แต่เพราะลิ่งหูหลินดูแลวังเทพมาหลายปี ภายใต้วิธีการข่มขู่และล่อใจของนาง จึงสามารถดึงข้อมูลเกี่ยวกับเสวี่ยเหมยออกมาจากปากนางกำนัลหลายคนได้ได้ข้อมูลจากทางนั้นนิดทางนี้หน่อย จากนั้นก็นำมารวมกันจนได้ประวัติของเสวี่ยเหมยออกมาเสวี่ยเหมยถูกพวกค้ามนุษย์ลักพาตัวมาขายตั้งแต่นางยังเด็ก ลักพาตัวไปลักพาตัวมาจนมิอาจหาที่มาเริ่มแรกสุดของนางได้แล้ว กระทั่งถูกตระกูลลิ่งหูซื้อเสวี่ยเหมยให้มาติดตามภรรยาของหวงฝู่หลินไปที่วังเทพ ตอนนั้นเสวี่ยเหมยอายุสิบห้าปี แล้วก็ยังมีบ่าวชายอีกหลายคนที่มาวังเทพพร้อมกับพวกนางหนึ่งในบ่าวชายเหล่านั้นมีเฝิงเจี๋ยที่ได้ใช้เวลาร่วมกันกับเสวี่ยเหมยในระหว่างนั้น และได้เกิดความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน แต่เนื่องจากกฎของวังเทพ ทั้งสองคนจึงมิกล้าที่จะเปิดเผย และทำได้เพียงนัดพบกันลับหลังคนอื่น ๆ เท่านั้นไป ๆ มา ๆ ความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งสองคนก็ถูกเสวี่ยหลานพบเข้าในวังเทพนั้นมีสตรีมากมีบุรุษน้อย อีกทั้งเฝิงเจี๋ยก็รูปงาม ดังนั้นเสวี่ยหลานจึงตกหลุมรักเขาเช่นกันเสวี่ยหลานแอบยั่วยวนเฝิงเจี๋ยลับหลังเสวี่ยเหมย แต่เฝิงเจี๋ยมิได้ชอบนางจึงปฏิเสธไปเมื่อเป็นเช่นนั้นหลายครั้งเข้า เสวี่ยห
พวกฉินซานยังตามหาพวกเซียวหลินเทียนมิพบ หุบเขาทั้งหมดก็ถูกทำลายไปแล้ว ยอดน้ำแข็งด้านบนก็ถล่มลงมาก่อตัวเป็นภูเขาน้ำแข็งลูกใหม่หากคิดที่จะขุดภูเขาน้ำแข็งลูกนี้ออกมา ก็ถือเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปมิได้ฉินซานรอจนกระทั่งหุบเขากลับสู่ความสงบลงก่อน แล้วจึงจะเข้าไปตรวจสอบ แต่ก็ไม่มีช่องว่างที่สามารถลงไปได้เลยหานเหมยกับคนอื่น ๆ เห็นสถานการณ์เช่นนั้นแล้วก็ล้วนสิ้นหวังกันหมด พวกเซียวหลินเทียนติดอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง แล้วยังจะมีโอกาสที่พวกเขาจะรอดชีวิตหรือ?“ข้ามิเชื่อว่าองค์จักรพรรดิจะสวรรคตไปเช่นนี้ ภูเขาน้ำแข็งนี้ไม่มีทางที่จะถมจนเต็มหุบเขาทั้งหมดได้ มันจะต้องมีที่ว่างด้านล่างอย่างแน่นอน!”“บางทีองค์จักรพรรดิกับคนที่เหลืออาจจะโชคดีที่ตกลงไปในช่องว่างก็ได้ แล้วพวกเขาก็ยังรอให้เราไปช่วยเหลือพวกเขาอยู่ พวกเราจะยอมแพ้มิได้!”ฉินซานเอ่ยขึ้นมาอย่างหนักแน่นซูจู๋นางรับใช้ของคุณหนูใหญ่เก๋อจะมีความมั่นใจเท่ากับที่ฉินซานมีได้อย่างไร ซูจู๋เห็นภูเขาน้ำแข็งเหล่านั้นแล้วนางก็เอ่ยขึ้นมา “หากพวกเจ้าจะค้นหาต่อก็หาไปเถิด! พวกเราต้องกลับไปรายงานคุณหนูรอง และให้นางเป็นผู้ตัดสินใจ!”หลังจากพูดจบแล้ว ซูจู๋ก็พ
เนื่องจากความรู้สึกขอบคุณนี้ เซียวหลินเทียนจึงตัดสินใจที่จะละทิ้งอคติที่มีต่อเก๋อเฟิ่งฉิงไป และอยู่ร่วมกับเก๋อเฟิ่งฉิงอย่างเป็นมิตรในที่สุดวันนี้พวกเขาทั้งสามก็ออกมาได้แล้ว มองเห็นดวงอาทิตย์แล้ว ซึ่งนี่ก็หมายความว่า อีกมินานพวกเขาก็จะสามารถออกไปจากหุบเขานี้ได้เซียวหลินเทียนตื่นเต้นขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ผิวปาก หากว่าเหยี่ยวดำจิ่วเทียนอยู่แถวนี้ มันจะต้องรีบมาหาตนอย่างแน่นอนแต่หลังจากที่ผิวปากอยู่นาน ก็ยังมิเห็นจิ่วเทียนบินมาเสียที“บางทีจิ่วเทียนอาจจะมิได้อยู่แถวนี้ก็ได้!”ขันทีโม่เอ่ยปลอบใจเขา “เราสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้ เราก็สามารถหาทางออกไปได้ มิต้องร้อนใจไปหรอก!”ครั้งนี้เซียวหลินเทียนได้รับกระบี่คุนอู๋มาอย่างมิคาดฝัน เขาจึงรู้สึกพอใจมากและมิได้รู้สึกท้อแท้อะไรเขากับขันทีโม่ผลัดกันประคองเก๋อเฟิ่งฉิงเดินหน้าต่อไปหลังจากเดินไปได้สักพัก จู่ ๆ เซียวหลินเทียนก็ได้ยินเสียงร้องของนกเหยี่ยว เขาดีใจขึ้นมาทันที หรือว่าจิ่วเทียนจะมาหาแล้วเขาจึงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว แต่กลับมิเห็นร่างของจิ่วเทียน“ท่านพี่สี่ เสียงนั้นดังมาจากด้านหน้านี่!”เก๋อเฟิ่งฉิงเอ่ยเตือนเซียวหลิ
“พี่สี่ เมื่ออยู่ที่ภูเขาหิมะแห่งนี้ ตระกูลจงเจิ้งเป็นภัยคุกคามยิ่งกว่าตระกูลเก๋อและตระกูลเฉียวเสียอีก!”เก๋อเฟิ่งฉิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของพวกเขามีความทะเยอทะยานยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาว่า พวกเขาคิดจะช่วยฝูไห่ออกมาแล้วให้มาต่อสู้กับตระกูลหลง!”“เพียงแต่ตระกูลหวงฝู่นั้นแข็งแกร่งมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาส! แต่ตอนนี้พวกเขามาปรากฏตัวที่วังเทพอีกครั้งแล้ว เช่นนั้นพวกเขาก็น่าจะมีการเตรียมพร้อมมา เราจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขามิได้เด็ดขาด!”มิต้องให้เก๋อเฟิ่งฉิงเอ่ยเตือน เซียวหลินเทียนก็รู้ว่าตระกูลจงเจิ้งมีเจตนาร้ายต่อหลิงอวี๋อย่างเต็มเปี่ยมเขาอุ้มจิ่วเทียนขึ้นมาแล้วเอ่ยออกไป “ในเมื่อพวกเขามาแล้ว พวกเราก็ต้องรีบหาทางออก และออกไปโดยเร็วที่สุด!”สิ่งที่โชคดีก็คือ คราวนี้พวกเขาเพิ่งจะเดินมาเพียงครึ่งวัน และในตอนใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ไกล ๆ “เดินเร็ว ๆ เข้า ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นช่องว่างแล้ว เราน่าจะถึงก้นหุบเขากันแล้ว!”ฉินซานนี่!เซียวหลินเทียนตื่นเต้นขึ้นมาทันที เพราะนั่นหมายความว่าพวกนั้นลงมาจากด้านบน และก็จะสามารถพาพวกเขาออกไ
กระทั่งเถาจื่อและหานอวี้ช่วยประคองเก๋อเฟิ่งฉิงออกไปแล้ว เซียวหลินเทียนจึงได้เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้ม “เผยอวี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”“ฮองเฮามิได้อยู่ที่ภูเขาหิมะแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระนางอยู่ในเมืองเล็ก แต่ว่า ตอนนี้พระนางถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยพาตัวไปอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เผยอวี้รีบเล่าให้ฟังว่าตนพบหลิงอวี๋ได้อย่างไร และเรื่องที่หลิงอวี๋หายตัวไปอีกครั้งได้อย่างไร“แม่นมอูเล่า เหตุใดนางจึงมิได้อยู่กับพวกเจ้า?”เผยอวี้ยังคงหวังว่าแม่นมอูจะช่วยพวกเขาตามหาหลิงอวี๋ให้เจอ แต่ผลก็คือมิพบแม่นมอู“แม่นมอูขาดการติดต่อกับเราไปแล้ว!”ผู้ที่ตอบคือขันทีโม่นับตั้งแต่ที่ขันทีโม่รู้ว่า คนของตระกูลจงเจิ้งก็อยู่บนภูเขาหิมะเช่นกัน เขาก็สงสัยว่าคนที่ลบรหัสลับที่แม่นมอูทิ้งไว้ให้ตนจะมิใช่คนจากวังเทพ และมิใช่คนจากตระกูลเฉียว หรือตระกูลเก๋อ แต่เป็นคนจากตระกูลจงเจิ้งต่างหากเขาสงสัยกระทั่งว่า แม่นมอูตกไปอยู่ในมือของคนตระกูลจงเจิ้งแล้วเซียวหลินเทียนมองไปทางภูเขาหิมะที่อยู่ไกล ๆ แล้วรู้สึกเศร้าและสับสนก่อนหน้านี้ยังคิดว่าหลิงอวี๋อยู่ที่วังเทพ ขอเพียงตนสามารถไปถึงวังเทพได้ ก็จะได้พบกับหลิงอวี๋แต่บัดนี้ เผยอวี้กลับบอก
ตอนที่หลิงอวี๋ตื่นขึ้นมา ตรงหน้านางก็ยังเป็นแสงหลากสีนั้นอยู่ กระทั่งแสงจางลง นางจึงได้เห็นดวงอาทิตย์สีทองห้อยอยู่เหนือหัวของนางช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่นางอยู่คฤหาสน์ตระกูลป้าวเป็นเวลากลางคืน แล้วเหตุใดเพียงชั่วพริบตาจึงมีดวงอาทิตย์ขึ้นมาได้เล่า?ขณะที่หลิงอวี๋กำลังรู้สึกสับสน นางก็รู้สึกเจ็บปวดตรงบริเวณท้องน้อยขึ้นมา ตามมาด้วยความร้อนที่ไหลออกมาจากระหว่างขาของนางหลิงอวี๋ลูบตรงท้องน้อยโดยมิรู้ตัว แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมากลูกของนาง?ความร้อนนี้ต้องเป็นเลือดแน่ ๆ!เด็กอาจจะมิอยู่แล้ว!หลิงอวี๋หันไปด้วยความตื่นตระหนก แล้วนางก็เห็นว่าตนอยู่ในทุ่งนา และห่างออกไปมิไกลก็มีเด็กสาวคนหนึ่งนอนอยู่ด้วย“ฮ่า ๆ ข้ากลับมาที่แดนเทพแล้ว! ครั้งนี้ข้าทำสำเร็จแล้ว!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยลุกขึ้นมาเห็นดวงอาทิตย์ จากนั้นก็เห็นทุ่งนาที่อยู่ข้าง ๆ นางจึงลุกขึ้นมาและตะโกนด้วยความตื่นเต้นหลิงอวี๋หันไปมองแล้วก็เห็นว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอยู่อีกด้านหนึ่งของตนเมื่อหลิงอวี๋เห็นจ้าวหรุ่ยหรุ่ย ความโกรธก็พลุ่งพล่านออกมาจากดวงตาในทันที ตอนนี้นางมิเชื่อแล้วว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยคือคุณหนูของตนผนึกที่อยู่บนร่างกายจ
“หรุ่ยหรุ่ย เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”ป้าวซวนตั้งสติได้ก็พุ่งเข้าไป คิดว่าจะดึงจ้าวหรุ่ยหรุ่ยไว้แต่คาดมิถึงว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะใช้หลังมือตบป้าวซวนอย่างแรงจนทำให้ป้าวซวนล้มลงไป“ป้าวซวน เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคุณหนูสามของตระกูลป้าวอยู่รึ?”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยปล่อยหลิงอวี๋ที่กำลังขดตัวด้วยความเจ็บปวดไว้ชั่วคราว แล้วพุ่งเข้าไปเหยียบที่ข้อมือของป้าวซวน จากนั้นก็โน้มตัวเข้าไปมองนางพร้อมกับรอยยิ้มเยาะ“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด? ที่นี่แดนเทพ!”“ที่นี่อยู่ห่างจากตระกูลป้าวของเจ้ามิรู้กี่พันลี้! ข้าจะบอกเจ้าให้ นับแต่นี้ไป เจ้ามิใช่คุณหนูตระกูลป้าวอีกต่อไปแล้ว เจ้าคือนางรับใช้ของข้า จ้าวหรุ่ยหรุ่ย!”“ข้าบอกให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ต้องทำ มิเช่นนั้นข้าจะเฉือนหน้าเจ้าเช่นเดียวกับที่ข้าทำกับนาง!”หลิงอวี๋เจ็บปวดจนแทบจะสลบแล้ว และเลือดของนางก็เปื้อนอยู่เต็มกระโปรงไปหมดเมื่อนางได้ยินคำพูดของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยในขณะที่นางกำลังอยู่ในอาการมึนงงนั้น นางจึงได้รู้ว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นคนที่กรีดหน้าตน มิใช่พวกค้ามนุษย์ที่ทำจ้าวหรุ่ยหรุ่ยหลอกตนมาตลอด!“เจ้าพูดเรื่องเพ้อฝันอยู่รึ? ข้ามิใช่นางรับใช้ของเจ้านะ!”ป้
กระทั่งหลิงอวี๋ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็รู้สึกว่าที่ท้องน้อยของตนยังปวดอยู่เล็กน้อยคราวนี้นางมิเห็นดวงอาทิตย์แล้ว เหนือหัวของนางเป็นหลังคาสีเทา ๆ และมีเนื้อแห้งห้อยอยู่บนคานนี่คือที่ใดกัน?ลูกของนางยังอยู่หรือไม่?ขณะที่หลิงอวี๋กำลังจะยื่นมือออกไปแตะที่ท้องน้อยของตน นางก็ได้ยินเสียงพูดคุยมาแว่ว ๆ“ท่านป้า พวกเรานายบ่าวถูกคนเลวทำร้ายมาจึงมาลำบากอยู่ที่นี่ ขอบคุณท่านป้ามาก ๆ ที่รับพวกเรา! เมื่อพวกเราตามหาครอบครัวเจอแล้ว เราจะตอบแทนท่านอย่างดีแน่นอน!”เสียงของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยตามมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างมีอายุเอ่ยขึ้นมา “คุณหนูจ้าวเกรงใจกันเกินไปแล้ว พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด หากต้องการสิ่งใดก็บอกมา ข้าจะให้ลูกชายข้าไปซื้อมาให้พวกเจ้าเอง!”“ท่านป้า ท่านเตรียมอาหารให้พวกเราก็พอแล้ว! จริงสิ ท่านป้า ข้าขอถามท่านสักหน่อยเถิด ที่นี่คือที่ไหนหรือ? อยู่ห่างจากเมืองหลวงแดนเทพเท่าไร?”หลิงอวี๋รีบเงี่ยหูฟังทันที นางจะต้องหนีไปจากเงื้อมมือของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยให้จงได้ หากรู้ทิศทางแล้วก็จะหลบหนีได้ง่าย“หมู่บ้านของเราชื่อหมู่บ้านหนิงหย่วน อยู่ห่างจากตัวเมืองสามสิบกว่าลี้ ที่เจ้าถามว่าอยู่ห่
หลิงอวี๋มิรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อเคยถามคำถามเดียวกันนี้กับหมอคนอื่นมาก่อนแล้ว และทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่าฮูหยินผู้เฒ่ามิเหมาะที่จะเดินทางไกลไปรับการรักษาที่เมืองหลวงแดนเทพหมอเถาถึงกับเคยบอกอ้อม ๆ ว่าฮูหยินผู้เฒ่านั้นอาจจะตายระหว่างทางก็เป็นได้ส่วนข้าหลวงเก๋อแม้ว่าจะมีอำนาจและอิทธิพล แต่ก็มิสามารถเชิญหมอที่มีชื่อเสียงจากเมืองหลวงแดนเทพมาได้เนื่องจากหมอที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นก็เป็นดังที่เก๋อฮุ่ยหนิงบอก พวกเขาล้วนสูงส่ง จำเป็นต้องไปขอร้องถึงหน้าประตูและจ่ายเงินก้อนโตก่อนจึงจะยอมรักษาหากมิให้หลิงอวี๋รักษานาง ในเมืองจงกวนจะไม่มีใครที่สามารถรักษาโรคประหลาดของฮูหยินผู้เฒ่านี้ได้ และหากเป็นเช่นนั้นก็ทำได้เพียงรอความตายเท่านั้นฮูหยินผู้เฒ่ายังใช้ชีวิตอยู่มิเพียงพอ แล้วจะทำใจจากไปเช่นนี้ได้อย่างไรแต่จะให้หลิงอวี๋ผ่าท้องของตน ฮูหยินผู้เฒ่าก็กลัวอีกหลิงอวี๋มองออกถึงความขัดแย้งในใจของฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงเอ่ยออกไป “ฮูหยินผู้เฒ่า ยังมีวิธีที่ประนีประนอมกันได้เจ้าค่ะ…”เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินดังนั้น นางก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที “หมอเจียง วิธีประนีประนอมอย่างไร เจ้าบอกมาเร็วเข้า!”หลิงอวี๋
“มีอาการเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้วหรือเจ้าคะ?”หลิงอวี๋มิได้สนใจนาง แล้วกดต่อพลางเอ่ยถามไปด้วย“ประมาณครึ่งปีแล้ว! แรกเริ่มก็คิดว่าน้ำหนักขึ้นจึงมิได้สนใจนัก แต่หลัง ๆ พุงก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อกดไปก็เจ็บจึงได้สนใจขึ้นมา!”แม่นมหลี่ก็มองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างปวดใจเช่นกัน นางกังวลว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเจ็บปวดจนหมดสติไปโชคดีที่หลิงอวี๋ตรวจเสร็จแล้ว นางจึงรับผ้าที่นางรับใช้ส่งให้มาเช็ดมือ จากนั้นก็นั่งลงที่ข้างเตียงของฮูหยินผู้เฒ่า“หมอเจียง เจ้ามีวิธีรักษาโรคเช่นนี้ของข้าหรือไม่?”ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปทางหลิงอวี๋อย่างกระวนกระวายหลิงอวี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “โรคของฮูหยินผู้เฒ่านั้น หากได้พบข้าตั้งแต่ป่วยช่วงเดือนสองเดือนแรก กินยาไปมิกี่ชุดก็หายแล้ว!”“แต่ตอนนี้ถุงน้ำในร่างกายโตขึ้นแล้ว หากคิดจะรักษาก็มิใช่ว่าจะทำมิได้ แต่ท่านจะต้องลำบากสักหน่อย!”ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นประกายขึ้นมาทันที แล้วนางก็เอ่ยอย่างกระวนกระวาย “ลำบากก็ลำบากเถิด ข้าทนความเจ็บปวดได้ แล้วจะทนความยากลำบากมิได้ได้อย่างไร?”หลิงอวี๋ยิ้ม แล้วเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น “ฮูหยินผู้เฒ่า ความยากลำบากที่ข้าบอกนั้น อาจจ
ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ไม่มีใครคาดคิดว่าหมอหญิงผู้นี้จะมีอารมณ์ร้ายถึงเพียงนี้ อีกทั้งมิคิดว่าเมื่อคุยมิถูกคอกันก็จะเดินจากไปในทันที“น้องสาม เจ้าดูเถิดว่าเจ้าหาหมออะไรมา วางท่าเย่อหยิ่งยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก!”เก๋อฮุ่ยซินรู้สึกเหมือนตนเองโดนตบหน้า จึงโกรธจนไปใส่อารมณ์กับเก๋อฮุ่ยหนิงเก๋อฮุ่ยหนิงเหลือบมองหลิงอวี๋ แม้ว่านางจะแปลกใจเล็กน้อยว่า เหตุใดสตรีผู้นี้จึงกล้าเช่นนี้ แต่เมื่อคิดดูอีกที หากเปลี่ยนเป็นตนแล้วต้องมาเผชิญกับความก้าวร้าวของเก๋อฮุ่ยซินเช่นนี้ ตนก็คงทนมิได้เช่นกันนางจึงเอ่ยอย่างใจเย็น “พี่รอง มิแปลกหรอกที่นางจะโกรธ ท่านจะมิทบทวนทัศนคติของท่านสักหน่อยหรือ?”“หมอที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแดนเทพเหล่านั้น ผู้ป่วยจะต้องไปขอร้องถึงที่ให้พวกเขาช่วยรักษาให้มิใช่หรือ? หากท่านได้เผชิญหน้ากับหมอที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น ท่านจะยังกล้าทำท่าทีก้าวร้าวกับพวกเขาเช่นนี้หรือ?”เก๋อฮุ่ยซินยิ้มเยาะออกมา “ก็พวกเขาเป็นหมอที่มีชื่อเสียง ย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว แต่สตรีผู้นี้มิได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ยังจะกล้าหยิบยกขึ้นมาพูดรวมกับหมอที่มีชื่อเสียงได้หรือ?”หลิงอวี๋ถ
ยังมิทันที่เก๋อฮุ่ยซินจะได้เอ่ยคำหวานออดอ้อนให้ฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อมีความสุขอีกครั้ง เก๋อฮุ่ยหนิงก็ยกม่านประตูขึ้นแล้วเดินเข้าไปข้างในเสียงของนางก็เปลี่ยนเป็นเสียงอ่อนโยนในทันที นางเอ่ยเบา ๆ “ท่านย่า หนิงเอ๋อร์กำลังจะออกไปข้างนอกแล้วก็ได้พบกับหมอเถาเข้า เขาพาหมอมีชื่อเสียงสกุลเจียงมาตรวจรักษาท่านเจ้าค่ะ!”“ท่านย่า หนิงเอ๋อร์เห็นว่าสตรีผู้นั้นดูท่าทางมีความสามารถ จึงตั้งใจที่จะพานางมาให้ท่านย่าดูสักหน่อย...”เก๋อฮุ่ยหนิงยังพูดมิทันจบ เก๋อฮุ่ยซินก็ขัดจังหวะนางขึ้นมาก่อน “น้องสาม นี่เจ้าหมดปัญญาจนไร้หนทางแล้วหรือไร?”“หมอเถามีทักษะการแพทย์ยอดเยี่ยมยังจนปัญญากับโรคของท่านย่าเลย นี่เจ้ากลับไปหาหมอหญิงที่ชื่อเสียงมิเป็นที่รู้จักมา แล้วก็บอกว่านางเป็นหมอที่มีชื่อเสียง ท่านย่ายังมิได้แก่เลอะเลือนดสียหน่อย เจ้าจะหลอกนางได้หรือไร?”เก๋อฮุ่ยหนิงจึงเอ่ยออกไปอย่างมิพอใจ “ท่านย่า พี่รอง มิได้เป็นเช่นนั้นนะเจ้าคะ!”“หนิงเอ๋อร์เห็นว่าท่านย่าเจ็บปวดมากก็รู้สึกแย่ที่มิอาจเจ็บปวดแทนได้! อีกทั้งมีคำกล่าวที่ว่า หากมีคนสามคนเดินมา หนึ่งในนั้นต้องมีคนที่เป็นอาจารย์ของเราได้ แม้ว่าหมอเถาจะเป็นหมอที่มีชื่อ
พวกคนรับใช้หลายคนจึงพุ่งเข้าไปหาหมอเถากันอย่างดุร้าย หลิงอวี๋จึงรีบดึงหมอเถาไปไว้ด้านหลังของนาง แล้วเอ่ยเสียงเรียบ“พ่อบ้านผิง อย่าได้รังแกกันมากเกินไปนักเลย! หมอเถาครุ่นคิดเรื่องอาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างหนักหนา หากเขามีสูตรลับจริง ๆ เขาจะมินำออกมาช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าหรือ?”“ลูกชายของเขาก็ยังอยู่ในกำมือของพวกท่าน ท่านลองคิดอย่างใจเขาใจเราดูเถิดว่า เขาจะคิดว่าสูตรลับสำคัญกว่าลูกชายของตนเองได้หรือ?”“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าหลวงเก๋อยังกำหนดเวลากับหมอเถาไว้สิบวัน ซึ่งตอนนี้ยังมิถึงเวลา เหตุใดเขาจะหาคนมาช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่ามิได้เล่า!”พ่อบ้านผิงจ้องมองหลิงอวี๋อย่างโหดร้าย แล้วก็เอ่ยขึ้นมาอย่างโกรธเคือง “สตรีเช่นเจ้าช่างคารมคมคายและหยิ่งยโสนัก จะมีความสามารถใดมารักษาฮูหยินผู้เฒ่าได้กันเชียว!”“ไสหัวไปเสีย อย่ามาถ่วงเวลาพวกเราอยู่ที่นี่!”หลิงอวี๋จึงเอ่ยอย่างมิรีบมิร้อน “พ่อบ้านผิง ข้าจะรักษาฮูหยินผู้เฒ่าได้หรือไม่นั้น ท่านยังมิได้ตรวจสอบก็ปฏิเสธข้าเสียแล้ว หรือว่าใจจริงแล้วท่านมิอยากให้ฮูหยินผู้เฒ่าหาย จึงได้ขัดขวางทุกวิถีทางเช่นนี้?”สีหน้าของพ่อบ้านผิงเปลี่ยนไปทันที และเขาก็กำลั
ป้าวซวนตื่นขึ้นมาเพราะเสียงคุยกันของคนสองคน เมื่อนางเห็นว่าหลิงอวี๋เริ่มทำอะไรแล้วนางก็รู้สึกเกรงใจที่จะนอนต่อและรีบลุกขึ้นมาช่วยเฉียวไป๋มองทั้งสองคนกำลังยุ่งกันอยู่ แล้วตนก็นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยความทะเยอทะยานในอดีตของเขาดับสลายหายสิ้น ในหัวของเขามืดแปดด้านไปหมด ต่อไปตนควรจะทำอย่างไรดี!“น้องหญิง เราทำความสะอาดห้องข้าง ๆ แล้วให้เฉียวไป๋ไปอยู่ห้องนั้นกันเถิด!”หลิงอวี๋คิดว่าถึงอย่างไรเฉียวไป๋ก็เป็นบุรุษ และตนกับป้าวซวนต่างก็เป็นสตรี อีกทั้งป้าวซวนก็ยังมิได้แต่งงาน หากอยู่ห้องเดียวกันแล้ววันข้างหน้าเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะถูกคนติฉินนินทาเอาได้ป้าวซวนเองก็มิรู้ว่าจะต้องอาศัยอยู่ที่วัดเก่านี้ไปอีกนานแค่ไหน จึงไปทำความสะอาดห้องกับหลิงอวี๋กระทั่งทำความสะอาดเสร็จแล้ว หลิงอวี๋ก็รีบกินอาหารกลางวันอย่างรวดเร็ว นางจะต้องไปที่โรงฮุ่ยเฉ่าเพื่อจะไปบ้านตระกูลเก๋อกับหมอเถาอีกหลิงอวี๋ก็มิแน่ใจว่าตนจะสามารถรักษาโรคประหลาดของฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อได้จริงหรือไม่ ดังนั้นก่อนไปจากจึงให้เงินสามตำลึงที่เหลือไว้กับป้าวซวน“น้องหญิง หากข้ามิกลับมาก่อนฟ้ามืด เจ้าก็มิต้องรอข้าแล้ว เพราะว่าอาจจะเกิดเรื่อง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เฉียวไป๋ก็ซ่อนตัวจากท่านอาเฉียว และมิสนใจอาการบาดเจ็บของตนเลยแม้แต่น้อยเขารู้สึกโกรธเคืองตนเอง และคิดเพียงว่าตายไปเช่นนี้ก็จบแล้วต่อมาเขาได้พบกับคนของตระกูลจงเจิ้ง เฉียวไป๋อยากตายจึงไปยั่วยุพวกเขา ผลก็คือถูกอีกฝ่ายทำร้ายจนมีบาดแผลทั่วทั้งตัวและในขณะที่เฉียวไป๋กำลังถูกดูถูกจนถึงขีดสุดนั้น เฉียวไป๋ก็ถูกกระตุ้นให้เกิดความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดขึ้นมา เขาจึงใช้แรงที่เหลืออยู่ของตนเปิดใช้งานลูกแก้ววิญญาณ เขาจึงถูกส่งกลับมายังแดนเทพอีกทั้งช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่เขาตกลงไปในแม่น้ำ และถูกสายน้ำพัดมาถึงแถว ๆ วัดเก่า จึงได้โชคดีพบกับหลิงอวี๋เข้า“ข้ามิได้สังหารท่านพ่อ! ท่านอาโกหกข้า! ท่านมิใช่พ่อของข้า... ท่านมิใช่!”การเพ้อกับฝันร้ายของเฉียวไป๋ทำให้หลิงอวี๋ฟังแล้วก็รู้สึกงุนงง แต่นางจะมิถือว่าการเพ้อของคนที่เป็นไข้เป็นเรื่องจริงหรอกเมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปสองชั่วยามแล้วและอุณหภูมิของเฉียวไป๋ยังมิลดลง หลิงอวี๋จึงให้ยาเขาไปอีกครั้งหนึ่งจากนั้นก็ป้อนยาทุก ๆ สองชั่วโมง จนกระทั่งรุ่งสาง ในที่สุดอุณหภูมิของเฉียวไป๋ก็ลดลงแล้วหลิงอวี๋ถอนหายใจโล่งอกแล้วยื่นมือไปเช็ดเ
“ท่านอา...”“ท่านพ่อ…”บุรุษผู้นั้นมีไข้สูงและพูดเพ้อออกมา หลิงอวี๋เห็นว่าใบหน้ารูปงามของเขาขมวดคิ้วมุ่น ดูท่าทางเจ็บปวด ราวกับว่าในฝันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ซึ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อหลิงอวี๋เห็นเหงื่อผุดขึ้นมาที่หน้าผากของเขา นางก็ฉีกอาภรณ์ขาด ๆ ของเขามาทำเป็นผ้าเช็ดเหงื่อให้เขา“อย่า… อย่าทำเช่นนี้กับข้า!”บุรุษผู้ที่มีบาดแผลอยู่ทั่วร่างกายผู้นั้นก็คือ เฉียวไป๋ที่ถูกท่านอาเฉียวพาลงมาจากภูเขาหิมะนั่นเองบนร่างกายของเฉียวไป๋มีบาดแผลอยู่หลายแห่ง ในตอนนั้นเขากำลังรู้สึกสับสน แต่หลังจากที่ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา เฉียวไป๋ก็จำช่วงเวลาที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลได้เขานึกขึ้นได้ว่าตนกับท่านพ่อต่างก็สู้กัน ทั้งยังจำได้ด้วยว่าตนแทงเข้าไปที่ท้องของท่านพ่อเฉียวไป๋กังวลใจขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็คว้าตัวท่านอาเฉียวไว้แล้วตะโกนออกมา “ท่านอา ข้า... ข้า... ข้าสังหารท่านพ่อใช่หรือไม่?”นี่มันเป็นการปิตุฆาต!เฉียวมองท่านอาเฉียวตาปริบ ๆ หวังว่าท่านอาเฉียวจะตอบปฏิเสธในคำถามของตนแต่ไหนเลยจะรู้ว่าท่านอาเฉียวจะมองเขา แล้วผ่านไปสักพักเขาก็พยักหน้าหัวใจของเฉียวไป๋จมดิ่งลงไปทันที เขาถอยหลังไปสองสามก้าว
ท้องใหญ่เท่ากลองเลยหรือ?เมื่อหลิงอวี๋ฟังหมอเถาเล่าถึงอาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อเสร็จแล้ว ในหัวของนางก็มีวิธีรักษาเกี่ยวกับโรคประเภทนี้หลายวิธีผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพียงแต่หากมิได้พบผู้ป่วย ก็มิสามารถยืนยันได้ว่าควรใช้วิธีไหนดี“หมอเถา วันพรุ่งท่านจะไปที่จวนข้าหลวงเก๋อเมื่อใดหรือ?”หลิงอวี๋เอ่ยถามออกมา“ก่อนยามเหม่า[footnoteRef:0]!” [0: ยามเหม่า คือ ช่วง 05.00 - 07.00 น.] หมอเถามองหลิงอวี๋อตาปริบ ๆ “แม่นาง เจ้ามีวิธีรักษาโรคประหลาดเช่นนี้นี้หรือ?”หลิงอวี๋ยิ้มออกมา “ก็มีวิธีอยู่ ทว่าหากยังมิพบผู้ป่วยก็มิอาจตัดสินได้ว่าใช้ได้จริงหรือไม่! หมอเถา วันพรุ่งตอนยามอู่[footnoteRef:1]ข้าจะมาหาท่าน แล้วไปที่ตระกูลเก๋อพร้อมกับท่าน!” [1: ยามอู่ คือ ช่วง 11.00 - 13.00 น.] เมื่อหมอเถาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา แม้ว่าจะมีความสงสัยอยู่ในใจว่า วัยรุ่นเช่นหลิงอวี๋นี้สามารถรักษาโรคของฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อได้หรือไม่ แต่ตนก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วถึงอย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้ว ลองดูสักหน่อยก็ไม่มีอะไรเสียหาย“แม่นาง เจ้าวางใจเถิด หากเจ้ามิอาจรักษาได้ ต่อให้ข้าต้องทุ่มทั้งชีวิต ข้าก็จ