หลิงอวี๋พูดเหยียดเสร็จก็หันไปทางชิวเหวินซวง ยิ้มหยันกล่าวว่า“ชิวเหวินซวง เจ้าดูสิ ท่านอ๋องของพวกเจ้าซักถามข้าในฐานะพระชายาได้! ข้าพระชายาอ๋องอี้ผู้สง่าถามเจ้าสองประโยค เจ้าก็พูดว่าข้าทำให้เจ้าลำบากใจ!”“เจ้ามีหนึ่งก็บอกมีหนึ่ง(1)ก็พอแล้ว! แสร้งทำเป็นน้อยใจให้ใครมองรึ?”“ตำหนักอ๋องอี้ของพวกเจ้าคนมากถึงเพียงนี้ ไม่ทำให้ตัวข้าต้องยุ่งยากก็อมิตาพุทธแล้ว ไฉนข้าจะยังกล้าทำเรื่องยากให้พวกเจ้า!”“ตัวข้าได้รับความไม่เป็นธรรม เจ้ามีค่ากว่าข้าหรือไร? ทนความน้อยเนื้อต่ำใจนิดเดียวก็มิได้รึ? ไม่ทันไรก็พูดเรื่องมอบอำนาจดูแลเรือนชั้นใน นี่คือขู่ผู้ใดงั้นรึ?”“คนของตัวข้าข้าเลี้ยงเอง ไม่เคยใช้เงินตำหนักอ๋องอี้พวกเจ้าสักเฟินดียว! ฉะนั้นอำนาจดูแลเรือนชั้นในอะไรนั่นข้าไม่สนใจเช่นกัน เจ้าเก็บไว้เองเถอะ!”“ชิวเหวินซวง ทีหลังอย่าพูดว่าจะไปบ่อย ๆ! การยอมถอยเพื่อชนะใช้ได้หนเดียว! ใช้ถี่ก็ไม่ได้ผลแล้ว!”เหล่าคนรับใช้ได้ฟังคำพูดของหลิงอวี๋พลันมองชิวเหว่นซวงแปลกไปทันที พระชายาอ๋องอี้ยังไม่เคยสอดมือเรื่องดูแลจัดการเรือนชั้นในเลย!การพูดว่าพระชายาอ๋องอี้ต้องการดูแลเรือนชั้นในจึงสร้างความลำบากใจให้นาง นี่มิ
เซียวหลินเทียนมองหลิงอวี๋ลึกซึ้ง พลางจ้องเฉี่ยวเหลียนใบหน้าเคร่งขรึม“พระชายาพูดถูกต้อง เฉี่ยวเหลียน เจ้าเป็นแค่นางรับใช้ตัวเล็ก ๆ คนเดียว ไม่อาจคิดวิธีใส่ร้ายคนละเอียดรอบคอบเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ตัวข้าผู้เป็นอ๋องให้โอกาสเจ้าหนเดียว! จงพูดคนที่บงการเจ้าเสีย… ข้าคิดว่าเจ้ายังเด็กไม่รู้ความ โทษอาจผ่อนปรนได้!”“ไม่เช่นนั้น… เหอะ...”เซียวหลินเทียนส่งเสียง ‘เหอะ’ เย็นชาลู่หนานกำลังวางมือบนด้ามดาบพลางลงมือร่วมข่มขู่กับเซียวหลินเทียน ตะคอกว่า “พูด...”เฉี่ยวเหลียนกลัวจนทั่วร่างสั่นเทิ้ม นางมิกล้ามองคนอีกเลย คลานกับพื้นพลางกล่าวทั้งน้ำตา“ท่านอ๋องได้โปรดไว้ชีวิต! ไม่… ไม่มีคนบงการบ่าวเพคะ ล้วนเป็นผีหลงสติปัญญา(1)ของบ่าวทั้งสิ้นที่คิดถึงความโหดร้ายของพระชายาที่ทำร้ายทุบตีเฉี่ยวชุนเพคะ!”“บ่าวเป็นห่วงคุณชายเฮยจื่อจะถูกพระชายารังแกภายภาคหน้า บ่าวทนมิได้จึงยุยงเฮยจื่อหนีไปเพคะ!”“บ่าวคิดไม่ถึงว่าคุณชายเฮยจื่อจะถูกคนลักพาตัวไปจริง ๆ! หากบ่าวรู้ บ่าวจะไม่ปล่อยเฮยจื่อจากไปเป็นแน่เพคะ!”จนถึงตอนนี้เซียวหลินเทียนพบว่า เฉี่ยวเหลียนยังไม่ยอมจำนน พลางขมวดคิ้วอย่างเดียดฉันท์เขาเอ่ยเสียงเย้ยหยั
ครั้นเฉี่ยวเหลียนเอ่ยจบ พลางมองเซียวหลินเทียนทั้งน้ำตาอย่างคาดหวังเซียวหลินเทียนพยักหน้าเล็กน้อย พ่อบ้านฟั่นแอบถอนหายใจ ท่านอ๋องเชื่อคำแก้ตัวนี้ของเฉี่ยวเหลียนหรือไม่?นิ้วชี้เซียวหลินเทียนกำลังเคาะเบา ๆ ที่แขนเก้าอี้ล้อ พลางเกิดเสียง ‘ก๊อกก๊อก’ แผ่วเบาเสียงเคาะคลื่นนี้ไม่ได้ดัง แต่กลับทำให้ทุกคนต่างไม่กล้าส่งเสียงหลิงอวี๋กำลังมองดูด้วยนัยน์ตาเยือกเย็น พลันเห็นเซียวหลินเทียนเลิกปกป้องพ่อบ้านฟั่นกับชิวเหวินซวงทันใดยังคงไต่สวนต่อ!คำแก้ตัวรอบนี้ของเฉี่ยวเหลียนมีช่องโหว่เต็มไปหมด นางไม่เชื่อว่าเซียวหลินเทียนจะดูไม่ออก“เฉี่ยวเหลียน เจ้ายังมีอะไรเพิ่มเติมหรือไม่?”ในที่สุดเซียวหลินเทียนก็เปิดปากกล่าวเฉี่ยวเหลียนปาดน้ำตาพลางส่ายศีรษะตะลีตะลาน “บ่าวไม่มีอะไรเพิ่มเติมแล้ว! บ่าวพูดความจริงทั้งหมดแล้วเพคะ!”“ความจริง?”เซียวหลินเทียนเผยริมฝีปากหัวเราะเย้ยหยัน เสียงไม่ดังไม่เบา“เฉี่ยวเหลียน ตัวข้าผู้เป็นอ๋องพูดไปเมื่อครู่ ขอแค่เจ้าสารภาพตามตรง ข้าอาจผ่อนปรนโทษให้เจ้าได้!”“แต่เหมือนว่า… เจ้าไม่ได้ใส่ใจคำพูดของตัวข้า!”เซียวหลินเทียนน้ำเสียงผกผันพลางกล่าวเฉียบขาดว่า“ทุกคนคิด
“หลิงซิน เจ้ามือเท้าง่อย เจ้าอย่าชั่วช้าโจมตีใส่ร้ายคน! ข้ามิเคยทำเรื่องประเภทนั้นกับเจ้า!”พ่อบ้านฟั่นตะโกนลนลานว่า “เจ้าแค้นข้าที่ไม่ย้ายเจ้าออกเรือนพระชายาเป็นแน่จึงใส่ไคล้ข้า!”“ท่านอ๋อง เมื่อก่อนหลิงซินเคยมาหาข้า พูดว่าไม่อยากทุกข์ยากติดตามพระชายา ขอให้กระหม่อมผลัดนางไปที่อื่น กระหม่อมไม่รับปาก! เพราะเรื่องนี้นางจึงใส่ไคล้กระหม่อมแน่เลยพ่ะย่ะค่ะ!”หลิงซินส่งเสียง ‘ถุย’ พลางด่า “ถ่างตาพูดส่งเดช(1)คือเจ้าเถอะ! คุณหนูข้าดีต่อข้าขนาดนี้! ไยข้าต้องผลัดไปที่อื่น!”พ่อบ้านฟั่นชี้หลิงหลานพลางเรียก “พระชายามิจ่ายเงินเดือนให้พวกเจ้าหลายเดือนแล้ว หลิงหลานยืนยันได้! พระชายาปล่อยให้พวกเจ้ากินไม่อิ่มจะดีต่อพวกเจ้าได้เช่นไร?”หลิงซินมองหลิงหลานเยาะเย้ยพลางยิ้มตอบ “หลิงหลานพูดคือเรื่องเมื่อก่อน คุณหนูของเราเคยเป็นหนี้เงินเดือนเราจริง!”“แต่ไม่กี่วันก่อนคุณหนูชดเชยเงินเดือนให้พวกเราครบแล้ว! ทั้งหมดห้าร้อยตำลึงเงิน!”ห้าร้อยตำลึง? ข้ารับใช้เหล่านั้นเบิกตากว้างตกตะลึง จะเป็นไปได้อย่างไร!เพื่อจะให้เกียรติหลิงอวี๋ หลิงซินก็พิสูจน์คำพูดของตนพลางกล่าวภาคภูมิใจ“จะเชื่อหรือไม่ นี่ไงเล่า ตั๋วเงิ
“เงียบ!”เมื่อดูนางรับใช้เหล่านั้นพูดเหมือน ๆ กันแล้ว จ้าวซวนยกมือกล่าวคำ “ขอให้ท่านอ๋องโปรดไต่สวนต่อพ่ะย่ะค่ะ!”คนรับใช้เหล่านั้นต่างเงียบ มองเซียวหลินเทียนอย่างคาดหวังสีหน้าเซียวหลินเทียนดำทะมึน เมื่อครู่เขากำลังพิจารณาตัวเอง ตำหนักแห่งนี้เกิดเรื่องขึ้นมากเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่รู้อะไรเลย!นี่ท่านอ๋องอี้ผู้นี้หัวทึบแค่ไหนกันแน่?เขาไม่มีหน้าโยนความผิดให้พ่อบ้านฟั่น การถูกหลอกคือความอัปยศของเขา! และเป็นความโง่เขลาของเขาเช่นกัน!เซียวหลินเทียนหลับตาลง พลางลืมตาอีกครั้งก็ตัดสินใจแล้วความผิดเกิดขึ้นแล้ว ภายหน้าเขาจะใช้เรื่องนี้เตือนสติตัวเองเสมอแล้วกัน ความผิดแบบนี้จะได้ไม่เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต!“พ่อบ้านฟั่น เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”เซียวหลินเทียนเอ่ยถามเสียงเย็นชา“กระ… กระหม่อม...”พ่อบ้านฟั่นพูดอึกอัก ในที่สุดก็หักใจคุกเข่ากับพื้นอย่างแน่วแน่“เป็นกระหม่อมโง่เขลาแล้ว! ละทิ้งความไว้วางใจของท่านอ๋อง! สมควรประหารกระหม่อมหมื่นครั้ง!”“เจ้ายอมรับความของนางรับใช้เหล่านี้หรือไม่?”เซียวหลินเทียนเอ่ยถามพ่อบ้านฟั่นก้มหน้าพลางกล่าวสำนึกเสียใจ “กระหม่อมมิใช่คน เป็นเดรั
“ไป่สือ ไปปลุกเขาเสีย!”เซียวหลินเทียนยังมีคำถามอีก ครั้นเห็นพ่อบ้านฟั่นเป็นลมก็พลันสั่งไป่สือไปข้างหน้าทันทีไป่สือวิ่งรุดไปถึงพบว่าพ่อบ้านฟั่นหน้าดำหน้าแดง โลหิตไหลออกจมูก มุมปากเปี่ยมฟองขาวเขาตระหนกรีบตรวจชีพจรพ่อบ้านฟั่น ชีพจรพ่อบ้านฟั่นสับสน บ้างเร็วบ้างช้า…“ท่านอ๋อง… พ่อบ้านเป็นโรคหลอดเลือดสมองแล้วพ่ะย่ะค่ะ! คาดว่าตกใจมากเกินไป… แม้จะช่วยให้ฟื้นก็อยู่ได้ไม่นานแล้ว!”หลิงอวี๋ฟังแล้วใจสั่นสะท้าน มันบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร?ขณะกำลังไต่สวนพ่อบ้านฟั่นอาการป่วยเขาพลันกำเริบทันที เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนวางหมากไว้?นางมองทางชิวเหวินซวงทันควัน พบว่าชิวเหวินซวงห่างกับพ่อบ้านฟั่นไกลห้าหกเมตร แถมมีคนรับใช้กั้นกลางระยะห่างเช่นนี้เรื่องคิดวางอุบายแทบเป็นไปไม่ได้เลย!หลิงอวี๋ครุ่นคิดไม่วางใจลง เดินไปพลางกล่าว “ข้าลองดูหน่อย!”นางนั่งยองข้างพ่อบ้านฟั่น ใช้การสัมผัสของตนตรวจอาการป่วยพ่อบ้านฟั่นจากนั้นหลิงอวี๋ตรวจชีพจรพ่อบ้านฟั่น หัวคิ้วพลันขมวดทันใดลักษณะนี้ของพ่อบ้านฟั่นไม่เหมือนถูกคนวางอุบาย!แต่ก็มิใช่โรคหลอดเลือดสมองทั่วไป นี่ยิ่งเหมือนลักษณะของโรคเลือดออกในสมอง!นางสัมผัส
พ่อบ้านฟั่นอยู่ได้ไม่เกินสองชั่วยามก็พลันสิ้นใจแม่นมลี่ได้ยินข่าวก็วิ่งมาเรียนหลิงอวี๋ให้ทราบทันควันนางถ่มน้ำลายพลางด่าทอ “ตาเฒ่าเดรัจฉานผู้นี้ เขาตายแบบนี้สบายเกินไปแล้ว!”แม่นมลี่ถอนหายใจ เอ่ยอีกว่า “เฒ่าเดรัจฉานถึงตายก็ไม่สาสมต่อความผิด! อย่างไรเสียภรรยากับลูกสะใภ้ของเขาต้องรับโทษตาม! ท่านอ๋องไม่อภัยพวกนางแน่!”หลิงอวี๋นึกถึงสีหน้าเปี่ยมความผันผวนของแม่นางฟั่นก็เอ่ยถามทันใด “ภรรยากับลูกสะใภ้ของเขาเป็นคนเช่นไร?”แม่นมลี่ตอบ “แม่นางฟั่นคือคนซื่อสัตย์ทำตามกฎ เทียบไม่ได้กับความคิดโสมมพวกนั้นของพ่อบ้านฟั่น! พ่อบ้านฟั่นช่วยท่านอ๋องดูแลตำหนักอ๋องอี้ แม่นางฟั่นไม่ได้ทำอะไรเลยไม่มีคนกล้าต่อว่านาง!”“แต่แม่นางฟั่นซื่อสัตย์จริงใจ แต่ไหนมาไม่เคยอวดอำนาจของพ่อบ้านฟั่น หากในตำหนักมีเรื่องอะไรนางล้วนรีบไปทำ!”“นางช่วยปะซ่อมเสื้อผ้าขององครักษ์พวกนั้นด้วย มีคนเจ็บป่วยนางก็จะช่วยต้มยา! พูดได้ว่าหลายคนในตำหนักเคยได้กรุณาคุณจากนางทั้งนั้นเจ้าค่ะ!”หลิงซินพยักหน้าอยู่ข้าง ๆ “แม่นางฟั่นเป็นคนดีนัก! เมื่อก่อนเราไม่มีข้าวกิน แม่นางฟั่นเห็นบ่าวเดินเตร่ที่ห้องครัวยังแอบเคยยัดหมั่นโถวให้บ่าวด้วยเจ้า
เรือนริมวารีบนโต๊ะหนังสือของเซียวหลินเทียนมีกองสมุดบัญชีพะเนินเทินทึก เขามองพลางหน้าบูดหน้าบึ้งจ้าวซวงเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านอ๋อง แม้สมุดบัญชีเป็นของเรือนชั้นในตำหนักอ๋องอี้ แต่กระหม่อมมิกล้าสุ่มหาคนตรวจบัญชี! ทั้งช่วงนี้ยังหาคนที่เหมาะ ๆ ไม่พบด้วยพ่ะย่ะค่ะ! เลย...”เซียวหลินเทียนนวดหว่างคิ้ว แน่นอนว่าเขาเข้าใจความกังวลของจ้าวซวนพ่อบ้านฟั่นตายแล้ว ภาระที่ทิ้งไว้ยิ่งทำให้เซียวหลินเทียนรู้สึกว่าเมื่อก่อนตนละเลยการดูแลเรือนชั้นในมากขึ้น ซึ่งคือเรื่องที่อันตรายนัก!เขาไว้วางใจพ่อบ้านฟั่นมาตลอด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพ่อบ้านฟั่นจะหลอกใช้ความไว้ใจของตนยักยอกเงินมากเพียงนั้นทั้งหมดหนึ่งแสนตำลึงเงิน!ครั้นพวกจ้าวซวนหาพบก็ส่งคืนถึงมือเซียวหลินเทียน เซียวหลินเทียนไม่อยากจะเชื่อเลยเงินเหล่านี้ยังไม่นับอัญมณีโบราณ ยังมีรางวัลของเทศกาลปีใหม่จากจักรพรรดิด้วยพ่อบ้านฟั่นยังแอบแม่นางฟั่นซื้อเรือนสี่ประสานอยู่ด้านนอก เป็นพวกจ้าวซวนตรวจพบโฉนดที่ดิน พอไปแล้วถึงค้นเจออัญมณีโบราณเหล่านั้นในเรือนสี่ประสานการระบายอารมณ์โกรธและปวดใจของเซียวหลินเทียนไม่เพียงพอ เขาครุ่นคิดพิจารณาตัวเองทั้งคืนการ
เมื่อหลิงอวี๋พูดเช่นนี้ จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็เริ่มสนใจเช่นกัน นางรู้สึกว่าสติปัญญาของตนเหนือกว่าหลิงอวี๋ ไม่มีทางที่จะแพ้หลิงอวี๋ได้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยพยายามอย่างหนักที่จะนึกย้อนถึงเส้นทางและภูมิแคว้นที่ตนผ่านมาแต่คิดอยู่นาน ก็ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นน่าจะเติบโตในที่ดั้งเดิมนี้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรแปลกเลย!หลิงอวี๋เองก็พยายามนึกย้อนดู แต่ก็มิพบอะไรผิดปกติฟ้ามืดแล้ว มองมิเห็นแผนที่ที่วาดขึ้นแล้ว อุณหภูมิก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งสามคนจึงมารวมตัวกันเพื่อให้ความอบอุ่น“หิวจัง!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยสูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นคุณหนูไปแล้ว นางเกิดมาก็ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมาโดยตลอด จะเคยทุกข์ทรมานเช่นนี้ได้อย่างไร!นางมองหลิงอวี๋ หลิงอวี๋มิได้สูญเสียพลังวิญญาณ แค่ถูกตนผนึกไว้เท่านั้น หากทำลายผนึกของนาง นางก็น่าจะมีมิติเหมือน ๆ กับแหวนพระสุเมรุข้างในนั้นน่าจะมีอาหาร!แต่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิกล้าเสี่ยงเช่นนั้น หากปลดผนึกของหลิงอวี๋ตนก็จะยิ่งมิสามารถควบคุมหลิงอวี๋ได้หากนางพบว่าจิตสำนึกของนางถูกตนผนึกไว้ เช่นนั้นนางจะต้องสังหารตนแล้วหนีไปอย่างแน่นอน!หากจะตายก็ตายด้วยกันสิ!หากสามารถให้คู่ต่อสู้ผู้นี้ตายไปพร
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเห็นความดื้อดึงของหลิงอวี๋ จึงเอ่ยอย่างจนใจ “อวี้หนู ค่ายกลนี้มิอาจมองข้ามได้จริง ๆ ข้ามิได้โกหกเจ้า มีคนมากมายที่มิเข้าใจค่ายกลนี้แล้วบุกเข้าไปในค่ายกล ก็จะถูกขังอยู่ในค่ายกลนี้จนตาย!”“พวกเราขึ้นไปมิได้ ก็ยังสามารถลงไปลองเสี่ยงโชคดูได้ บางทีเราอาจจะยังมิได้เดินเข้าไปในค่ายกล และยังสามารถเดินออกไปได้!”หลิงอวี๋คิดแล้วเอ่ย “ท่านบอกข้าเรื่องค่ายกลนี้อีกสักหน่อยสิ บางทีข้าอาจจะคิดหาวิธีได้!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยรู้สึกกลัดกลุ้ม นางยังมิสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ แล้วหลิงอวี๋จะทำลายมันได้อย่างไร!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมองลงไปด้านล่างภูเขา จากนั้นมองวังน้ำแข็งที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม สุดท้ายก็ประนีประนอม บางทีหลิงอวี๋อาจจะโชคดี สามารถทำลายมันได้!นางอธิบายหลักการของค่ายกลให้หลิงอวี๋ฟังคร่าว ๆ หลิงอวี๋ก็ซักถามนางมากมายนักจ้าวหรุ่ยหรุ่ยค่อนข้างจะรำคาญแล้ว หลังจากตอบด้วยเสียงหยาบจึงเอ่ย “ตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วว่าหากคิดจะทำลายค่ายกลมันมิง่ายเช่นนั้น ฟังข้าแล้วลงไปจากภูเขาก่อนเถิด!”“มิลองดูแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามิได้!”หลิงอวี๋เอ่ย “เช่นนั้นก็ให้เสี่ยวอวี้กับเจ้าลงไปดูด้านล่าง แล้วข้าศึกษาวิธีทำ
หลิงอวี๋ยังฝันด้วยว่า ตนถูกมัดติดกับเสาและถูกเฆี่ยนตี บุรุษในชุดจักรพรรดิสีเหลืองสดใสผู้นั้นนั่งอยู่ในรถเข็นแล้วมองนางอย่างไร้ความปรานี“เฆี่ยนตีไป หากตีจนตายแล้วก็เอาไปโยนไว้ที่สุสานไร้ระเบียบ!”เด็กที่อ่อนแอคนหนึ่งโผเข้ามากอดนางไว้ แล้วตะโกนอย่างเศร้าสร้อย “อย่าตีท่านแม่ของข้านะ!”ภาพแปลกประหลาดเหล่านั้นแวบขึ้นมาในหัวของหลิงอวี๋ทีละอย่าง บุรุษที่อยู่ในความฝันของนาง ประเดี๋ยวก็เป็นคนดี ประเดี๋ยวก็เป็นคนเลว!หลิงอวี๋ขมวดคิ้วอย่างขมขื่น ถูกภาพเหล่านี้ทรมานจนปวดหัวแทบระเบิดแล้วนางก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาหานเหมยและจ้าวหรุ่ยหรุ่ยหลับสนิทอยู่ข้าง ๆ มิได้พบความผิดปกติของนางเลยแม้แต่น้อยหลิงอวี๋รู้สึกเพียงราวกับว่าทั้งร่างกายถูกบดขยี้ ความฝันนี้ทำให้นางเหนื่อยกว่าการปีนภูเขาเสียอีกนางนอนลงอย่างหมดแรง ภาพเหล่านั้นเป็นจินตนาการของตนหรือเคยเกิดขึ้นจริงกันแน่?บุรุษในฝันคือผู้ใดกัน?เด็กผู้นั้นคือผู้ใด?หลิงอวี๋เอาแต่คิดถึงปัญหาเหล่านี้ทั้ง ๆ ที่ลืมตาอยู่ แต่เมื่อคิดมากเกินไปก็ปวดหัวมาก นางจึงยอมแพ้หรือเรื่องเหล่านี้จะค่อย ๆ นึกขึ้นได้ทีหลังความหวังในตอนนี้ของนางคือการขึ้นไปที่วังน้ำ
#ฟืนที่หานเหมยหามาชื้นเล็กน้อยเพราะแช่อยู่ใต้หิมะ ไฟจึงมิแรงมาก กระต่ายหิมะจึงยังมิสุกดีหลิงอวี๋จะรีบลงจากภูเขาจึงมิสนใจ แบ่งเนื้อกระต่ายให้ทั้งสองคนกิน แล้วเร่งให้พวกนางลงจากภูเขาในตอนแรกทั้งสองมิสนใจจ้าวหรุ่ยหรุ่ยแล้วประคองกันหาทางลงจากภูเขาภูเขาหิมะไม่มีถนน อีกทั้งหิมะก็ตกหนักมาก จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิได้ระวังจึงลื่นล้มไปนางจ้องมองสองคนข้างหน้าด้วยความโกรธและเกลียดชัง แล้วสุดท้ายก็กังวลว่าทั้งสองคนจะทอดทิ้งตน จึงร้องไห้ออกมาอย่างอ่อนแรง“อวี้หนู เสี่ยวอวี้ พวกเจ้ามิสนใจข้าเลยหรือ? หรือว่าเป็นจริงดังคำพูดที่ว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติทุกคนต่างก็แยกจากกัน?”“นึกถึงตอนแรกที่เราเป็นพี่น้องกัน กินอยู่มาด้วยกัน ข้ามีของดี ๆ ก็ล้วนแบ่งปันให้พวกเจ้า แต่ตอนนี้ พวกเจ้าพี่น้องมีความรักอันลึกซึ้งต่อกัน จึงมิต้องการภาระเช่นข้าแล้ว!”หลิงอวี๋ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย เมื่อหันกลับมาเห็นจ้าวหรุ่ยหรุ่ยร้องไห้อยู่บนหิมะ จึงเดินกลับมาช่วยประคองนางลุกขึ้น“มิต้องสนใจข้าแล้ว พวกเจ้าไปกันเถิด!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจับจุดอ่อนของหลิงอวี๋ได้แล้ว จึงร้องออกมา “ขาของข้าบาดเจ็บ เดินเร็วมิได้ มิอยากเป็นตัวถ่ว
หากหานเหมยเชื่อฟังและอยู่ต่อก็ช่างไป มิฉะนั้นนางจะฆ่าหานเหมยเสีย...หากหาอะไรกินมิได้เลยจริง ๆ หานเหมยก็พอที่จะให้ตนอดทนจนเฉียวเค่อมาตามหาได้!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยหิวมากจนหมดเรี่ยวแรง จนทนมิไหวแล้วจริง ๆ เนื้อมนุษย์นางก็กินได้ขณะที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยยกมีดเล็งไปที่คอหานเหมย ก็ได้ยินเสียงของหลิงอวี๋จากข้างนอก “เสี่ยวอวี้ เจ้าออกมาดูสิ พี่ตีกระต่ายมาให้เจ้าตัวหนึ่งนะ!”หานเหมยหลุดพ้นจากการควบคุมของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอย่างมีความสุขแล้วมุดออกไปจ้าวหรุ่ยหรุ่ยออกแรงมากเกินไปจึงล้มลงไปกับพื้น นางรีบซ่อนกริชไว้ก่อนที่จะเดินออกมาหลิงอวี๋มิได้ทิ้งพวกนาง!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยพูดมิออกว่าในใจรู้สึกอย่างไร ทั้งมีความสุขและมีความสับสนเล็กน้อยหากเปลี่ยนเป็นตนคงจะใช้โอกาสนี้หลบหนีไปตามลำพังอย่างแน่นอนภูเขาหิมะที่เหน็บหนาวและยาวไปสุดลูกหูลูกตานี้เมื่อไรจึงจะออกไปได้ หนีไปคนเดียวจะมิสะดวกกว่าหรือ?“พี่หญิง เป็นกระต่ายจริง ๆ ด้วย พี่หญิงสุดยอดมาก!”หานเหมยรับกระต่ายที่หลิงอวี๋ส่งมาแล้วกรีดร้องอย่างตื่นเต้นจ้าวหรุ่ยหรุ่ยมองไปที่กระต่าย แล้วคิดถึงสิ่งที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ หากหลิงอวี๋สามารถหาของกินมาได้ ต่อไปต
วัง?บนภูเขาหิมะจะมีวังได้อย่างไร?หลิงอวี๋มองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนเมื่อครู่บนภูเขายังคงมีหมอกอยู่ จึงมองเห็นฝั่งตรงข้ามมิชัดเจนแต่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นส่องแสงเหล่ากลุ่มหมอกก็สลายหายไป วังแห่งนั้นจึงปรากฏขึ้นมาหลังคาสูงและกำแพงที่ดูสง่างามนั้นสีขาวราวกับหิมะที่อยู่รอบ ๆ สะท้อนแสงอาทิตย์และส่องแสงระยิบระยับออกมา!มันคือวังจริง ๆ วังน้ำแข็ง!หลิงอวี๋รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อเห็นวังก็หมายความว่ามีคนอยู่ เช่นนั้นพวกนางก็ไม่มีทางหิวและแข็งตายอยู่บนภูเขาหิมะนี้แล้วหลิงอวี๋รีบสังเกตเส้นทางไปสู่วังน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ขอเพียงลงจากภูเขาหิมะนี้ แล้วหาเส้นทางภูเขาฝั่งตรงข้ามก็สามารถเข้าถึงวังน้ำแข็งได้แล้วหลิงอวี๋จดจำทิศทางของวังน้ำแข็งแล้วย้อนกลับไปตามทางที่มานางยังคงคิดถึงกระต่ายตัวนั้นอยู่นึกได้ว่าจะไปวังน้ำแข็งจะต้องใช้กำลัง หากมิได้กินอะไรสักหน่อย ก็คงเป็นเรื่องยากที่พวกนางจะไปถึงวังน้ำแข็งแห่งนั้น!หลิงอวี๋มีความหวังขึ้นมาแล้ว นางจึงมองหาร่องรอยของกระต่ายอย่างใจเย็น มิช้าหลิงอวี๋ก็พบมูลสัตว์เมื่อตามทิศทางของมูลไป ในที่สุดหลิงอวี๋ก็พบกระต่ายหิมะสองสามตัวกำลังกินอาหารอยู่ใน
เมื่อนึกถึงเฉียวเค่อ จู่ ๆ จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้งเป้าหมายของเฉียวเค่อในการมาที่ฉินตะวันตกครานี้คือการจับตัวหลิงอวี๋ ตราบใดที่หลิงอวี๋อยู่ในมือของตน เฉียวเค่อจะต้องหาวิธีตามหาพวกนางอย่างแน่นอนเมื่อถึงตอนนั้นก็จะสามารถหนีไปจากสถานที่แย่ ๆ นี้ได้แน่!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย มิรู้ว่าเผลอหลับไปเมื่อใดหลิงอวี๋และหานเหมยกอดกันเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและค่อย ๆ หลับไปเช่นกันแต่เมื่อถึงกลางดึก ทั้งสามคนต่างก็ถูกความหนาวเย็นปลุกให้ตื่นขึ้นมาอุณหภูมิในภูเขาหิมะลดลงเร็วเกินไป และหิมะที่ลมหนาวพัดมาก็ตกลงมาบนตัวของทั้งสามคน ทำให้ทั้งสามหนาวเหน็บจนร่างจะแข็งจ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิสนใจความแค้นของนางกับพวกหลิงอวี๋ เบียดเสียดเข้าไประหว่างทั้งสองนั้นแล้วพยายามให้ทั้งสองคนทำให้ตนอบอุ่นยาวนานกว่าจะถึงรุ่งสาง จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็รู้สึกว่าตนหิวมากจนกินหมูทั้งตัวได้เลย“มิได้ พวกเราจะเดินทางเช่นนี้มิได้ ต้องหาอาหารให้อิ่มท้องแล้วค่อยลงจากภูเขา!”“มิเช่นนั้นพวกเราคงไม่มีแรงเดินลงภูเขาแน่!”อุณหภูมิร่างกายที่ลดลงทำให้พลังงานของทั้งสามคนหมดไป จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเองก็ไม่มีแรงแล้ว แต่ก
หลิงอวี๋เห็นท่าทีของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอ่อนลง อีกทั้งความตั้งใจเดิมก็เป็นความหวังดี จึงปล่อยไม้เท้าแล้วเอ่ยเสียงเรียบ“ขอเพียงเจ้ามิทำร้ายพวกเรา จะอะไรก็คุยง่ายทั้งนั้น ไปเถิด!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยถูกเผยอวี้ยิงที่น่องจนบาดเจ็บ ทั้งยังถูกธนูยิงเข้าที่ท้องน้อยอีกด้วย จึงเดินมิเร็วนักหลิงอวี๋จึงให้หานเหมยประคองนาง ส่วนตนก็สำรวจเส้นทางอยู่ข้างหน้าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยคิดว่าภูเขาหิมะแห่งนี้ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา หลิงอวี๋หนีไปมิพ้น จึงมิกังวลเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด อุณหภูมิก็ลดลงอย่างรวดเร็วตามที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยบอกไว้ตอนที่ทั้งสามคนอยู่ที่ฉินตะวันตกเป็นวสันตฤดู จึงมิได้สวมเสื้อผ้ามากนัก ไหนเลยจะคิดว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะพาพวกนางมาที่ภูเขาหิมะ พวกนางต่างก็หนาวจนตัวสั่นกันไปหมดหลิงอวี๋รู้สึกเพียงว่าร่างกายของตนเริ่มจะแข็ง และในที่สุดก่อนฟ้ามืดก็พบร่องเขาแห่งหนึ่งที่พอจะให้ทั้งสามคนเข้าไปซ่อนตัวได้ร่องเขาเป็นช่องตรงกลางของก้อนหินหลายก้อน ข้างหน้าไม่มีที่กำบัง ทั้งสามคนจึงเกาะกลุ่มเข้าด้วยกันแล้วพิงกันเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นลมหนาวพัดอย่างรุนแรงอยู่ข้างนอก ทั้งสามคนมิได้เอาของกินใด ๆ มา เดินกันมานานก็หิวโ
ตอนที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยถูกหลิงอวี๋ยิงได้รับบาดเจ็บและตกลงมาจากกิ่งไม้ นางนอนอยู่บนพื้นหญ้า รู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณกำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว รู้ว่าหากตกอยู่ในมือหลิงอวี๋ นางต้องหนีมิรอดเป็นแน่ในยามคับขันระหว่างความเป็นความตาย นางหยิบลูกแก้ววิญญาณที่เฉียวเค่อให้มา มิสนใจคำเตือนของเฉียวเค่อที่ว่าห้ามใช้โดยพลการ เพื่อเอาชีวิตรอด เพราะนางยอมเสี่ยงหลิงอวี๋เดินเข้ามาพอดี จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงพาหลิงอวี๋ไปด้วยใครจะไปคิดว่าลูกแก้ววิญญาณจะพาพวกนางทั้งสามมาที่ยอดเขาหิมะ จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นคนแรกที่ตื่นขึ้น เห็นเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ถึงกับเกือบจะสติแตกนี่มันที่ไหนกัน?นางมิรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เช่นนั้นจะหาทางกลับไปอย่างไร?แต่สิ่งที่ทำให้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยฮึดขึ้นมาใหม่คือการที่นางเห็นหลิงอวี๋และหานเหมยที่นอนอยู่ข้าง ๆนางมิได้อยู่คนเดียว!ศัตรูของนางก็มาด้วย!ฮ่า ฮ่า ฮ่า!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิสนใจที่จะยินดี ค่อย ๆ คลานไปหาหลิงอวี๋ แล้วหยิบเข็มเงินออกมาปิดกั้นจิตสำนึกของหลิงอวี๋ และยังแทงเข็มเงินที่บริเวณจุดตันเถียนของหลิงอวี๋อีกหลายเข็ม เพื่อให้แน่ใจว่าหลิงอวี๋จะมิสามารถใช้พลังได้แต่แค่