“เงียบ!”เมื่อดูนางรับใช้เหล่านั้นพูดเหมือน ๆ กันแล้ว จ้าวซวนยกมือกล่าวคำ “ขอให้ท่านอ๋องโปรดไต่สวนต่อพ่ะย่ะค่ะ!”คนรับใช้เหล่านั้นต่างเงียบ มองเซียวหลินเทียนอย่างคาดหวังสีหน้าเซียวหลินเทียนดำทะมึน เมื่อครู่เขากำลังพิจารณาตัวเอง ตำหนักแห่งนี้เกิดเรื่องขึ้นมากเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่รู้อะไรเลย!นี่ท่านอ๋องอี้ผู้นี้หัวทึบแค่ไหนกันแน่?เขาไม่มีหน้าโยนความผิดให้พ่อบ้านฟั่น การถูกหลอกคือความอัปยศของเขา! และเป็นความโง่เขลาของเขาเช่นกัน!เซียวหลินเทียนหลับตาลง พลางลืมตาอีกครั้งก็ตัดสินใจแล้วความผิดเกิดขึ้นแล้ว ภายหน้าเขาจะใช้เรื่องนี้เตือนสติตัวเองเสมอแล้วกัน ความผิดแบบนี้จะได้ไม่เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต!“พ่อบ้านฟั่น เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”เซียวหลินเทียนเอ่ยถามเสียงเย็นชา“กระ… กระหม่อม...”พ่อบ้านฟั่นพูดอึกอัก ในที่สุดก็หักใจคุกเข่ากับพื้นอย่างแน่วแน่“เป็นกระหม่อมโง่เขลาแล้ว! ละทิ้งความไว้วางใจของท่านอ๋อง! สมควรประหารกระหม่อมหมื่นครั้ง!”“เจ้ายอมรับความของนางรับใช้เหล่านี้หรือไม่?”เซียวหลินเทียนเอ่ยถามพ่อบ้านฟั่นก้มหน้าพลางกล่าวสำนึกเสียใจ “กระหม่อมมิใช่คน เป็นเดรั
“ไป่สือ ไปปลุกเขาเสีย!”เซียวหลินเทียนยังมีคำถามอีก ครั้นเห็นพ่อบ้านฟั่นเป็นลมก็พลันสั่งไป่สือไปข้างหน้าทันทีไป่สือวิ่งรุดไปถึงพบว่าพ่อบ้านฟั่นหน้าดำหน้าแดง โลหิตไหลออกจมูก มุมปากเปี่ยมฟองขาวเขาตระหนกรีบตรวจชีพจรพ่อบ้านฟั่น ชีพจรพ่อบ้านฟั่นสับสน บ้างเร็วบ้างช้า…“ท่านอ๋อง… พ่อบ้านเป็นโรคหลอดเลือดสมองแล้วพ่ะย่ะค่ะ! คาดว่าตกใจมากเกินไป… แม้จะช่วยให้ฟื้นก็อยู่ได้ไม่นานแล้ว!”หลิงอวี๋ฟังแล้วใจสั่นสะท้าน มันบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร?ขณะกำลังไต่สวนพ่อบ้านฟั่นอาการป่วยเขาพลันกำเริบทันที เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนวางหมากไว้?นางมองทางชิวเหวินซวงทันควัน พบว่าชิวเหวินซวงห่างกับพ่อบ้านฟั่นไกลห้าหกเมตร แถมมีคนรับใช้กั้นกลางระยะห่างเช่นนี้เรื่องคิดวางอุบายแทบเป็นไปไม่ได้เลย!หลิงอวี๋ครุ่นคิดไม่วางใจลง เดินไปพลางกล่าว “ข้าลองดูหน่อย!”นางนั่งยองข้างพ่อบ้านฟั่น ใช้การสัมผัสของตนตรวจอาการป่วยพ่อบ้านฟั่นจากนั้นหลิงอวี๋ตรวจชีพจรพ่อบ้านฟั่น หัวคิ้วพลันขมวดทันใดลักษณะนี้ของพ่อบ้านฟั่นไม่เหมือนถูกคนวางอุบาย!แต่ก็มิใช่โรคหลอดเลือดสมองทั่วไป นี่ยิ่งเหมือนลักษณะของโรคเลือดออกในสมอง!นางสัมผัส
พ่อบ้านฟั่นอยู่ได้ไม่เกินสองชั่วยามก็พลันสิ้นใจแม่นมลี่ได้ยินข่าวก็วิ่งมาเรียนหลิงอวี๋ให้ทราบทันควันนางถ่มน้ำลายพลางด่าทอ “ตาเฒ่าเดรัจฉานผู้นี้ เขาตายแบบนี้สบายเกินไปแล้ว!”แม่นมลี่ถอนหายใจ เอ่ยอีกว่า “เฒ่าเดรัจฉานถึงตายก็ไม่สาสมต่อความผิด! อย่างไรเสียภรรยากับลูกสะใภ้ของเขาต้องรับโทษตาม! ท่านอ๋องไม่อภัยพวกนางแน่!”หลิงอวี๋นึกถึงสีหน้าเปี่ยมความผันผวนของแม่นางฟั่นก็เอ่ยถามทันใด “ภรรยากับลูกสะใภ้ของเขาเป็นคนเช่นไร?”แม่นมลี่ตอบ “แม่นางฟั่นคือคนซื่อสัตย์ทำตามกฎ เทียบไม่ได้กับความคิดโสมมพวกนั้นของพ่อบ้านฟั่น! พ่อบ้านฟั่นช่วยท่านอ๋องดูแลตำหนักอ๋องอี้ แม่นางฟั่นไม่ได้ทำอะไรเลยไม่มีคนกล้าต่อว่านาง!”“แต่แม่นางฟั่นซื่อสัตย์จริงใจ แต่ไหนมาไม่เคยอวดอำนาจของพ่อบ้านฟั่น หากในตำหนักมีเรื่องอะไรนางล้วนรีบไปทำ!”“นางช่วยปะซ่อมเสื้อผ้าขององครักษ์พวกนั้นด้วย มีคนเจ็บป่วยนางก็จะช่วยต้มยา! พูดได้ว่าหลายคนในตำหนักเคยได้กรุณาคุณจากนางทั้งนั้นเจ้าค่ะ!”หลิงซินพยักหน้าอยู่ข้าง ๆ “แม่นางฟั่นเป็นคนดีนัก! เมื่อก่อนเราไม่มีข้าวกิน แม่นางฟั่นเห็นบ่าวเดินเตร่ที่ห้องครัวยังแอบเคยยัดหมั่นโถวให้บ่าวด้วยเจ้า
เรือนริมวารีบนโต๊ะหนังสือของเซียวหลินเทียนมีกองสมุดบัญชีพะเนินเทินทึก เขามองพลางหน้าบูดหน้าบึ้งจ้าวซวงเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านอ๋อง แม้สมุดบัญชีเป็นของเรือนชั้นในตำหนักอ๋องอี้ แต่กระหม่อมมิกล้าสุ่มหาคนตรวจบัญชี! ทั้งช่วงนี้ยังหาคนที่เหมาะ ๆ ไม่พบด้วยพ่ะย่ะค่ะ! เลย...”เซียวหลินเทียนนวดหว่างคิ้ว แน่นอนว่าเขาเข้าใจความกังวลของจ้าวซวนพ่อบ้านฟั่นตายแล้ว ภาระที่ทิ้งไว้ยิ่งทำให้เซียวหลินเทียนรู้สึกว่าเมื่อก่อนตนละเลยการดูแลเรือนชั้นในมากขึ้น ซึ่งคือเรื่องที่อันตรายนัก!เขาไว้วางใจพ่อบ้านฟั่นมาตลอด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพ่อบ้านฟั่นจะหลอกใช้ความไว้ใจของตนยักยอกเงินมากเพียงนั้นทั้งหมดหนึ่งแสนตำลึงเงิน!ครั้นพวกจ้าวซวนหาพบก็ส่งคืนถึงมือเซียวหลินเทียน เซียวหลินเทียนไม่อยากจะเชื่อเลยเงินเหล่านี้ยังไม่นับอัญมณีโบราณ ยังมีรางวัลของเทศกาลปีใหม่จากจักรพรรดิด้วยพ่อบ้านฟั่นยังแอบแม่นางฟั่นซื้อเรือนสี่ประสานอยู่ด้านนอก เป็นพวกจ้าวซวนตรวจพบโฉนดที่ดิน พอไปแล้วถึงค้นเจออัญมณีโบราณเหล่านั้นในเรือนสี่ประสานการระบายอารมณ์โกรธและปวดใจของเซียวหลินเทียนไม่เพียงพอ เขาครุ่นคิดพิจารณาตัวเองทั้งคืนการ
“หลิงเยวี่ยโดนลักพาตัวหลังจากที่ตัวข้าพูดว่าต้องการสืบหาความจริงการหายตัวของเฮยจื่อ!”เซียวหลินเทียนยิ้มหยันกล่าวคำ “เจ้าลองคิด เหตุใดพ่อบ้านฟั่นถึงอยากฆ่าหลิงเยวี่ยเวลานี้เล่า?”ลู่หนานมึนงงพลางส่ายศีรษะ “กระหม่อมนึกออกแค่ฆ่าคนปิดปาก คิดอย่างอื่นไม่ออกจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ!”“จ้าวซวน เจ้าพูดสิ!” เซียวหลินเทียนมองทางจ้าวซวนจ้าวซวนกล่าวว่า “เมื่อท่านอ๋องต้องการตรวจสอบการหายตัวของเฮยจื่อ พ่อบ้านฟั่นกับชิวเหวินพลันเกิดความวุ่นวายใจ! เรื่องนี้ต้องตรวจให้ถี่ถ้วน ว่าเหตุใดทั้งสองทนการสอบสวนไม่ได้!”“สุภาษิตกล่าวว่าชักนำภัยพิบัติสู่ฝั่งบูรพา(1)... ลักพาตัวหลิงเยวี่ยไปข้างนอกก็จะสามารถมุ่งเป้าการสืบสวนของเราหันเหไปนอกตำหนักอ๋องอี้ได้...”“มิใช่ว่าจะพุ่งความสงสัยต่อท่านอ๋องผิงหยางหรือ?”จู่ ๆ ลู่หนานพลันเข้าใจทันที “ข้อสงสัยต่อท่านอ๋องผิงหยางเป็นชิวเหวินซวงเอ่ยขึ้น!”“หากเราเชื่อคำพูดนางไปสืบสวนท่านอ๋องผิงหยาง นั่นคงเสียเวลาไม่พอ แต่เฮยจื่อกับหลิงเยวี่ยอาจถูกฆ่าตายไปแล้ว หรือถูกขายไปสถานที่ที่ไกลแสนไกล!”“ถ้ามิใช่เฉินเม่าต่อหน้าทำอย่างลับหลังทำอย่าง เขาได้ฆ่าเฮยจื่อกับหลิงเยวี่ยตามแผนพวกเข
ชายาผิงหยางผูกคอตาย ฉินรั่วซือก็มิได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องรองเจ้ากรมวังแล้วเช่นกันช่วงไม่กี่วันนี้นางจิตใจวุ่นวายอยู่เรือน หวั่นเหตุการณ์ที่ตนก่อในงานฉลองวังหลวงจะแกลบูรพาเรื่องเผย(1)วันนี้ขณะนางกำลังวุ่นใจไม่เป็นสุข นางรับใช้ข้างกายของนาง เสี่ยวหลาน วิ่งร้อนรนเข้ามา“เสี่ยวหลาน พี่จางเฮ่อกลับจวนรึยัง?”สีหน้าเสี่ยวหลานขาวซีด โดยปิดประตูเสร็จถึงกล่าวคำ “คุณหนู ในที่สุดใต้เท้าจางก็กลับจวนวันนี้แล้วเจ้าค่ะ! เขาบอกว่าขันทีเซี่ยกำลังสอบสวนเรื่องที่นั่งและการตกแตกของกำนัลช่วงสองวันนี้เจ้าค่ะ!”“อา...”ฉินรั่วซือก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น ประหวั่นจนสีหน้าซีด สอบสวนจริงหรือ? แล้วนางจะยังปกปิดมันได้อยู่รึ?“ทำอย่างไรดี? ว่าแต่ พี่จางเฮ่อพูดถึงข้าหรือไม่?”ฉินรั่วซือครุ่งคิดถึงตรงนี้ พลางลุกขึ้นเร็วรี่คว้ามือเสี่ยวหลานเสี่ยวหลานเสียงสั่นเครือ “ใต้เท้าจางพูดว่าขันทีเซี่ยสืบสวนตามประสงค์ของไทเฮา พระชายาอ๋องอี้เป็นแขกที่ไทเฮาเชิญ คาดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าไม่จัดที่นั่งให้นาง แถมยังทำของกำนัลที่นางถวายแตกด้วยเจ้าค่ะ!”“ไทเฮาทรงพิโรธมาก! ใต้เท้าจางบอกว่า ครั้นขันทีเซี่ยสืบสวนเขาเขาก็ตอบแบบขอไป
ฉินรั่วซือใจร้ายขึ้นมาทันที พลางเอ่ย “องค์หญิงหก องค์หญิงก็รู้ว่าก่อนที่ท่านพี่หม่อมฉันจะไปสนามรบนั้นก็ไปเรียนวรยุทธกับท่านอดีตเสนาบดีอยู่ตลอด เขามักจะไปที่จวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนอยู่บ่อยครั้ง!”“ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งเข้า หลิงอวี๋คนชั้นต่ำนั่นก็ชอบท่านพี่ของหม่อมฉัน แล้วก็เกาะแกะท่านพี่หม่อมฉันมาตลอด อยากจะแต่งงานกับท่านพี่หม่อมฉัน!”เซียวทงเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ เป็นครั้งแรกที่นางได้ฟังเรื่องนี้หลิงอวี๋ วันนั้นที่งานฉลองวันพระราชสมภพไทเฮาก็พยายามทำตัวเด่น เซียวทงจดจำนางได้ดีเลย“ท่านพี่รำคาญที่ถูกนางเกาะแกเหลือทนเพคะ จึงไปเข้าร่วมกองทัพเพื่อที่จะสลัดนางออกให้ได้!”“แต่คนชั้นต่ำเยี่ยงหลิงอวี๋นั้น แต่งงานแล้วก็ยังมิวาย! พอรู้ว่าท่านพี่กลับมา ก็คิดวิธีจะเข้าใกล้ท่านพี่เพคะ!”ตอนที่ฉินรั่วซือมาก็คิดเอาไว้อย่างดีแล้ว เพื่อที่จะให้ฉินซานได้แต่งงานกับองค์หญิงหก นางจะพูดเรื่องที่ฉินซานยังเฝ้าคิดถึงหลิงอวี๋ไม่ได้เป็นอันขาดดังนั้น จึงทำได้เพียงแก้เป็นหลิงอวี๋เฝ้าคิดถึงฉินซานแทน“องค์หญิงก็รู้ว่าท่านพี่หม่อมฉันเป็นคนซื่อตรง ไม่มีทางไปมีอะไรกับคนชั้นต่ำเยี่ยงหลิงอวี๋ได้หรอกเพคะ!”“แต่ท่าน
เมื่อฉินรั่วซือเอ่ยถึงอนาคตของฉินซาน ความลังเลของเซียวทงก็หายไปในทันทีนางหลงรักฉินซานจากใจจริง จะไม่ช่วยเขาได้เยี่ยงไร จะปล่อยให้เรื่องของฉินรั่วซือกระทบต่ออนาคตของฉินซานได้หรือ!นางเอ่ยขึ้นมาทันที "เอาเถิด ข้าจะช่วยเจ้าเอง! ข้าจะไปเข้าเฝ้าไทเฮาแล้วรับผิดในเรื่องนี้!"“องค์หญิงหก… เรื่องนี้จะไม่ทำให้องค์หญิงลำบากจริง ๆ หรือเพคะ?”เมื่อฉินรั่วซือเห็นว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็แสดงความเป็นห่วงจอมปลอมทันทีเซียวทงเม้มริมฝีปาก ไม่อยากให้ฉินรั่วซือดูถูกตนเอง นางจึงเอ่ย“เรื่องเล็กน้อยเอง มีอะไรลำบากกันเล่า? ไทเฮาเป็นท่านย่าของข้า พระนางจะลงโทษข้าเหตุเพราะคนนอกได้รึ?”"ลุกขึ้นเถิด!" เซียวทงช่วยพยุงฉินรั่วซือให้ลุกขึ้นนางเกิดมาในราชวงศ์ แม้ว่าจะอ่อนประสบการณ์ แต่ก็ยังคงมีอุบายเฉกเช่นหญิงในวังอยู่ก่อนหน้านี้เซียวทงบอกเป็นนัยอยู่หลายครั้งแล้วเรื่องที่ตนเองชอบฉินซาน แต่ฉินรั่วซือไม่เคยมีท่าทีใด ๆ เลยวันนี้นางช่วยฉินรั่วซือแล้ว ฉินรั่วซือไม่มีทางที่จะเมินเฉยได้อีกต่อไปแล้ว!เซียวทงยิ้มพลางเอ่ย "อีกประเดี๋ยวประตูวังก็จะปิดแล้ว คืนนี้เจ้าไม่ต้องออกจากวัง! อยู่คุยกับข้าในวังแล้วกัน!"“ข้
ที่จริงแล้วหลิงอวี๋เองก็มิอยากให้เสวี่ยหลานไปตายหรอก นางแค่อยากจะลงโทษเสวี่ยหลานสักหน่อยเท่านั้นในความคิดของหลิงอวี๋ เด็กคือกระดาษเปล่าที่ไร้เดียงสาแม้ว่าเจ้าวังจะโปรดปรานเจ้าวังน้อยมาก แต่เจ้าวังก็ไม่มีทางจะติดตามเจ้าวังน้อยได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงผู้ที่รับผิดชอบในการสั่งสอนและดูแลเจ้าวังน้อยคือเสวี่ยหลานกับเสวี่ยเหมยเสวี่ยหลานเมินเฉยต่อการกระทำชั่วร้ายของเจ้าวังน้อยและมิได้สั่งสอน นี่คือการมิรับผิดชอบต่อเจ้าวังน้อยหลิงอวี๋อยากจะใช้สิ่งนี้สั่งสอนบทเรียนที่ลึกซึ้งแก่เสวี่ยหลานดูเหมือนว่ามิเคยมีผู้ใดให้คำแนะนำเช่นนี้กับหวงฝู่หมิงจู นางเอียงหัวเล็ก ๆ คิด แล้วรู้สึกว่าสิ่งที่หลิงอวี๋พูดนั้นมีเหตุผล จึงเอ่ย “เช่นนั้นวันนี้เปลี่ยนเป็นเสวี่ยหลานไปต่อสู้กับหมาป่าหิมะ!”“เจ้าวังน้อย อย่าไปฟังนาง นางแค่อยากแก้แค้นบ่าวที่เฆี่ยนตีนางเมื่อวานเพคะ!”เสวี่ยหลานร้องออกมาอย่างกังวล “เจ้าวังน้อย บ่าวภักดีต่อท่าน แต่สตรีมาใหม่ผู้นี้เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ควรจะโยนนางเข้าไปต่อสู้กับหมาป่าหิมะนะเพคะ!”เมื่อหลิงอวี๋ได้ยินว่าเสวี่ยหลานคิดจะลากตนลงน้ำไปด้วย ก็เอ่ย “เจ้าวังน้อยชาญฉลาดยิ่งนัก เหตุ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?เผยอวี้กับฉินซานต่างมองหน้ากัน คำพูดของเด็กถือว่าเป็นเรื่องเหลวไหลได้ แต่หลิงเฟิงเป็นคนกันเอง เขาไม่มีทางโกหก!เซียวหลินเทียนก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อเช่นกัน ในป่านั้นจะต้องมีอะไรแปลก ๆ เป็นแน่!“เช่นนั้นก็อย่าไปเสี่ยงเลย อดทนรอสักสองวัน!”เซียวหลินเทียนมิรู้ว่าในป่ามีอันตรายอะไรอยู่ จะให้แม่ทัพของตนไปเสี่ยงได้อย่างไรหากหลิงอวี๋กับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยต้องเข้าสู่แดนเทพ ก็จะต้องผ่านเมืองซานต้ง พวกเขาเฝ้าอยู่ที่เมืองซานต้งก็อาจจะเจอหลิงอวี๋ได้แม้ว่าจะตัดสินใจที่จะมิเสี่ยงเข้าไปในป่าแล้ว แต่วันรุ่งขึ้นเซียวหลินเทียนก็ยังพาเผยอวี้ ฉินซานและหลิงเฟิงไปสำรวจที่ภูเขาไท่กู่แตกต่างจากคนธรรมดาเช่นหลิงเฟิง พวกเซียวหลินเทียนต่างเป็นผู้บำเพ็ญตน ทันทีที่เข้าใกล้ป่าในภูเขาไท่กู่ ก็สัมผัสได้ถึงความรุนแรงของสนามแม่เหล็กแล้วหลิงอวี๋เคยบอกกับเซียวหลินเทียนเกี่ยวกับเรื่องสนามแม่เหล็กที่เจดีย์วัดไคหยวน เซียวหลินเทียนจึงรู้ทันทีว่าป่าแห่งนี้เหมาะสำหรับการบำเพ็ญตนเขามิกลับไปที่เมืองซานต้ง ให้เผยอวี้ตั้งค่ายอยู่ใกล้ ๆ ให้ทุกคนรอขันทีโม่กับแม่นมอูที่นี่ พลางบำเพ็ญตนไปด้วยเซียวหลิน
แม่ทัพกู่ได้ยินว่าท่านอดีตเสนาบดีจะมาส่งเสบียงด้วยตนเองก็รู้สึกดีใจมาก เขามิได้เจอท่านอดีตเสนาบดีมาหลายปีแล้ว ครานี้จะได้พูดคุยเรื่องเก่า ๆ กันเสียหน่อย!เซียวหลินเทียนซักถามเรื่องสถานการณ์ทางทหาร จึงได้รู้ว่าราษฎรที่อาศัยอยู่ถาวรของเมืองซานต้งมีเพียงประมาณหนึ่งพันคนเท่านั้น โดยส่วนใหญ่เป็นครอบครัวยากจนที่มาหาเลี้ยงชีพในเหมืองถ่านหินเพียงแต่การขนส่งยังมิได้รับการพัฒนา กอปรกับที่เว่ยเหนือกับฉีตะวันออกมักจะทำสงครามกัน เหมืองถ่านหินที่ขุดขึ้นมาจึงมิสามารถขายหรือขนส่งออกไปได้ ชีวิตของทุกคนจึงยากจนข้นแค้นเซียวหลินเทียนกำลังคิดเกี่ยวกับทางเข้าสู่แดนเทพของโม่เหอ จึงเปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่องนี้แทนแม่ทัพกู่จึงได้รู้เรื่องที่หลิงอวี๋ถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยลักพาตัวไปเขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทส่งกระหม่อมมาประจำการที่โม่เหอ ให้กระหม่อมให้ความสนใจกับสิ่งแปลก ๆ ในโม่เหอ กระหม่อมตั้งตัวเมืองหลวงไว้ที่เมืองซานต้งเพราะที่นี่คือสถานที่ที่มีสิ่งแปลก ๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้งพ่ะย่ะค่ะ!”แม่ทัพกู่ยื่นมือชี้ออกไปไกล ๆ “มีภูเขาอยู่ห่างจากที่นี่ไปสามสิบลี้ คนท้องถิ่นเรียกว่าภูเขาไท่กู่ ได้ยินมาว่า ภูเข
“หลิงเฟิง เรื่องผู้ใหญ่ในบ้านของเจ้า ข้าในฐานะคนนอกขอมิแสดงความคิดเห็น!”แม่ทัพกู่เอ่ยอย่างอดทน “ข้าแค่อยากจะบอกเจ้าว่า แม่ของเจ้าก็คือแม่ของเจ้า และเจ้าก็คือเจ้า! ในภายภาคหน้าเจ้าจะเป็นคนแบบใด จะเดินไปในเส้นทางใด มีเพียงเจ้าที่ตัดสินใจได้ ผู้ใดก็มาทำแทนเจ้ามิได้!”“จริงสิ ที่เจ้ามาอยู่ใต้บังคับบัญชาของข้ามิใช่เจตนาของท่านอดีตเสนาบดี แต่เป็นเจตนาของพระชายา!”“นางบอกว่าท่านอดีตเสนาบดีเฉลียวฉลาดมาตลอดชีวิต นางมิอยากเห็นตระกูลหลิงมีลูกที่อกตัญญู นางหวังให้พวกเจ้าพี่น้องใช้ความสามารถเป็นเกียรติแก่ตระกูลหลิงได้!”หลิงเฟิงถือจดหมายของท่านอดีตเสนาบดีและอ่านอย่างตั้งใจตลอดทั้งคืน เขาเชื่อในอุปนิสัยของท่านอดีตเสนาบดี เขาจะไม่มีวันจงใจใส่ร้ายแม่ของตนเพื่อสนับสนุนหลิงอวี๋แน่หลิงเยี่ยนกับหวางซือตายไปหมดแล้ว จากนี้ไปเขาจะเป็นเสาหลักของบ้านรอง เขาควรแบกรับความรับผิดชอบของบ้านรองหลิงอวี๋สามารถฝึกฝนตนโดยมิคำนึงถึงความแค้นในอดีตได้ พี่หญิงผู้นี้ เขามิยอมรับก็ต้องยอมรับ!แม้ว่าหลิงเฟิงจะยังมีปมในใจอยู่บ้าง แต่ก็มิสามารถต้านทานหลิงอวี๋ได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วบุญคุณความแค้นของรุ่นพ่อแม่มิควรมา
แม้ว่าที่ดินที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้บางแห่งจะมิสามารถเพาะปลูกได้ แต่นั่นก็เกิดจากการที่ถูกปล่อยทิ้งร้างมาตลอดหลายปีขอเพียงตั้งใจที่จะจัดการ มิกี่ปีหลังจากนี้ที่ดินเหล่านี้จะเป็นที่ดินที่อุดมสมบูรณ์เซียวหลินเทียนเดินไปก็จดบันทึกสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ของแต่ละสถานที่ไปกระทั่งวันรุ่งขึ้นมาถึงเมืองซานต้ง เซียวหลินเทียนเดินทางไกลเห็นบ้านเรือนที่ทรุดโทรมมากมาย ที่นี่เป็นตัวเมืองของโม่เหออยู่แล้ว แต่ก็ยังดูเงียบเหงาอยู่ดีเซียวหลินเทียนรู้สึกผิดต่อแม่ทัพกู่ก่อนหน้านี้แม่ทัพกู่ประจำการอยู่ที่ชายแดน อย่างน้อยก็มิต้องกังวลเรื่องอาหารและอาภรณ์ ตนกลับส่งเขามาอยู่ในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ เพียงแค่มองบ้านเรือนเหล่านี้ก็สามารถจินตนาการถึงความยากลำบากที่พวกแม่ทัพกู่ต้องอยู่ที่นี่ได้แล้ว!องครักษ์ของจ้าวซวนวิ่งไปแจ้งแม่ทัพกู่ก่อน แม่ทัพกู่จึงพารองแม่ทัพหลายคนออกมาต้อนรับหนึ่งในนั้นคือหลิงเฟิงพี่ชายต่างแม่ของหลิงอวี๋หลิงเฟิงถูกหลิงอวี๋วางแผนลับ ๆ ส่งให้มาอยู่ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพกู่ให้แม่ทัพกู่ฝึกฝนก่อนหน้านี้คนผู้นี้คิดว่า ท่านอดีตเสนาบดีทำให้ตนต้องมาทนทุกข์ทรมาน จึงมิพอใจการกระทำนี้ของท
แม้ว่าเผยอวี้จะได้รับความช่วยเหลือจากลิงน้อยสืออีของแม่นมอู จึงสามารถติดตามเย่หรงได้แต่ก็แค่สองสามวันแรกเท่านั้น หลังจากนั้นอาจจะถูกเย่หรงสังเกต เย่หรงจึงทำการป้องกัน เผยอวี้ก็คลาดกับเย่หรงไปเมื่อเผยอวี้กับฉินซานกำลังอับจนหนทาง มิรู้ว่าจะติดตามไปทางใด เซียวหลินเทียนก็พาคนตามพวกเขามาเผยอวี้มีกำลังใจขึ้นมาทันที รีบไปพบเซียวหลินเทียนและอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง“ไปโม่เหอก่อน!”เซียวหลินเทียนเอ่ยอย่างตัดสินใจทันทีโม่เหอเป็นสถานที่ที่ทั้งองค์ชายอิงและองค์ชายหนิงต้องการจะแย่งชิง เพราะที่นั่นมีทางเข้าสู่แดนเทพมิว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะพาหลิงอวี๋ไปที่ใด นางก็จะต้องพาหลิงอวี๋กลับไปที่แดนเทพอยู่ดีขอเพียงพวกเขารู้ทางเข้าแดนเทพ ก็สามารถช่วยหลิงอวี๋ได้เซียวหลินเทียนรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ตนไปจากปากของเผยอวี้ ทั้งยังรู้ด้วยว่าหลิงอวี๋เกือบตายด้วยน้ำมือของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยความเกลียดชังที่เขามีต่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยพุ่งไปถึงจุดสูงสุดแล้วหากเขาจับสตรีผู้นี้ได้ เขาจะทำให้นางตายทั้งเป็นอย่างแน่นอน!กลุ่มคนเหล่านี้รีบไปที่โม่เหออย่างรวดเร็วยามนี้โม่เหอได้รับการคุ้มกันจากแม่ทัพกู่ ก่อน
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น แทบรอมิไหวที่จะทำสิ่งนั้นกับเฉียวเค่อในรถม้าแต่นางมิกล้า ตอนนี้ตนไม่มีการบำเพ็ญตนใด ๆ มิสามารถควบคุมเฉียวเค่อได้เลยหากเรื่องเป็นไปจนถึงครึ่งทางแล้วเฉียวเค่อรู้ตัว เช่นนั้นเขาจะต้องสังหารตนแน่!หานเหมยได้ยินเสียงเย้าแหย่ของทั้งสองคนก็อายจนหน้าแดง หายใจลำบากโดยมิรู้ตัวเฉียวเค่อได้ยินก่อน จึงผลักจ้าวหรุ่ยหรุ่ยออก แล้วขยิบตาให้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็ได้สติทันที มองหานเหมยแล้วกลอกตาพลางเอ่ย “ศิษย์พี่ คืนนี้เราหาที่พักผ่อนกันเถิด ข้าต้องอาบน้ำ!”เฉียวเค่อเข้าใจทันที จึงเอ่ย “ด้านล่างวังเทพมีชนเผ่าหนึ่ง เราไปพักค้างคืนที่นั่นสักคืนได้!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมีความคิดชั่วร้ายอยู่ในใจ ไหนเลยจะอยากไปสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านและให้คนมากมายเห็นตนอยู่กับเฉียวเค่อ!“มิต้องหรอก เจ้าบอกว่าเซียวหลินเทียนกับตระกูลเย่กำลังไล่ตามเจ้าอยู่มิใช่หรือ? ข้ามิอยากให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย ซ่อนตัวไว้ก่อนเถิด!”“ให้คนรับใช้ของท่านไปซื้ออาหารมา แล้วเรานอนในป่ากัน!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยพูดแล้วขยิบตาให้เฉียวเค่อเฉียวเค่อถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยทำให้หลงใหลจนมิเป็นตัวเอง เพื่อจะทำให้สา
แต่ยามนี้หานเหมยกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยที่หลิงอวี๋เป็นห่วงมิได้อยู่ในค่ายกลแล้วตอนหลิงอวี๋ตกลงไป หานเหมยอยากจะดึงนางไว้ แต่นางถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจับไว้ก่อน จึงมิสามารถหลุดพ้นไปได้พลังนั้นโจมตีเข้ามา หานเหมยกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็ถูกพลังนั้นพัดพากลิ้งตกเนินเขาไปทั้งสองล้มลงจิตสับสนวุ่นวาย จากนั้นก็กลิ้งไปยังมิทันถึงครึ่งทางก็สลบไปแล้วกระทั่งหานเหมยฟื้นขึ้นมา ก็นอนอยู่ในรถม้าคันหนึ่ง นางยังมิทันลืมตาก็ได้ยินจ้าวหรุ่ยหรุ่ยคุยอยู่กับบุรุษผู้หนึ่ง“ศิษย์พี่ พวกเราขึ้นไปวังเทพมิได้หรือ? หลิงอวี๋จะต้องถูกคนในวังเทพจับตัวไปแล้วเป็นแน่ ที่ตัวนางมีหยกหล้าสุขาวดีอยู่ เจ้ามิอยากได้มันหรือ?”เฉียวเค่อยิ้มขมขื่นพลางเอ่ย “หรุ่ยหรุ่ย เจ้ามิรู้ว่านั่นคือวังของผู้ใด ค่ายกลนั้นเรามิอาจทำลายได้ แม้ว่าจะทำลายได้ ก็มิอาจแย่งหลิงอวี๋กลับมาจากน้ำมือของคนในวังเทพได้!”หลิงอวี๋คือใคร?หานเหมยรู้สึกเพียงว่าชื่อนี้คุ้นเคยมาก!“นั่นคือวังของใคร? เหตุใดข้ามิเคยได้ยินมาก่อน!” จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเอ่ยถามอย่างสงสัย“นั่นคือวังเทพของตระกูลหวงฝู่!”เฉียวเค่อเอ่ยอย่างอดทน “หวงฝู่หลินบรรพบุรุษของตระกูลหวงฝู่ หลงอี้จากตระกู
“กินเถิด ขนมอบนี้อร่อยมาก! ขอบใจนะปี้เอ๋อร์!”หลิงอวี๋เคี้ยวขนมอบที่แห้งแล้ว แม้ว่าจะกลืนลำบาก แต่นางก็ยังทำท่าทางดูอร่อยมากอยู่ปี้เอ๋อร์ถูกหลิงอวี๋ยัดขนมเข้าปาก ก็จนใจต้องกัดไปคำหนึ่งแล้วหยิบออกมา จากนั้นก็ค่อย ๆ กินอย่างทะนุถนอมดวงตาของนางไร้เดียงสานัก เผยให้เห็นความสบายใจในการเพลิดเพลินกับอาหารอร่อยหลิงอวี๋เห็นแล้วก็รู้สึกเศร้า เด็กผู้นี้ดูแต่งตัวงดงาม แต่ขนมชิ้นหนึ่งที่คุณภาพมิเท่าเดิมทำให้นางกินอย่างมีความสุขเช่นนี้ ในวันปกติคงจะถูกนางกำนัลคนอื่นหรือเจ้าวังน้อยรังแกอยู่มิน้อยเลยกระมัง!“ปี้เอ๋อร์ ปกติเจ้ามิค่อยมีอาหารกินเพียงพอหรือ?” หลิงอวี๋เอ่ยถามอย่างสบาย ๆ“พี่อาอวี๋ เรากินข้าวทั้งสามมื้อก็ได้ แต่ในทุกวันมีเรื่องที่ต้องทำมากเกินไป ของพวกนั้นอยู่มิได้จนถึงตอนเย็นหรอก!”ปี้เอ๋อร์กระซิบ “ตอนที่เจ้าวังอยู่ยังได้กินมากหน่อย แต่ในช่วงมิกี่เดือนที่ผ่านมาเจ้าวังมิได้อยู่ในวังเทพ ท่านอาหลินบอกว่าเสบียงมิเพียงพอ ให้เราประหยัดกันหน่อย! ดังนั้นพวกเราจึงกินมิอิ่ม!”“เจ้าวังไปไหนหรือ?”ดวงตาของหลิงอวี๋เป็นประกาย ปี้เอ๋อร์มิได้ระวังตน บางทีตนอาจจะสืบสถานการณ์เฉพาะของวังเทพจากปากข