หลิงอวี๋เปิดดูม้วนหนึ่งอย่างสงสัย ทันทีที่เห็นก็ตะลึงไปนี่คือหนังสือรับรอง!หนังสือรับรองคือใบรับรองที่จักรพรรดิในสมัยต่าง ๆ มอบให้ขุนนางผู้มีความชอบในสมัยต่าง ๆ ให้ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ หรือเป็นการละเว้นโทษ มิว่าจะทำผิดในเรื่องใดก็สามารถใช้หนังสือนี้รับอภัยโทษได้เซียวหลินเทียนเขียนมอบให้ตนมากมายถึงเพียงนี้ นี่สามารถแลกได้ตั้งกี่ชีวิต!“อาอวี๋ เมื่อมีสิ่งนี้ก็สามารถรับรองจิตใจของข้าที่มีต่อเจ้าได้แล้วกระมัง!”เซียวหลินเทียนคิดอยู่นานก็คิดมิออกว่าจะทำอย่างไรให้หลิงอวี๋สบายใจ เมื่อครู่คิดเรื่องหนังสือรับรองออกจึงได้กลับไปเขียน“ข้ารู้ว่าต่อให้พูดดีแค่ไหนก็มิสู้การกระทำ! เจ้าดูการกระทำของข้าต่อจากนี้เถิด!”เซียวหลินเทียนเอ่ยอย่างซื่อตรง “ข้ารับรองว่าต่อไปข้าจะมิไปดื่มเหล้ากับกุ้ยเหรินสวีอีกแล้ว ข้าไม่มีทางเอาพวกนางมาทำให้เจ้าโกรธอีก!”“อาอวี๋ ข้า… ข้าค่อนข้างซื่อบื้อในเรื่องของความรู้สึก ข้าชอบเป็นสหายกับคนฉลาด นั่นก็เพราะว่าสื่อสารกันง่าย!”“แต่เรื่องจิตใจของสตรีนั้นข้าไร้ประสบการณ์นัก… เจ้าอย่าได้รังเกียจที่ข้าโง่เขลาเลย หากเจ้าเตือนข้ามากหน่อย ข้าก็จะเข้าใจได้!”หน้าของหลิ
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องวัวนม มีบางเรื่องที่หลิงอวี๋ต้องพูดถึงอย่างไรตนก็มีหนังสือรับรองที่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้มากมายถึงเพียงนี้ ชีวิตนี้ก็คงมิอาจไปจากฉินตะวันตกได้แล้ว เช่นนั้นนางจึงต้องทำเพื่อประโยชน์ของฉินตะวันตกเสียหน่อยเมื่อทุกคนมีชีวิตที่ดี ต่อไปเซียวเยวี่ยก็จะสบาย“เซียวหลินเทียน นมที่คั้นมาจากวัวนมนั้นมีประโยชน์มาก ยามนี้ท่านพัฒนาเรื่องเกษตรกรรม ก็ควรจะพัฒนาเรื่องห่วงโซ่อุตสาหกรรมอย่างรอบด้านด้วย!”หลิงอวี๋เผยแพร่เรื่องผลผลิตจากนมวัวให้เซียวหลินเทียนฟัง การพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรมเหล่านี้มิเพียงแต่จะช่วยเพิ่มรายได้ของเกษตรกร แต่ยังสามารถกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจอื่น ๆ ได้ด้วยเซียวหลินเทียนฟังแล้วก็ประหลาดใจ เขามิเคยคิดมาก่อนเลยว่านมวัวที่ตนมิชอบจะสามารถทำผลิตภัณฑ์ได้มากถึงเพียงนี้เมื่อคิดดูแล้ว หากทำตามที่หลิงอวี๋พูดออกมา แล้วขายไปในแคว้นอื่น ๆ ก็สามารถสร้างรายได้ให้ฉินตะวันตกได้เวลานี้ เซียวหลินเทียนมิกล้าเอ่ยถึงเรื่องที่มาของนโยบายแคว้นของหลิงอวี๋อีก เขาคิดว่าท่านจินต้าพูดถูกความคิดที่คาดคิดมิถึงของหลิงอวี๋เหล่านี้มิว่าจะไปเรียนมาจากที่ใด แต่นางมาบอกตน เจตนาเดิมก็คือหวั
งานอภิเษกสมรสขององค์ชายคังกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยคุณหนูตระกูลจ้าวมิได้ด้อยไปกว่าการมอบสินสอดทองหมั้นในวันนั้นองค์ชายคังจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ปูพรมแดงถนนหลายสายตั้งแต่ตำหนักองค์ชายคังไปจนถึงบ้านตระกูลจ้าวตอนที่ไปรับเจ้าสาวก็มีเด็กหญิงเด็กชายหลายสิบคนโปรยดอกไม้ไปตามทาง และยังมีทหารของแม่ทัพฟางคอยรักษาความสงบตลอดทางด้วยเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วจึงไปอาบน้ำแต่งตัว เพื่อเตรียมไปร่วมพิธีอภิเษกสมรสที่ตำหนักองค์ชายคังหลิงอวี๋สวมชุดงานมงคลลายห้าหงส์สีแดงกุหลาบปักด้ายทอง ที่มวยผมทั้งสองด้านปักปิ่นปักผมรูปหงส์คู่สีทอง ตรงกลางเป็นเครื่องประดับดอกโบตั๋นสีทอง ดูสง่างามเป็นอย่างมากหลิงซวนกับหานอวี้กำลังแต่งตัวให้นางอยู่ก็ได้ยินเสียงรายงานจากด้านนอก “ฝ่าบาทเสด็จแล้ว!”“ยังเช้าอยู่เลย เหตุใดองค์จักรพรรดิถึงเสด็จมาแล้วเล่า!”หลิงอวี๋ค่อนข้างแปลกใจ จึงให้หลิงซวนหยุดแล้วเดินออกไปรับเซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนเปลี่ยนเป็นชุดงานมงคลแล้ว เขาสวมชุดจักรพรรดิสีทองอร่าม มือทั้งสองถือกล่องใบใหญ่ใบหนึ่ง เมื่อเห็นหลิงอวี๋ก็เข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม“อาอวี๋ ข้าว่าตั้งแต่ที่เจ้าเข้าวังมาก็มิได้แต
เพราะต้องไปร่วมพิธีอภิเษกขององค์ชายคัง หลิงอวี๋จึงไม่มีเวลาศึกษากำไลหยก นางจึงตกแต่งด้วยเครื่องหน้าผมที่เซียวหลินเทียนมอบให้ด้วยความร่วมมือกันของพวกหลิงซวนเมื่อสวมมงกุฎไข่มุกหงส์สีม่วงทองแล้ว ความรู้สึกสูงศักดิ์สง่างามที่มิอาจระงับได้ของหลิงอวี๋ก็ท่วมท้นขึ้นมาในทันทีต่างจากความหรูหราสง่างามเมื่อครู่ หลิงอวี๋ในเวลานี้ราวกับเทพธิดาที่ผู้สูงสง่าอยู่เหนือทุกคน และมีความสูงส่งมากงดงามยิ่งนัก!เซียวหลินเทียนมองตะลึง รู้สึกว่าหลิงอวี๋ในวันนี้ดูมีสง่าราศียิ่งกว่าวันที่แต่งตั้งฮองเฮาเสียอีกหากหลิงอวี๋ที่เป็นเช่นนี้ไปที่ตำหนักองค์ชายคัง ผู้ใดยังจะกล้าหัวเราะว่าสินสอดของนางในวันนั้นสู้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิได้อีกหลิงซวนรู้สึกคลายความโกรธลง ความโกรธที่มีต่อเซียวหลินเทียนก่อนหน้านี้ได้ลบล้างไปแล้วนางตั้งใจออกไปบอกให้ลู่หนานเปลี่ยนเป็นรถม้าพระที่นั่งแบบเปิด อยากจะให้รูปลักษณ์ของหลิงอวี๋เช่นนี้ไปร่วมงานแล้วตบหน้าคนที่หัวเราะเยาะหลิงอวี๋เซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋มิรู้ความคิดเช่นนี้ของหลิงซวน เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้วจึงขึ้นรถม้าพระที่นั่ง แล้วมุ่งไปยังตำหนักองค์ชายคังโดยที่มีกองทัพหลวงเปิดทา
นับวันจ้าวฮุยก็ยิ่งมิชอบองค์ชายคัง รู้สึกว่าองค์ชายคังมิได้มีความสามารถอะไรช่วงนี้เขาสนับสนุนองค์ชายคังก็มิได้มีความเชื่อมั่นในใจแล้วแต่ความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของจ้าวฮุยก็คือไม่มีลูกชาย ฮูหยินจ้าวมีแต่ลูกสาวให้ตนทั้งสองคนเหล่าอนุภรรยาก็มีลูกสาวอดีตจ้าวฮุยไปหาปรมาจารย์ให้ดูดวงให้ เขาบอกว่าชีวิตของตนถูกลิขิตมาว่าจะไม่มีลูกชายเขาเองก็เคยหวั่นใจ คิดจะหาเด็กชายในตระกูล แต่เด็กที่เฉลียวฉลาดในตระกูลมีมิมาก ดูไปดูมาก็ยังสู้ลูกสาวสองคนของตนมิได้จ้าวฮุยมิอยากให้ชื่อเสียงของตนถูกทำลายไปชั่วชีวิตจึงตัดความคิดนี้ไปการตายของจ้าวเจินเจินคราวนี้ยิ่งทำให้จ้าวฮุยมองเห็นถึงความเย็นชาขององค์ชายคังกับไท่เฟยเส้าแม้ว่าเขาจะเรียกลูกสาวของตนกลับมา แต่มิได้วางแผนที่จะให้นางอุทิศตนให้องค์ชายคังอย่างมิเห็นแก่ตัวดังเช่นจ้าวเจินเจินอีกการให้ค่าตอบแทนเท่าเทียมกันของขุนนางชายหญิงที่หลิงอวี๋ผลักดัน ทำให้จ้าวฮุยหวั่นใจบุรุษสามารถเป็นจักรพรรดิได้ สตรีก็เป็นได้เช่นกันจ้าวหรุ่ยหรุ่ยลูกสาวของตนเหนือกว่าองค์ชายคังมากทั้งทักษะและปัญญา เช่นนั้นเหตุใดจะมิสามารถแทนที่ได้เล่า!ดังนั้น จ้าวฮุยเพีย
ทางด้านหลิงอวี๋กำลังเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่ง จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเองก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณของหลิงอวี๋ นางค่อนข้างตกใจ หลิงอวี๋ก็เป็นผู้ฝึกฝนเช่นกันหรือ?อีกทั้งดูเหมือนว่าการฝึกพลังวิญญาณจะถึงดินแดนที่สี่แล้วด้วย?สิ่งนี้ทำให้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็ยิ้มออกมาอย่างเหยียดหยามหลิงอวี๋เพิ่งจะดินแดนที่สี่ ตนเองอยู่ระดับสูงของดินแดนที่หกแล้ว ขอเพียงตนเองบรรลุผ่านดินแดนที่หกไปก็จะเป็นดินแดนที่เจ็ดอาจารย์บอกไว้แล้วว่า หากถึงดินแดนที่เจ็ด แผ่นดินใหญ่ทั้งสี่แคว้นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของตน!นางจ้าวหรุ่ยหรุ่ยคือคนที่อาจารย์ยกย่องว่ามีปัญญามาก คุณหนูตระกูลขุนนางเช่นหลิงอวี๋ การถึงดินแดนที่สี่ก็เป็นขั้นสุดที่นางฝึกฝนแล้ว!นางไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของตนได้แน่!และความผันผวนของพลังวิญญาณบนร่างของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยกับหลิงอวี๋นั้นเซียวหลินเทียนก็สัมผัสได้ สีหน้าของเขาจึงเรียบเฉยลงดังเช่นหลิงอวี๋ แรกเริ่มเขาตกใจที่ลูกสาวของจ้าวฮุยเป็นผู้บำเพ็ญตนเช่นกัน จากนั้นก็ตระหนักได้ว่า การที่จ้าวฮุยให้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยแต่งงานกับองค์ชายคังมิเพียงแต่เป็นการเชื่อมความสัม
“จ้าวหรุ่ยหรุ่ยผู้นี้มิธรรมดา!”เมื่อพิธีเสร็จสิ้น หลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนก็กลับวังหลวง เพิ่งจะนั่งรถม้าพระที่นั่งทั้งสองก็เอ่ยปากขึ้นมาโดยพร้อมกันอย่างรู้ใจ“อาอวี๋ การฝึกพลังวิญญาณของนางดูเหมือนจะเหนือกว่าของข้ากับเจ้า!”เซียวหลินเทียนเพิ่งจะบรรลุดินแดนที่สี่ แต่สามารถสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเหนือกว่าตนไปมาก“ระดับสูงของระดับหก!”หลิงอวี๋เอ่ยออกมาตรง ๆ“หา! เช่นนั้นอีกมินานก็จะบรรลุไปถึงดินแดนที่เจ็ดแล้วมิใช่หรือ?”เซียวหลินเทียนตกใจ เขาเพิ่งจะอยู่ในระดับต้นของดินแดนที่สี่ หลิงอวี๋อยู่ระดับสูงของดินแดนที่ห้า มิใช่ระดับเดียวกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ย!“อย่าเพิ่งตื่นตูมไปเพคะ!”หลิงอวี๋ยิ้มอย่างปลอบใจ “แม้ว่าจะเป็นระดับสูง ทว่าหากต้องการจะบรรลุดินแดนที่เจ็ดก็มิใช่เรื่องที่ง่ายถึงเพียงนั้น!”“อีกทั้ง จ้าวหรุ่ยหรุ่ยถูกส่งตัวออกไปตั้งแต่เล็ก ร่ำเรียนมาหลายปีจึงได้มีโชคเช่นนี้ มินับว่าเป็นอะไรหรอกเพคะ!”หลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนเพิ่งจะฝึกฝนกันช่วงนี้มิกี่เดือน สามารถเลื่อนขั้นไปถึงดินแดนที่สี่ได้อย่างรวดเร็วก็นับว่ามีพรสวรรค์มากแล้ว!“ตอนนั้นขันทีโม่เคยบอกไว้ว่า คนจำนวน
เซียวหลินเทียนได้ยินคำถามของหลิงอวี๋ก็หัวเราะเบาพลางเอ่ย “อาอวี๋รู้จักข้าดีจริง ๆ!”“ใช่แล้ว ข้าคาดการณ์ไว้ว่าจ้าวฮุยจะส่งมือสังหารไปสังหารใต้เท้าจาง จึงให้คนของค่ายกองทหารเสือซุ่มอยู่ล่วงหน้า สิ่งที่พวกเขาทำคือสังหารคนของจ้าวฮุย ทำให้จ้าวฮุยสูญเสียกำลังคน!”“ในขณะเดียวกัน คนของค่ายกองทหารเสือก็แสร้งเป็นมือสังหารช่วยใต้เท้าจางออกไป คนเหล่านี้จะแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอยากสังหารใต้เท้าจาง และอีกกลุ่มก็ช่วยชีวิตเขา!”หลิงอวี๋เข้าใจ “เช่นนี้ใต้เท้าจางก็จะคิดว่า จ้าวฮุยอยากจะสังหารเขาเพื่อปิดปากและจะตัดความคาดหวังที่มีต่อจ้าวฮุยไป จากนั้นก็สารภาพความผิดของจ้าวฮุยกับองค์ชายคังออกมา!”เซียวหลินเทียนพยักหน้าอย่างชื่นชม “มิเพียงเท่านี้ ข้ายังให้คนกระจายข่าวออกไปว่าใต้เท้าจางถูกจ้าวฮุยกับองค์ชายคังสังหารเพื่อปิดปากด้วย!”“นี่เพื่อข่มขวัญพวกคนที่จ้าวฮุยใช้งาน ให้พวกเขาเห็นใจกัน ต่อไปเมื่อทำงานให้จ้าวฮุยก็จะระวังตัว!”ใต้เท้าจางโกงกินเงินไปมากมายถึงเพียงนั้น ตายไปก็มิสาสมกับที่ทำเมื่อเทียบกับการเอาตัวเขาออกไปตัดหัวต่อหน้าธารกำนัลแล้ว เซียวหลินเทียนใช้การตายของเขาไปสร้างความแตกแยกพวกจ้า