หลิงอวี๋ใช้เครื่องยาสมุนไพรที่ขันทีโม่ให้มาสกัดเป็นยาอายุวัฒนะอันล้ำค่าหลายเม็ด นางมิได้กินไปทั้งหมด เมื่อเห็นว่าขันทีโม่ได้รับบาดเจ็บเพราะหาเครื่องยาสมุนไพรให้ตน ก็ให้ยาแก่ขันทีโม่สองเม็ดเพื่อช่วยเขาฟื้นคืนพลังหลิงอวี๋ให้ยาสองเม็ดกับแม่นมอูด้วยเช่นกัน ครานี้แม่นมอูพลังอ่อนแอลงมากเพราะช่วยชีวิตนาง หลิงอวี๋รู้สึกขอบคุณนางมากยาอายุวัฒนะที่สกัดมาอย่างยากลำบากในครั้งนี้ แม้ว่าหลิงอวี๋จะเหลือมิมากนัก แต่โชคดีที่ขันทีโม่มิเพียงแต่หาเครื่องยาสมุนไพรมาให้นางเท่านั้น แต่ยังนำต้นกล้าสมุนไพรมาให้หลายต้นด้วยหลิงอวี๋ปลูกไว้ในมิติและรอให้เติบโตจนนำมาใช้ได้ ก็จะได้เครื่องยาสมุนไพรมากขึ้นอีกแต่เพียงมิกี่วันหลังจากที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยกับไท่เฟยเส้าอยู่อย่างสงบ ในหมู่บ้านใกล้เมืองหลวงก็เกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้นเริ่มแรกคือมีบุรุษวัยกลางคนหายตัวไปอย่างไร้เหตุผล จากนั้นสตรีมีครรภ์หลายคนก็หายตัวไปอีกสิ่งนี้ทำให้คนในหมู่บ้านเหล่านั้นต่างก็ตื่นตระหนกกัน บางคนบอกว่ามีปีศาจภูเขากินคน และบางคนก็บอกว่าบนภูเขาใกล้เคียงนี้มีหมาป่าอยู่แม่ทัพเฉินรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของเมืองหลวง ขุนนางและผู้ใหญ่บ้านของที่ว
หลิงอวี๋สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “แม่นม จากที่ท่านบอก เช่นนั้นจ้าวหรุ่ยหรุ่ยสังหารคนไปมากมายถึงเพียงนี้ อาการบาดเจ็บภายในของนางก็ฟื้นตัวดีแล้วใช่หรือไม่?”“นางได้บรรลุดินแดนที่หกไปสู่ดินแดนที่เจ็ดแล้วด้วยหรือไม่?”แม่นมอูเม้มปาก “เรื่องนี้มิอาจบอกได้ บ่าวมิเข้าใจวิชาบำเพ็ญตนชั่วร้ายเหล่านั้น บางทีอาการบาดเจ็บภายในของนางอาจจะหายแล้ว! แล้วยังบรรลุดินแดนที่เจ็ดหรืออาจจะสูงกว่านั้นแล้วเพคะ!”“เหตุผลที่วิชาบำเพ็ญตนชั่วร้ายสามารถดึงดูดผู้บำเพ็ญตนให้ละทิ้งวิธีบำเพ็ญที่ถูกต้องไปได้ก็คือ มันสามารถทำให้พัฒนาการบำเพ็ญได้อย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้นจะมีคนเลือกใช้วิธีที่เสี่ยงต่อการเป็นปีศาจเช่นนี้ได้อย่างไร!”เหงื่อเย็นไหลออกมาที่หลังของหลิงอวี๋หากจ้าวหรุ่ยหรุ่ยบรรลุเข้าสู่ดินแดนที่เจ็ดหรือแปดอย่างรวดเร็วดังเช่นที่แม่นมอูบอก เช่นนั้นนางกับแม่นมอูรวมถึงขันทีโม่ก็ล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ย!“ข้าจะไปสอบสวนดูก่อนสักหน่อยแล้วกัน!”ในสถานการณ์ที่ยังมิรู้แน่นี้ หลิงอวี๋มิกล้าให้แม่นมอูและคนอื่น ๆ ตกอยู่ในอันตรายไปกับตนได้นางเรียกเผยอวี้กับฉินซานมาแล้วเล่าเรื่องนี้ให้พวก
ท้องฟ้าเพิ่งจะมืดลง พวกหลิงอวี๋ก็รีบไปที่ภูเขาสัตตะสมบัติที่ตั้งของศาลบูรพกษัตริย์ภูเขาสัตตะสมบัติแห่งนี้อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านและอยู่กลางภูเขาเพราะเป็นสถานที่ที่เหล่าสนมมาบำเพ็ญเพียรกันในสมัยโบราณ จึงมีขนาดใหญ่มาก แบ่งออกเป็นลานเล็ก ๆ สิบกว่าแห่ง รวมแล้วมีอยู่หลายร้อยเรือนก่อนที่หลิงอวี๋จะมาที่นี่ นางได้พบภาพวาดการก่อสร้างศาลบูรพกษัตริย์ในตอนแรก และได้ศึกษารูปแบบของศาลบูรพกษัตริย์และภูเขาสัตตะสมบัติมาแล้วนาง ฉินซานและเผยอวี้ต่างก็ได้ข้อสรุปมาอย่างหนึ่งจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอาศัยการปิดบังของเหล่าสนมที่ศาลบูรพกษัตริย์ทำการบำเพ็ญตนที่นี่ เช่นนั้นเพื่อมิให้พวกนางตกใจแล้วเปิดเผยเรื่องที่ตนนำคนมาบำเพ็ญตน ที่พักอาศัยของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงเลือกได้เพียงแค่เรือนที่อยู่ห่างไกลเท่านั้นลานเล็ก ๆ หลายแห่งที่อยู่ห่างไกลออกไปที่ภูเขาด้านหลังน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเมื่อพวกหลิงอวี๋มาถึงตีนเขาก็แยกกันไปสามทาง แต่ละคนก็พาคนของตนไปสำรวจตามลานเล็ก ๆ เหล่านั้นหลิงอวี๋ออกมาคราวนี้พาเถาจื่อ หานเหมย สุ่ยหลิงและหานอวี้มาด้วย นางให้หานเหมยไปกับฉินซาน หานอวี้ไปกับเผยอวี้ ส่วนตนก็พาเถาจ
ชั่วครู่หนึ่งหลิงอวี๋คิดจะล่าถอยไป แต่ที่ด้านหลังของนางล้วนเป็นพุ่มไม้ เป็นไปมิได้ที่นางจะล่าถอยโดยมิถูกพบบุรุษที่พุ่งเข้ามานั้นเร็วมาก เขาคือพี่หรงที่พูดจาสงบผู้นั้นทันทีที่เขาพุ่งมาถึงที่ที่หลิงอวี๋ซ่อนตัวอยู่ก็พบว่ามีคนซ่อนตัวอยู่แล้วหนึ่งคนพี่หรงยกฝ่ามือขึ้นทันที คิดจะโจมตีหลิงอวี๋ที่อยู่ในความมืดหลิงอวี๋รู้สึกถึงอันตรายอยู่ครู่หนึ่ง กำลังคิดจะลงมือโดยมิสนใจสิ่งใดแล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษผู้นั้นที่แสงจันทร์ส่องสว่างลงมาใบหน้านั้นราวกับแกะสลัก หล่อเหลาไร้ที่ติริมฝีปากบางมีความดูถูกเหยียดหยามและเยือกเย็นอยู่เล็กน้อย ดวงตาสีเข้มคู่นั้นเปล่งประกายสะท้อนแสงจันทร์ และมีแสงสีเขียวเข้มประหลาดสะท้อนออกมาด้วย...เหตุผลหลักที่หลิงอวี๋มิลงมือก็เพราะว่า ใบหน้าของบุรุษผู้นี้เหมือนกับหลิงหรงลูกพี่ลูกน้องของตนในยุคปัจจุบันทุกประการนอกจากปู่แล้วหลิงหรงเป็นคนที่ใกล้ชิดกับนางมากที่สุด เพียงแต่หลิงหรงอายุเพียงสิบห้าก็มาหายตัวไปมิพบตัวและมิพบศพเพราะไปปีนเขาแล้วเกิดอุบัติเหตุตกลงมาจากยอดภูเขาน้ำแข็งตอนนั้นหลิงอวี๋ตามหาอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือนแต่ก็มิพบหลิงหรงต่อมาในเวลาว่างก็มักจะ
“คุณหนูมิได้อยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่เรือนลั่วเฟิ่งด้านบน พวกท่านรอสักครู่ ข้าจะพาพวกท่านไป!”หนานฮุ่ยวิ่งกลับไปบอกนางรับใช้อีกคนแล้ววิ่งออกมาตอนนี้หลิงอวี๋รู้แล้วว่า คนที่สี่ที่อยู่ข้างในนั้นคือคนของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเฉียวเค่อก็มิได้ถามอะไร แล้วพาคนของตนตามหนานฮุ่ยขึ้นไปบนภูเขาเมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าพวกเขาไปไกลแล้ว นางก็ขยับไปอยู่ตรงหน้าพี่หรงอย่างทนมิไหวแล้วเอ่ยเบา ๆ “เสี่ยวหรง นี่พี่หลิงอวี๋เอง นายก็เจอเรื่องเหมือนกับพี่ใช่ไหม?”พี่หรงก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างประหลาดใจแล้วจ้องมองหลิงอวี๋อย่างระมัดระวังหลิงอวี๋เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็รู้สึกหดหู่ในใจ หรือว่าตนคิดผิดไป คนผู้นี้มิใช่หลิงหรง!มิฉะนั้นแม้ว่าหลิงหรงจะมิรู้จักใบหน้านี้ของตน แต่ก็ไม่มีทางที่จะมิแยแสกับชื่อหลิงอวี๋!“พี่หรง เราควรตามพวกเขาไปหรือไม่? เฉียวเค่อผู้นั้นจะต้องเป็นพวก…”สตรีที่พูดก่อนหน้านี้วิ่งออกมาแล้วเอ่ยด้วยเสียงต่ำแต่เมื่อพี่หรงก้าวออกไปจ้องมองนาง เสียงของนางก็หยุดชะงักไปหลังจากนั้น หลิงอวี๋ก็เดินตามออกมาจากที่ซ่อนเช่นกันหลิงอวี๋มองเห็นรูปลักษณ์ของสตรีที่พูดได้อย่างชัดเจนเห็นใบหน้ารูปไข่สี
“ข้าคือหลิงอวี๋!”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าพี่หรงเปิดเผยสถานะตนออกมา ก็มิได้ปิดบังและยอมรับตามตรง“ข้ามาที่นี่เพื่อสืบคดีสตรีมีครรภ์ที่สูญหายไป!”เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด หลิงอวี๋จึงอธิบายจุดประสงค์ในการมาของตนออกไปด้วยนางมองไปทางพี่หรงอย่างคาดหวัง ในใจก็หวังจริง ๆ ว่าคนผู้นี้จะเป็นหลิงหรง!แม้ว่าหลิงอวี๋จะสุขสบายอยู่ในยุคนี้ราวกับปลาได้น้ำ แต่นางก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ตนเป็นคนยุคปัจจุบันเพียงผู้เดียวและกำลังดิ้นรนอยู่ในโลกที่มิได้เป็นของตน แม้ว่าจะมีคนใกล้ชิดเช่นเซียวหลินเทียนกับเซียวเยวี่ยและคนอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ก็มิอาจลบล้างความรู้สึกโดดเดี่ยวนี้ไปได้!เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนี้ หลิงอวี๋ก็มีความรู้สึกผสมปนเปกันมากมาย การปรากฏตัวของหลิงหรงเป็นการชดเชยความโดดเดี่ยวนี้!เย่หรงขมวดคิ้วมองหลิงอวี๋ ดวงตาคู่นั้นยิ่งมองก็ยิ่งดูคุ้นเคย แต่เขาจำมิได้จริง ๆ ว่าตนเคยเจอคนผู้นี้มาก่อน!นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากแดนปีศาจมาที่ใต้หล้านี้ เขากล้ารับประกันเลยว่า เขามิเคยเห็นใบหน้านี้ในแดนปีศาจเช่นกัน“พี่หรง ท่านรู้จักนางหรือ?”หยางหงหนิงเอียงตัวมาปิดกั้นการมองของเย่หรงที่มองหลิงอว
มีผู้ช่วยไปด้วยกัน หลิงอวี๋ย่อมยินดีอยู่แล้วอีกทั้งนางก็รู้สึกได้ว่าพลังของคุณชายหรงผู้นี้เหนือกว่าตนในเมื่อเขามิได้เป็นศัตรูกับตน ก็คงจะไม่มีทางยอมรับการบำเพ็ญตนที่ใช้คนมีชีวิตของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยแน่!หลิงอวี๋พยักหน้า แล้วเดินไปเอ่ยถามไป “คุณชายหรงสกุลหรงหรือ?”“เหตุใดเจ้าพูดมากนัก? พวกเราสกุลใดแล้วเจ้าจะยุ่งอะไรด้วย?”หยางหงหนิงเห็นว่าเย่หรงมิไว้หน้าตน ตกลงที่จะไปกับหลิงอวี๋ สีหน้าของนางก็ยิ่งมิสู้ดีและมุ่งเป้าไปที่หลิงอวี๋อยู่ตลอดหลิงอวี๋เป็นฮองเฮาแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าไร้มารยาทกับตนมานานมากแล้วเมื่อเห็นหยางหงหนิงพุ่งเป้ามาที่ตนครั้งแล้วครั้งเล่าไหนเลยจะทนได้นางทำหน้านิ่งพลางตะคอกเสียงดุ “คุณหนูผู้นี้เคยเรียนหนังสือหรือไม่? อาจารย์ของเจ้ามิเคยสอนมารยาทให้เจ้าหรือ?”“เด็กอายุสามขวบยังรู้ดีว่าผู้ใหญ่พูดอยู่มิควรพูดสอด แต่เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วกลับมิเข้าใจแม้แต่มารยาทพื้นฐาน!”“คุณชายหรง นางเป็นนางรับใช้ของเจ้าหรือ? คนรับใช้เช่นนี้ต่อไปก็อย่าได้พาออกมาให้อับอายผู้คนเลย!”หยางหงหนิงถูกหลิงอวี๋ตำหนิก็หน้าแดง นางมิเคยคาดคิดเลยว่า สตรีป่าเถื่อนที่พบในภูเขาจะกล้าทำให้ตนอับอายเช่นนี้!
“หลิงอวี๋ จ้าวหรุ่ยหรุ่ยผู้นี้เป็นใครหรือ?”ดูเหมือนว่าเย่หรงจะรู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบเกินไป จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน“เป็นผู้บำเพ็ญตนเช่นเดียวกับเจ้า คราก่อนต่อสู้กับข้าแล้วได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงตามหาบุรุษและสตรีมีครรภ์มาบำเพ็ญวิชาลับชั่วร้ายเพื่อฟื้นฟูพลัง!”หลิงอวี๋คิดถึงเจตนาของเย่หรง แล้วก็อดมิได้ที่จะเอ่ยด้วยความโกรธและประชด “ใต้หล้านี้มีคนไร้ยางอายเช่นนี้ ความสามารถของตนมิเพียงพอ จึงไปเดินเส้นทางที่มิถูกต้อง คนเช่นนี้แม้จะมีชีวิตอยู่ได้ร้อยปีแล้วจะมีความหมายอะไร!”“ลึก ๆ แล้วพวกเขาก็คือหัวขโมย มีชีวิตอยู่หลายร้อยปีก็มิอาจชำระล้างสิ่งสกปรกในกระดูกเหล่านั้นได้!”หลิงอวี๋เอ่ยโดยนัยสองความหมาย ในทางตรงคือด่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ย และในทางแฝงคือด่าตระกูลเย่กับตระกูลเฉียวที่มาสอดแนมหยกหล้าสุขาวดีของตนมิรู้ว่าเย่หรงเข้าใจหรือไม่ แต่สีหน้าของเขายังคงเป็นเช่นเดิมหลิงอวี๋ก็หมดคำพูดแล้ว รู้สึกว่าการพูดแบบแฝงนัยของตนราวกับสีซอให้ควายฟังอย่างไรก็มิสามารถปลุกคนที่แกล้งหลับได้!ในเมื่อเย่หรงทำเป็นมิเข้าใจคำพูดแฝงนัยของตน แล้วนางจะปลุกความละอายใจของเขาได้อย่างไร!เสียทีที่ขันทีโม
เมื่อหลิงอวี๋เห็นหยางหงหนิงก็ตะลึงไปเล็กน้อย แล้วก็นึกถึงคำขู่ที่หยางหงหนิงบอกว่าจะทำให้เย่หรงแต่งงานกับนางให้ได้ภายในหนึ่งเดือนหรือว่าหยางหงหนิงทำมิได้ ในตอนนี้จึงคิดจะมาทำให้ตนลำบาก?“สิงอวี๋ เจ้าจะเป็นศัตรูกับข้าจริง ๆ หรือ?”เป็นดังที่คาด ทันทีที่เอ่ยปากหยางหงหนิงก็เอ่ยขึ้นมาอย่างก้าวร้าว “เจ้าก็รู้อยู่ว่าข้าชอบเย่หรง เจ้ายังกล้าชวนเขาไปที่ภูเขาหมางหลิ่งด้วยกันอีก เจ้ายังจะเถียงว่าเจ้ามิชอบเขาอีกหรือ!”“ข้าขอเตือนเจ้า อยู่ให้ห่างจากเย่หรง มิฉะนั้นข้าจะมิเกรงใจเจ้าแน่!”หลิงอวี๋หมดคำพูดไปทันที ตนมาที่สำนักศึกษาชิงหลงเพื่อศึกษาเล่าเรียน มิใช่มาแย่งชิงบุรุษกับผู้ใด!ในหัวของหยางหงหนิงนั้นนอกจากเรื่องระหว่างบุรุษกับสตรีแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นเลยหรือ?“คุณหนูหยาง ข้าได้แสดงทัศนคติของจ้าไปอย่างชัดเจนแล้ว เย่หรงเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาจะชอบใครก็เป็นอิสระของเขา!”“ข้ามิได้ตั้งใจจะแย่งเขากับเจ้า เจ้าก็อย่ามายุ่งกับข้าเช่นกัน!”หลิงอวี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยบอกไปแล้วว่า เจ้าอย่าได้ผลักเขาให้ไกลออกไปเรื่อย ๆ แล้วเจ้าดูพฤติกรรมของเจ้าในตอนนี้สิ แพ้แล้วก็มิรักษาคำพูด แล้ว
“ฮูหยินเฉียว นอกจากนี้แล้ว พวกเราต้องตามหาป้าวซวนให้เจอโดยเร็วที่สุดด้วย!”นี่คือสิ่งที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยนึกขึ้นได้ตอนที่ถูกเซียวหลินเทียนซักถาม แม้ว่าตอนนั้นจะเป็นการรับมือกับเซียวหลินเทียน แต่หลังจากนั้นจ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็รู้สึกว่าคำโกหกที่ตนพูดไปนั้นสามารถนำมาใช้ได้เช่นกันหลิงอวี๋เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพและศีลธรรม นางกับป้าวซวนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน หากจับตัวป้าวซวนไว้ จะต้องล่อให้หลิงอวี๋มาติดกับได้อย่างแน่นอนเป็นดังที่นางบอกกับเซียวหลินเทียนไว้ว่า ป้าวซวนมิได้ฉลาดเท่าหลิงอวี๋ นางไม่มีทางหนีการไล่ล่าของตำหนักหมาป่าสวรรค์ได้อย่างแน่นอน“ฮูหยินเฉียว ข้าเคยบอกเซียวหลินเทียนไว้ว่า หลิงอวี๋จะไปช่วยป้าวซวน เซียวหลินเทียนจะต้องมิอยากให้หลิงอวี๋ตกอยู่ในอันตรายแน่นอน ขอเพียงพวกเราปล่อยข่าวออกไปว่าป้าวซวนอยู่ในมือพวกเรา เซียวหลินเทียนจะต้องชิงมาช่วยป้าวซวนก่อนหลิงอวี๋เป็นแน่!”“เมื่อเป็นเช่นนี้ มิว่าใครจะมาช่วย พวกเราก็จะสามารถหนึ่งในนั้นได้แล้ว!”กลยุทธ์ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้รับการชื่นชมจากฮูหยินเฉียว ฮูหยินเฉียวจึงให้คนออกไปแพร่ข่าวลือในทันทีในขณะเดียวกันก็วางกับดักไว้อย่างรัดกุม
หลิงอวี๋คิดตามความคิดนี้ต่อไป ก่อนหน้านี้เถาจื่อขอให้ตนช่วย และบอกไว้ว่าหากตัวตนของเซียวหลินเทียนถูกเปิดเผยออกไป ชีวิตของคนนับร้อยในคฤหาสน์อู่อาจตกอยู่ในอันตรายนั่นก็คือปัจจัยที่เซียวหลินเทียนกังวลเซียวหลินเทียนมิได้เปิดเผยตัวตนของตน ก็แค่มิอยากเปิดโปงตนให้ผู้อื่นรู้เขาต้องการเก็บหยกหล้าสุขาวดีไว้ผู้เดียว!นี่ก็หมายความว่า ในตอนที่เซียวหลินเทียนยังคลี่คลายวิกฤตมิได้นั้น นางจะปลอดภัยอยู่ก่อนชั่วคราวหลิงอวี๋บอกสิ่งที่ตนนึกได้กับผู้รอบรู้ แล้วสุดท้ายก็เอ่ยออกมา “พวกเรายังมีเวลา กระทั่งงานประมูลตอนปลายเดือนจัดขึ้น แล้วจะได้รับเงินจากการประมูลโสมเก้าคด จากนั้นพวกเราก็จะหาวิธีออกไปจากเมืองหลวงแดนเทพกัน!”“ตอนนี้เซียวหลินเทียนไม่มีทางทำให้พวกเราลำบากแน่ หากเขากล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่น พวกเราก็จะกระจายข่าวเรื่องเสือปีกกาฬออกไปเพื่อดึงดูดความสนใจของตระกูลเหล่านั้น!”หลิงอวี๋นึกถึงคำพูดของเย่หรงเมื่อครู่ ในเมื่อนางกับเย่หรงมีโชคชะตาของเมื่อชาติที่แล้ว เช่นนั้นก่อนจากไปนางจะต้องช่วยให้เขาช่วยมารดาของเขาออกมาให้ได้“พี่ใหญ่ ท่านช่วยข้าสืบอีกสักหน่อยเถิดว่า ในเกวียนทาสหญิงที่เซียวหลินเที
“เย่หรง!”หลิงอวี๋เรียกงึมงำ และกำลังคิดว่าจะบอกเรื่องภาพที่ตนเห็นกับเย่หรงเพื่อยืนยันสักหน่อย แล้วก็ได้ยินเสียงประตูใหญ่ดังมาแย่แล้ว!หรือว่ามีคนแอบฟัง?หลิงอวี๋ตกใจจนเด้งตัวลุกขึ้นทันที เย่หรงเองก็ชักกระบี่ออกมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน“น้องหญิง ข้ากลับมาแล้ว!”เสียงของผู้รอบรู้ดังขึ้นมา เมื่อหลิงอวี๋ได้ยินว่าเป็นผู้รอบรู้จึงได้ถอนหายใจโล่งอก แล้วเก็บแผนที่ไปอย่างรวดเร็ว“พี่ชายข้ามิรู้ว่าท่านกำลังวางแผนเรื่องพวกนี้ อย่าได้หลุดปากไปนะ ข้ามิอยากลากเขาเข้ามาเกี่ยวด้วย!”เย่หรงพยักหน้าแล้วซ่อนแผนที่ไว้ในมิติ“น้องหญิง…”ผู้รอบรู้พุ่งเข้ามา เมื่อเขาเห็นเย่หรงก็ตะลึงไปเล็กน้อย แล้วกวาดสายตามองทั้งสองคนอย่างสงสัย“เสี่ยวชี ข้ามีธุระอื่นอีก ข้าไปก่อนนะ ไว้วันหลังข้าค่อยมาพาเจ้าไปงานประมูล!”เย่หรงรีบบอกกับหลิงอวี๋แล้วเดินจากไป“เขามาทำอะไร?”ผู้รอบรู้เอ่ยถามออกมา“มาหารือกับข้าเรื่องขายเครื่องยาสมุนไพร!”หลิงอวี๋ตอบออกไปแล้วเปลี่ยนหัวข้อ "ท่านสืบได้ข่าวอะไรมาหรือไม่?”ผู้รอบรู้เห็นว่ามีชาอยู่บนโต๊ะ จึงดื่มไปรวดเดียว ก่อนจะเอ่ยออก “น้องหญิง พวกเราต้องออกจากเมืองหลวงแดนเทพโดยเร็ว
“เย่หรง จ้าวหรุ่ยหรุ่ยอ้างว่าเคยจับตัวหลิงอวี๋ได้มิใช่หรือ? เหตุใดนางมิสังหารหลิงอวี๋แล้วชิงหยกหล้าสุขาวดีไปเล่า?”หลิงอวี๋ถามคำถามที่ตนคิดมิตกออกไปเย่หรงจึงหัวเราะเยาะออกมา “ข้ารู้เหตุผลในเรื่องนี้!”“ข้าได้ยินมาว่า หยกหล้าสุขาวดีเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีวิญญาณ ต้องใช้ยาสลายเลือดเนื้อของผู้ครอบครองในขณะที่คนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่จึงจะนำมันไปได้ มิเช่นนั้นหยกหล้าสุขาวดีจะตายไปพร้อมกับความตายของผู้ครอบครอง!”“เครื่องยาสมุนไพรที่พิเศษนี้ก็มีเพียงที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น และเมื่อขุดเครื่องยาสมุนไพรนี้ออกมาแล้วจะต้องใช้ภายในครึ่งชั่วยาม มิเช่นนั้นก็จะเฉาตายไป!”“ดังนั้น จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงทำได้เพียงต้องพาหลิงอวี๋กลับมาที่เมืองหลวงแดนเทพ และเข้าสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เพื่อหาเครื่องยาสมุนไพรนั้น จึงจะสามารถนำหยกหล้าสุขาวดีออกมาจากตัวหลิงอวี๋ได้!”หลิงอวี๋ฟังแล้วก็ขนลุกซู่ เข้าใจเหตุผลแล้วว่าเหตุใดจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงมิสังหารตน!จริงสิ หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่เซียวหลินเทียนมิสังหารนางเช่นกัน?เขาเองก็อยากได้หยกหล้าสุขาวดีที่ตัวนางด้วยใช่หรือไม่?แต่เมื่อคิดอีกแง่หนึ่ง หลิงอวี๋ก็รู้ส
เย่หรงแสดงสีหน้าสับสนออกมา “ภรรยาของแม่ทัพเฉิงมีเนื้องอกในสมอง สองปีมานี้นางกินยาไปมิน้อยแต่ก็มิดีขึ้น!”“ได้ยินว่าอาการป่วยของฮูหยินเฉิงแย่ลงเรื่อย ๆ แม้แต่คนรอบตัวนางก็จำมิได้แล้ว...”“ใต้หล้านี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรักษาโรคนี้ได้!”“แม่ทัพเฉิงกับภรรยาของเขามีความสัมพันธ์ที่ดีมาก หากข้าสามารถหาคนผู้นี้ แล้วช่วยภรรยาของแม่ทัพเฉิงให้หายจากโรคนี้ได้ แม่ทัพเฉิงก็จะเป็นสายลับที่ดีที่สุด!”หลิงอวี๋กลอกตาใส่เย่หรง “สรุปแล้วเป็นผู้ใดกันที่สามารถรักษาโรคเช่นนี้ได้? เหตุใดท่านทำราวกับเป็นนักเล่าเรื่อง เอาแต่ทำให้รอฟังอยู่นั่น!”เย่หรงมองหลิงอวี๋ แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้ม “เจ้ารู้จักสตรีคนหนึ่งที่ตระกูลเฉียวเสนอรางวัลค่าหัวหรือไม่?”“หลิงอวี๋! นางคือคนเดียวในใต้หล้าที่สามารถรักษาโรคของฮูหยินเฉิงได้!”หลิงอวี๋!หลิงอวี๋ตะลึงไปทันที ที่แท้คนที่เย่หรงพูดถึงก็คือตน!“หลิงอวี๋มีทักษะการแพทย์ยอดเยี่ยม นางผ่าท้องมารดาของข้าหลวงเก๋อรักษาโรคประหลาดท้องโตของนางจนหายได้!”“มีเพียงหลิงอวี๋เท่านั้นที่จะสามารถทำการผ่าตัดเนื้องอกในสมองของฮูหยินเฉิงได้!”เย่หรงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วเอ่ย “แต่ขนาดต
หลิงอวี๋มองไปทางเย่หรงอย่างสงสัย “สระเก้ามังกรมีรายละเอียดอะไรหรือ?”เย่หรงยิ้มเยาะแล้วเอ่ยออกมา “เจ้าลองคิดดู หากเป็นเพียงการคุมขังนักโทษจำนวนหนึ่ง จำเป็นต้องส่งแม่ทัพเฉิงที่สำคัญเช่นนี้ไปด้วยหรือ?”“ราชวงศ์มิอนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปที่ภูเขาด้านหลัง ก็เพื่อจะปิดบังความลับเอาไว้!”“ในสระมังกรที่ภูเขาด้านหลังมีสัตว์เทพอยู่… และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นมังกรฟ้าที่เป็นพาหนะของหลงอี้ในตอนนั้น!”“ข้าไปสืบจากคนมามากมาย แต่คนที่รู้เรื่องราวภายในมีอยู่น้อยนัก นี่คือสิ่งที่ข้าอนุมานได้จากเบาะแสบางส่วน!”เย่หรงยิ่งพูดก็ยิ่งสนุก “ข้าถึงขนาดสงสัยว่าแผ่นดินไหวเมื่อสองร้อยปีก่อนมิใช่ภัยธรรมชาติ แต่เกิดจากมังกรฟ้าต่างหาก!”“ก่อนหน้านี้สระเก้ามังกรก็มีเครื่องยาสมุนไพรอยู่มากเช่นกัน และราชวงศ์ก็มิได้ห้ามให้ผู้บำเพ็ญตนไปเก็บสมุนไพร แต่นับตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่นั้น ราชวงศ์ก็มิอนุญาตให้ใครไปเก็บสมุนไพรที่ภูเขาด้านหลังของสระเก้ามังกรมาเป็นเวลาเกือบสองร้อยปีแล้ว!”“ข้าไปถามชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่เชิงเขามา ผู้สูงอายุคนหนึ่งในกลุ่มพวกเขาบอกว่า เมื่อนานมาแล้วจะได้ยินเสียงร้องประหลาดอยู่เป็นบางครั้ง
ขณะที่เย่ซื่อฝานกำลังพูดอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้ววิ่งไปหาที่โต๊ะตำรา จากนั้นก็หยิบจดหมายเชิญส่งให้หลิงอวี๋“วันนี้อย่าเพิ่งไปที่หอธุวดารา ช่วงปลายเดือนนี้พวกเขาจะจัดงานประมูลพิเศษขึ้นมา ถึงเวลานั้นจะมีคนรวยมากหลายไปเข้าร่วมงานประมูลนี้!”“หอธุวดาราส่งจดหมายเชิญมาให้ข้าสองสามฉบับ ถึงเวลานั้นพวกเราไปด้วยกัน จะได้ช่วยเจ้าขายให้ได้ราคาดี”“เจ้าค่ะ!” หลิงอวี๋รับจดหมายเชิญมาแล้วขอลากลับก่อนเมื่อนางมาถึงที่ประตูก็พบกับเย่หรงที่กลับมาพอดีเมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าเขาปลอดภัยดี จึงเอ่ยออกไป “ข้ากังวลว่าท่านจะมิได้กลับมาอย่างปลอดภัย ท่านมิเป็นอะไรก็ดีแล้ว!”เย่หรงยิ้มอย่างเก้อเขิน “ตอนนั้นเสือไล่ตามพวกเราจนวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง กระทั่งเสือหายไป ข้าก็กลับไปหาพวกเจ้า แต่ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว!”“หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ข้าจึงได้ออกไปก่อน!”“เฮ้อ หากข้ามิออกไปก่อนก็คงดี จะได้เห็นเสือปีกกาฬ!”เย่หรงมิได้บอกหลิงอวี๋ว่า เขาได้ยินจ้าวหรุ่ยหรุ่ยรวบรวมกำลังคนเพื่อจับตัวเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ เขาต้องการให้หลิงอวี๋ช่วยอยู่พอดี จึงตามหาหลิงอวี๋ไปทั่ว“เจ้าพบสมบัติอะไร
หลังจากคุยเรื่องไป่หลี่ไห่จบแล้ว หลิงอวี๋ก็หยิบเครื่องยาสมุนไพรบางส่วนที่ตนมิรู้จักออกมาแล้วเอ่ย “ท่านอาจารย์ นี่คือเครื่องยาสมุนไพรที่ข้าเก็บมาจากภูเขาหมางหลิ่ง ท่านช่วยข้าดูทีว่าคืออะไร?”เย่ซื่อฝานเห็นดังนั้นก็สนใจขึ้นมาทันที แล้วอธิบายให้หลิงอวี๋ฟังทีละอย่างสุดท้ายเย่ซื่อฝานก็เอ่ยขึ้นมา “ข้าสามารถซื้อเครื่องยาสมุนไพรที่เจ้านำมาเหล่านี้ในราคาตลาดได้ แต่นอกจากพวกนี้แล้วหอโอสถซ่างกู่ของเรามิต้องการ หากเจ้าอยากจะขายในราคาดี ให้ไปที่ตลาดเครื่องยาสมุนไพร...”“เดี๋ยวนะ นี่คืออะไร?”เย่ซื่อฝานดูไปก็คัดแยกเครื่องยาสมุนไพรไปด้วย และเมื่อเขาเห็นเครื่องยาสมุนไพรที่ดูคล้ายโสมแต่ก็มิคล้าย เขาก็หยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียด“ท่านอาจารย์ ข้าเองก็มิแน่ใจเช่นกันว่าสิ่งนี้คืออะไร!”หลิงอวี๋เห็นว่าเย่ซื่อฝานพิจารณาเครื่องยาสมุนไพรที่ดูแปลกประหลาดนี้จึงเอ่ยขึ้นมา“ข้าได้กลิ่นโสม แต่กลับดูมีพิษ!”ในตอนที่เย่ซื่อฝานคัดแยกเครื่องยาสมุนไพร เขาจะสวมถุงมือพิเศษไว้ เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี๋ เขาก็พยักหน้า “ความรู้สึกของเจ้ามิผิด เครื่องยาสมุนไพรนี้มีพิษจริง ๆ!”“เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจำได้ว่าในตำราโบราณเคย