช่หรือไม่?”เผยอวี้เอ่ยถามออกไปด้วยความกังวล“ดูเหมือนว่าจะชื่อนี้นะ!”ป้าวฮุยจำได้ราง ๆ ว่าป้าวซวนเรียกคุณหนูจ้าวเช่นนี้เผยอวี้รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก จ้าวหรุ่ยหรุ่ยอีกแล้ว!วงแหวนหลากสีนั้นจะต้องเกิดจากลูกแก้ววิญญาณอีกแน่ ๆ แต่หานเหมยบอกว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยสูญเสียพลังไปแล้วมิใช่หรือ?เหตุใดนางยังเปิดใช้งานลูกแก้ววิญญาณได้อยู่?“จ้าวหรุ่ยหรุ่ยผู้นี้คือใครหรือ?”ป้าวฮุยเห็นว่าสีหน้าของเผยอวี้ที่เปลี่ยนแปลงไปมา จึงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามออกไปหลังจากที่เขาบอกตนมามากมายถึงเพียงนั้นแล้ว หากตนมิบอกข้อมูลให้เขาฟังสักหน่อยก็คงจะมิถูกต้อง ดังนั้นเผยอวี้จึงอธิบายเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างจ้าวหรุ่ยหรุ่ยกับหลิงอวี๋ไปอย่างง่าย ๆสุดท้ายเผยอวี้ก็ยิ้มขมขื่นออกมา “สิ่งท
ตอนนั้นหวงฝู่หลินยังมิรู้ว่าหวงฝู่หมิงจูไปแล้ว ตอนที่เขาได้ยินนางกำนัลของตำหนักรุ่ยจูบอกว่าหวงฝู่หมิงจูมิได้กินข้าวเย็นและหาตัวมิพบ เขาก็ยังอยู่ว่านางคงโกรธแล้วไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในตอนแรกหวงฝู่หลินก็มิได้ใส่ใจ และให้พวกนางกำนัลตามหาเจ้าวังน้อยให้ทั่ว แต่จนถึงเวลาเข้านอนแล้วก็ยังคงหาตัวพบเลยหวงฝู่หลินจึงให้ความสนใจในทันที เพราะแม้ว่าหวงฝู่หมิงจูจะเอาแต่ใจ แต่ก็มิเคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อนเขารีบไปที่ตำหนักรุ่ยจูทันที และทำการซักถามนางกำนัลที่รับใช้หวงฝู่หมิงจูเหล่านั้น จึงได้รู้ว่าเสวี่ยเหมยก็หายตัวไปด้วยกัน“ท่านเจ้าวังเพคะ พี่หญิงเสวี่ยเหมยรับใช้เจ้าวังน้อยมาโดยตลอด หลังจากที่อาอวี๋ไปแล้ว นางก็ยิ่งตัวติดกับเจ้าวังน้อยมิห่างไปไหน บ่าวได้ยินนางกับเจ้าวังน้อยก่นด่าอาอวี๋ด้วยกันเพคะ ทั้งยังบอกอีกด้วยว่าหากมีโอกาสลงจากภูเขาไป นางจะช่วยเจ้าวังน้อยระบายโทสะ!”ลิ่งหูหลินก็ตามหวงฝู่หลินมาเช่นกัน เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างร้อนใจ “ท่านพี่หลิน หรือว่าทาสชั้นต่ำเสวี่ยเหมยนั่นยุยงให้หมิงจูออกไปตามแก้แค้นอาอวี๋?”“แล้วจะทำอย่างไรกันดี? ตั้งแต่เกิดมาหมิงจูก็มิเคยออกไปจากวังเท
แต่เพราะลิ่งหูหลินดูแลวังเทพมาหลายปี ภายใต้วิธีการข่มขู่และล่อใจของนาง จึงสามารถดึงข้อมูลเกี่ยวกับเสวี่ยเหมยออกมาจากปากนางกำนัลหลายคนได้ได้ข้อมูลจากทางนั้นนิดทางนี้หน่อย จากนั้นก็นำมารวมกันจนได้ประวัติของเสวี่ยเหมยออกมาเสวี่ยเหมยถูกพวกค้ามนุษย์ลักพาตัวมาขายตั้งแต่นางยังเด็ก ลักพาตัวไปลักพาตัวมาจนมิอาจหาที่มาเริ่มแรกสุดของนางได้แล้ว กระทั่งถูกตระกูลลิ่งหูซื้อเสวี่ยเหมยให้มาติดตามภรรยาของหวงฝู่หลินไปที่วังเทพ ตอนนั้นเสวี่ยเหมยอายุสิบห้าปี แล้วก็ยังมีบ่าวชายอีกหลายคนที่มาวังเทพพร้อมกับพวกนางหนึ่งในบ่าวชายเหล่านั้นมีเฝิงเจี๋ยที่ได้ใช้เวลาร่วมกันกับเสวี่ยเหมยในระหว่างนั้น และได้เกิดความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน แต่เนื่องจากกฎของวังเทพ ทั้งสองคนจึงมิกล้าที่จะเปิดเผย และทำได้เพียงนัดพบกันลับหลังคนอื่น ๆ เท่านั้นไป ๆ มา ๆ ความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งสองคนก็ถูกเสวี่ยหลานพบเข้าในวังเทพนั้นมีสตรีมากมีบุรุษน้อย อีกทั้งเฝิงเจี๋ยก็รูปงาม ดังนั้นเสวี่ยหลานจึงตกหลุมรักเขาเช่นกันเสวี่ยหลานแอบยั่วยวนเฝิงเจี๋ยลับหลังเสวี่ยเหมย แต่เฝิงเจี๋ยมิได้ชอบนางจึงปฏิเสธไปเมื่อเป็นเช่นนั้นหลายครั้งเข้า เสวี่ยห
พวกฉินซานยังตามหาพวกเซียวหลินเทียนมิพบ หุบเขาทั้งหมดก็ถูกทำลายไปแล้ว ยอดน้ำแข็งด้านบนก็ถล่มลงมาก่อตัวเป็นภูเขาน้ำแข็งลูกใหม่หากคิดที่จะขุดภูเขาน้ำแข็งลูกนี้ออกมา ก็ถือเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปมิได้ฉินซานรอจนกระทั่งหุบเขากลับสู่ความสงบลงก่อน แล้วจึงจะเข้าไปตรวจสอบ แต่ก็ไม่มีช่องว่างที่สามารถลงไปได้เลยหานเหมยกับคนอื่น ๆ เห็นสถานการณ์เช่นนั้นแล้วก็ล้วนสิ้นหวังกันหมด พวกเซียวหลินเทียนติดอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง แล้วยังจะมีโอกาสที่พวกเขาจะรอดชีวิตหรือ?“ข้ามิเชื่อว่าองค์จักรพรรดิจะสวรรคตไปเช่นนี้ ภูเขาน้ำแข็งนี้ไม่มีทางที่จะถมจนเต็มหุบเขาทั้งหมดได้ มันจะต้องมีที่ว่างด้านล่างอย่างแน่นอน!”“บางทีองค์จักรพรรดิกับคนที่เหลืออาจจะโชคดีที่ตกลงไปในช่องว่างก็ได้ แล้วพวกเขาก็ยังรอให้เราไปช่วยเหลือพวกเขาอยู่ พวกเราจะยอมแพ้มิได้!”ฉินซานเอ่ยขึ้นมาอย่างหนักแน่นซูจู๋นางรับใช้ของคุณหนูใหญ่เก๋อจะมีความมั่นใจเท่ากับที่ฉินซานมีได้อย่างไร ซูจู๋เห็นภูเขาน้ำแข็งเหล่านั้นแล้วนางก็เอ่ยขึ้นมา “หากพวกเจ้าจะค้นหาต่อก็หาไปเถิด! พวกเราต้องกลับไปรายงานคุณหนูรอง และให้นางเป็นผู้ตัดสินใจ!”หลังจากพูดจบแล้ว ซูจู๋ก็พ
หวงฝู่หลินก็มิได้ใส่ใจ เขาค่อนข้างมิพอใจที่เซียวหลินเทียนตามติดตนมาราวกับกอเอี๊ยะที่เหนียวแน่นเช่นนี้ เขาจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีก แต่พลังของปี้ซงมิเท่าพลังของเขา ดังนั้นในเวลามินานเซียวหลินเทียนก็ตามมาทันแล้วใบหน้าของหวงฝู่หลินดูหม่นหมองลง และกำลังคิดว่าจะสังหารเซียวหลินเทียนดีหรือไม่ แต่แล้วเขาได้ยินเสียงแปลก ๆ… มันคือเสียงการต่อสู้ด้วยอาวุธนั่นเองดวงตาของหวงฝู่หลินดุร้ายขึ้นมาทันที และรีบขึ้นไปบนภูเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาขึ้นไปถึงครึ่งทางภูเขา เขาก็เห็นควันหนา ๆ พวยพุ่งออกมาจากตำหนักปีกเงินที่อยู่บนยอดเขานั้นเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!หวงฝู่หลินก็ยิ่งร้อนใจ เหตุผลหลักที่เขาเลือกที่จะมาขอความช่วยเหลือจากตำหนักปีกเงินนั้น ก็เพราะว่าเหวินเหรินจิ้นเจ้าตำหนักปีกเงิน คือหนึ่งในสหายสนิทที่มีเพียงมิกี่คนของเขาและเช่นเดียวกับหวงฝู่หลิน ตำหนักปีกเงินแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ตระกูลเหวินเหรินอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคนแล้ว หวงฝู่หลินมิอนุญาตให้ผู้ใดทำลายวังเทพของตน แล้วเหวินเหรินจิ้นจะยอมให้ใครมาทำลายตำหนักปีกเงินของเขาได้อย่างไรกัน!หรือว่าเหวินเหรินจิ้นจะตกอยู่ในอันตราย?หวงฝู่หลินเร่งฝีเท้า แล้วเดิ
สิ่งที่เซียวหลินเทียนคาดมิถึงก็คือ หวงฝู่หลินเองก็มาที่ภูเขาห้ายอดด้วยเช่นกันในวันนั้นหวงฝู่หลินพาปี้ซงลงมาจากภูเขา แล้วระหว่างทางก็ถูกจงเจิ้งขวางทางไว้หวงฝู่หลินที่มาสังหารผู้คนเพื่อหวงฝู่หมิงจูนั้น สุดท้ายแล้วก็เอาชนะมือสังหารที่ตระกูลจงเจิ้งทิ้งไว้ได้ และหลังจากการซักถามก็ได้รู้ว่า หวงฝู่หมิงจูถูกจงเจิ้งหลินคุณชายของตระกูลจงเจิ้งจับตัวไปเดิมทีจงเจิ้งหลินคิดว่าจะจับหวงฝู่หมิงจูเป็นตัวประกัน แล้วบีบให้หวงฝู่หลินทำลายค่ายกลที่อยู่โดยรอบภูเขาหิมะไปเสีย และให้ส่งมอบวังเทพมาไหนเลยจะคิดว่าหวงฝู่หลินจะสั่งให้เสือดาวหิมะพุ่งเข้าไปโดยมิเอ่ยอะไรสักคำ ตนก็ตามไปสังหารด้วยเช่นกันการโจมตีที่ตั้งรับมิทันนั้นทำให้จงเจิ้งหลินตกใจกลัว เมื่อเขาเห็นว่าคนของตนตามไปเป็นจำนวนมากภายในชั่วพริบตาเช่นนั้น ก็ตกใจกับวรยุทธ์ที่ไร้ผู้ใดเทียบของหวงฝู่หลิน จากนั้นจึงรีบเปิดใช้งานลูกแก้ววิญญาณอย่างรวดเร็ว แล้วพาหวงฝู่หมิงจูกับเสวี่ยเหมยหนีไปก่อนแต่หวงฝู่หลินหรือจะยอมแพ้ไปเช่นนี้ เขาก็ใช้มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตน แล้วไล่ตามเข้าไปในแดนเทพเช่นกันเพียงแต่เมื่อเข้าสู่แดนเทพแล้ว เนื่องจากทิศทางที่มานั้นแตกต่
“นอกจากตำหนักหมาป่าสวรรค์แล้ว ไม่มีกลุ่มที่ซื่อสัตย์สักหน่อยที่สามารถสืบข่าวได้เลยหรือ?”เซียวหลินเทียนคิดแล้วเอ่ยถามออกมากลุ่มของพวกเขามีกำลังคนจำกัด และมิคุ้นเคยกับแดนเทพด้วย หากมิอาศัยกำลังจากภายนอกมาช่วยเหลือ แล้วต้องการจะตามหาหลิงอวี๋ให้พบเร็วยิ่งขึ้นก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปมิได้เลยเก๋อเฟิ่งฉิงครุ่นคิด แล้วเอ่ยขึ้นมา “ยังมีตำหนักปีกเงินอีกที่สืบข่าวเก่งมาก เพียงแต่พวกเขามิรับงานมาเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้ว และลูกศิษย์ในสำนักก็กระจัดกระจายกันไปมาก!”“ว่ากันว่าเจ้าตำหนักของพวกเขาติดโรคประหลาด จากนั้นเขาก็กลายเป็นคนนิสัยประหลาด และอารมณ์แปรปรวนมากด้วย ดังนั้นจึงมิทำการค้าแล้ว!”“ในตอนที่ตำหนักปีกเงินมีอำนาจแข็งแกร่งอยู่ก่อนหน้านี้ ตำหนักของพวกเขาอยู่เหนือกว่าตำหนักหมาป่าสวรรค์มาก ในการหาคนสืบข่าวนั้น หากพวกเขาได้ชื่อว่าเป็นที่สองก็ไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่งแล้ว!”“อีกอย่างคือ พวกเขาทำงานอย่างยุติธรรมมาก เมื่อรับงานมาแล้วพวกเขาจะไม่มีทางเล่นลิ้นอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เสื่อมสลายไปแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!”แต่เซียวหลินเทียนกลับมิได้มองเช่นนั้น อูฐที่ผอมโซก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าอยู่ดี
ขณะที่หลิงอวี๋พักอยู่ที่บ้านตระกูลเก๋อเพื่อรอออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแดนเทพ เซียวหลินเทียนกับพวกเผยอวี้ก็ได้เข้าสู่แดนเทพแล้วเพียงแต่พวกเขาเข้ามาจากป่าของเมืองซานต้ง ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองจงกวนกว่าพันลี้ทีเดียวนี่เป็นครั้งแรกของพวกเซียวหลินเทียนที่เข้ามาในแดนเทพ เดิมทีพวกเขาคิดว่าแดนเทพจะเป็นดังเช่นที่ขันทีโม่ได้บอกไว้ว่า จะมีผู้บำเพ็ญตนอยู่มากมาย แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้พวกเขาผิดหวังยิ่งเมืองหลายแห่งที่นี่ล้วนเหมือนกับที่ฉินตะวันตก ราษฎรล้วนเป็นคนธรรมดาทั่วไปและใช้ชีวิตในแบบเดียวกับราษฎรฉินตะวันตก เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็ทำงาน เมื่อพระอาทิตย์ตกก็พักผ่อน และทำงานหนักเพื่อความอยู่รอด“ท่านสี่ ข้าว่าที่บอกกันว่าแดนเทพเจริญรุ่งเรืองนั้นก็คงเป็นเพียงแค่ชื่อเท่านั้นกระมัง!”เผยอวี้เห็นว่าราษฎรเหล่านั้นเป็นคนธรรมดาก็อดมิได้ที่จะบ่นออกมาแม้ว่าเซียวหลินเทียนจะผิดหวัง แต่ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมา “พวกตระกูลในแดนเทพก็ต้องกินดื่มเช่นกัน หากราษฎรทั่วไปล้วนบำเพ็ญตนอย่างเอาจริงเอาจังเช่นพวกเขา เช่นนั้นใครจะเป็นคนดูแลพวกเขาเล่า!”“นี่เป็นเพียงแค่เสี้ยวเดียวของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น มิได
สองพี่น้องเจียงคือผู้ช่วยชีวิตที่สำคัญที่สุดของเฉียวไป๋ เมื่อเฉียวไป๋รู้ว่าพวกนางเองก็จะติดตามตระกูลเก๋อไปเมืองหลวงแดนเทพด้วย ก็แสดงว่าเมื่อถึงเมืองหลวงแดนเทพ เขาก็สามารถมอบเรือนสี่ประสานให้กับทั้งสองคนได้หลิงอวี๋ได้ยินคำพูดนี้ก็มิได้รู้สึกอะไร ทั้งยังเอ่ยเยาะเย้ยออกไป “รอให้ไปถึงเมืองหลวงแดนเทพก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด! ตอนนี้แม้แต่เงินค่าอาหารกับอาภรณ์ของเจ้าก็ยังได้รับจากตระกูลเก๋อเปล่า ๆ เลย!”“แล้วเจ้ามาบอกว่าจะมอบเรือนสี่ประสานให้พวกเรา ข้าจะเชื่อได้อย่างไรเล่า!”จากนั้นหลิงอวี๋ก็นำกริชของเฉียวไป๋ออกมาโบกไปที่เฉียวไป๋ พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “หากเจ้ามีเงิน ก็มาแลกกริชนี้กลับไปก่อนเถิด!”เฉียวไป๋พูดมิออกไปในทันที แล้วจ้องมองหลิงอวี๋อย่างหดหู่ จากนั้นก็เอ่ยอย่างมิพอใจ“เจ้ามันมิรู้จักแยกแยะของดี เจ้ามิรู้หรอกว่ามูลค่าของกริชเล่มนี้นั้นสามารถซื้อเรือนสี่ประสานได้ถึงสิบหลังเชียว! หากเจ้ามิเชื่อก็รอไปถึงที่เมืองหลวงแดนเทพ จากนั้นเจ้าก็ไปหาคนที่รู้จักของดีมาดูสักหน่อยก็รู้แล้ว!”ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยยิ้มแย้มกันอยู่ เก๋อฮุ่ยหนิงก็เดินเข้ามา หลิงอวี๋จึงเก็บกริชเล่มนั้นกลับไปท
สองวันต่อมา ฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อก็สามารถลุกจากเตียงได้แล้ว และนอกจากสีหน้าที่ยังซีดเซียวอยู่เล็กน้อยกับร่างกายที่ยังคงอ่อนแออยู่นิดหน่อย โดยรวมแล้วนางก็สามารถเดินไปเดินมาในห้องได้แล้วข้าหลวงเก๋อจึงยิ่งให้ความสำคัญกับทักษะการแพทย์ของหลิงอวี๋มากขึ้นไปอีก และให้ฮูหยินเก๋อจัดเตรียมเรือนให้สองพี่น้องตระกูลเจียงอาศัยอยู่โดยเฉพาะเลยข้าหลวงเก๋อเคยถามหลิงอวี๋แล้วว่า ดูจากอาการของฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อแล้วพวกเขาจะออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแดนเทพกันได้เมื่อใดหลิงอวี๋ให้คำตอบมาว่า คงจะครึ่งเดือน เมื่อข้าหลวงเก๋อได้ยินดังนั้น เขาก็เริ่มให้คนเตรียมตัวเรื่องการเดินทางทางด้านฮูหยินเก๋อ นางก็วางแผนไว้ว่าจะจัดงานแต่งงานให้เก๋อฮุยซินกับคุณชายจ้าวก่อนแล้วค่อยออกเดินทางก่อนหน้านี้ตระกูลจ้าวก็กังวลว่า หากฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อตาย เก๋อฮุ่ยซินก็จะต้องไว้ทุกข์ ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมจัดงานแต่งงานไว้ล่วงหน้าแล้วของกำนัลในงานแต่งงานทั้งหมดก็เตรียมเสร็จแล้ว และตระกูลเก๋อก็ตกลงกันได้ทันที ดังนั้นจึงกำหนดวันแต่งงานไว้ในอีกสิบวันต่อมาแต่เก๋อฮุ่ยซินกลับมิได้ยินดีแล้ว มิรู้ว่านางไปได้ยินมาจากใครว่าเก๋อฮุ่ยหนิงช่วยชีวิตค
หลิงอวี๋กำลังอยู่ดูแลฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อ และคิดเรื่องที่จะไปเมืองหลวงแดนเทพ แล้วนางก็เห็นนางรับใช้คนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา“หมอเจียง น้องสาวของท่านกับคุณชายเฉียวเผชิญหน้ากับมือสังหาร คุณชายเฉียวได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณหนูสามให้เชิญท่านไปดูเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงรีบให้แม่นมหลี่คอยดูแลฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อ แล้วนางก็รีบตามนางรับใช้ไปยังเรือนที่เก๋อฮุ่ยหนิงอาศัยอยู่ที่แขนของป้าวซวนเปื้อนไปด้วยเลือด และถูกพันแผลเอาไว้ลวก ๆ เมื่อนางเห็นหลิงอวี๋ ดวงตาของนางก็แดงก่ำแล้วน้ำตาไหลออกมาทันทีก่อนหน้านี้มัวแต่ยุ่งอยู่กับการหลบหนี จนมิรู้จักกลัวอันตรายใด ๆแต่ยามนี้เมื่อนางเห็นหลิงอวี๋ผู้เป็นดั่งพี่สาวของตน ป้าวซวนก็รู้สึกกลัวขึ้นมา“น้องหญิง เจ้ามิเป็นไรใช่หรือไม่?”หลิงอวี๋ประคองป้าวซวนแล้วตรวจดูอาการของนางอย่างกระวนกระวาย ป้าวซวนส่ายหัวพลางสะอื้นเอ่ย “ข้ามิเป็นไร คุณชายเฉียวได้รับบาดเจ็บหนักกว่าข้า เจ้าไปดูอาการเขาก่อนเถิด!”เก๋อฮุ่ยหนิงก็ลุกขึ้นมาจากข้างเตียง แล้วตะโกนออกมา “หมอเจียง เจ้ารีบมาดูคุณชายเฉียวเร็วเข้า เขาได้รับบาดเจ็บหลายจุด มิรู้ว่าชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย
เฉียวไป๋ยกมือขึ้นแล้วฟาดฝ่ามือออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี จากนั้นโต๊ะภายในห้องที่ถูกแยกออกเป็นสองส่วนก็ลอยขึ้นไป แล้วโจมตีใส่มือสังหารตามแรงลมจากฝ่ามือของเฉียวไป๋...ทว่ามือสังหารที่ข้าหลวงเก๋อส่งมาล้วนมีวรยุทธ์แก่กล้าทั้งสิ้น มิได้ด้อยไปกว่าเฉียวไป๋เลยมือสังหารคนหนึ่งฟันโต๊ะที่ปลิวมาหาตน แล้วพุ่งไปหาเฉียวไป๋อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้กระบี่ในมือแทงเข้าไปที่ไหล่ของเขา“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ มานี่เร็วเข้า...”ป้าวซวนตะโกนขึ้นมา นางหวังให้แขกคนอื่นในโรงเตี๊ยมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแต่แขกที่ขี้ขลาดกลัวปัญหาเหล่านั้นหนีกันไปตั้งนานแล้วเมื่อเห็นว่ามีมือสังหารแทงที่ต้นขาของเฉียวไป๋อีกครั้ง ป้าวซวนก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าตอนที่หลิงอวี๋เตรียมยาแก้พิษให้ตนเมื่อคืน นางได้ให้ผงยาหนึ่งห่อไว้กับตนด้วยหลิงอวี๋บอกว่าเป็นของดีที่ให้นางใช้หลบหนีเมื่อพบเจอพวกคนเลวป้าวซวนจึงมิคิดอะไรแล้ว นางหยิบมันออกมาแล้วพุ่งเข้าไป จากนั้นก็ยกมือขึ้นโปรยผงยาให้ลอยไปทางพวกมือสังหาร“มีพิษ!”มือสังหารที่พุ่งมาข้างหน้าชะงักไปทันที แล้วก้าวถอยหลังโดยมิรู้ตัว ป้าวซวนจึงรีบคว้าเฉียวไป๋แล้ววิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วมือส
เมื่อข้าหลวงเก๋อได้ยินดังนั้นก็เกิดความสนใจขึ้นมาทันที แล้วรีบเอ่ยถามรัว ๆ อย่างร้อนใจ “เหตุใดคุณชายตระกูลเฉียวจึงอยู่ที่เมืองจงกวน? คนที่มาคือผู้ใด? หนิงเอ๋อร์ เจ้ารู้จักเขาได้อย่างไร? เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาคือคุณชายตระกูลเฉียวจริง ๆ?”เก๋อฮุ่ยหนิงจึงเล่าเรื่องที่จื่ออวิ๋นจำเฉียวไป๋ได้ให้เขาฟัง แล้วบอกแผนการของตนให้ข้าหลวงเก๋อรู้โดยมิปิดบังด้วยสุดท้าย เก๋อฮุ่ยหนิงก็เอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ “ขอเพียงท่านพ่อส่งยอดมือสักสองสามคนมาแสดงร่วมกับข้า ให้ข้าได้เป็นวีรสตรีช่วยเหลือบุรุษรูปงาม เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเฉียวไป๋จะต้องรู้สึกขอบคุณข้าอย่างแน่นอน!”“เมื่อกอปรกับความสามารถและความงามของข้าแล้ว ในท้ายที่สุดคุณชายเฉียวจะต้องแต่งงานกับข้าอย่างแน่นอน!”เมื่อข้าหลวงเก๋อได้ยินว่าเก๋อฮุ่ยหนิงได้คิดแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ในที่สุดเขาก็มองลูกสาวที่มิเป็นที่สนใจมาโดยตลอดผู้นี้ในมุมมองที่ต่างออกไป นางเป็นคนที่มีกล้าหาญ มีความฉลาด มีกลยุทธ์และมีความเด็ดขาด หากสตรีเช่นนี้มุ่งเป้ามาที่ตน ตนไม่มีทางหนีพ้นจากเงื้อมมือของนางได้แน่คุณชายตระกูลเฉียวเองก็เป็นบุรุษเช่นกัน เขาเชื่อว่าคุณชายตระกูลเฉี