หลิวเจินลืมตาขึ้นแล้วกวาดมองไปที่ขุนนางเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองท่านอ๋องเฉิงอย่างตัดสินใจมิหันหลังกลับ แล้วหัวเราะออกมา“ใช่แล้ว พวกท่านคาดเดาได้ถูกต้อง หม่อมฉันสังหารองค์หญิงหกเอง”“ก่อนหน้านี้บ่าวมิได้คิดจะสังหารแม่ทัพเผย แต่ใครบอกให้เขามิฟื้นขึ้นมาเสียทีแล้วดันมาพุ่งใส่บ่าวเลยตกใจพลั้งมือแทงเขาไป!”“เมื่อทำเรื่องที่ถึงแก่ชีวิต บ่าวก็กังวลว่าจะถูกประหารชีวิต จึงสังหารองค์หญิงหกไปเสีย บ่าวคิดจะโยนความผิดให้แม่ทัพเผยเพคะ!”“การใส่ร้ายพระชายาองค์รัชทายาทก็เป็นเพียงเพราะอยากจะย้ายเป้าหมาย ให้พวกท่านคิดมิถึงตัวบ่าว ไหนเลยจะคิดว่าพระชายาองค์รัชทายาทจะโชคดีถึงเพียงนี้ที่มีคุณหนูจำนวนเช่นนี้ช่วยเป็นพยานให้นาง!”“หม่อมฉันยอมรับความผิดเพคะ!”หลิวเจินกัดฟันพิษที่ซ่อนอยู่ในปากจนแตก และพยายามพูดต่อเพื่อที่จะมิให้ผู้ใดเห็นความผิดปกติ“องค์หญิงหกมีสิทธิ์อะไรที่เกิดมาในราชวงศ์ อยากได้อะไรก็ได้ ส่วนพวกเรา… ต้องตกอยู่ในสถานะที่ถูกกดขี่บังคับโดยปัดป้องมิได้เลย...”“แม่ทัพเผย ท่านควรจะขอบคุณข้า มิเช่นนั้นท่านจะต้องถูกบังคับให้แต่งงานแล้ว...”เลือดสีดำจำนวนมากพุ่งออกมาจากปากของหลิวเจิน
หลิงอวี๋เอ่ยอย่างแค้นเคืองต่อความมิเป็นธรรม “พวกของไท่เฟยเส้า ใส่ร้ายหม่อมฉันกับแม่ทัพเผยตามอำเภอใจโดยมิได้มีหลักฐาน ๆ เพคะ”“หม่อมฉันเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท แต่พวกเขาก็ใส่ร้ายและบีบบังคับหม่อมฉันให้แขวนคอเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ได้ตามใจ หากเป็นคุณหนูตระกูลร่ำรวยคนอื่น ๆ จะมิถูกต่อว่าต่อขานจนจมน้ำลายตายไปเลยหรือ!”“แม่ทัพเผยเป็นเสาหลักของแคว้น วันนี้เขาโชคดีที่สามารถรอดมาปกป้องตนเองได้! แต่หากว่าเขาตายไปโดยที่มีเรื่องใส่ร้ายติดตัวเช่นนี้ เช่นนั้นชื่อเสียงอันดีงามที่เขาสั่งสมมาโดยตลอดจะมิเสียหายไปหรือเพคะ?”เผยอวี้ฟังถึงตรงนี้ก็คุกเข่าตามลงไปพลางเอ่ยอย่างโกรธเคือง “กระหม่อมจงรักภักดีมาตลอดชีวิต ไม่มีทางทำเรื่องเช่นการลักลอบสมสู่กันเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ!”“ใต้เท้าวาง ใต้เท้าหลิน หากมุมมองทางการเมืองของเรามิตรงกันก็สื่อสารและเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ พวกท่านมาใส่ร้ายในเรื่องส่วนตัวของข้าตามแต่ใจเช่นนี้ ในภายภาคหน้าจะให้ข้านำทัพได้อย่างไร?”“ฝ่าบาท พระชายาองค์รัชทายาทตรัสได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเช่นนี้มิสามารถปล่อยไว้ได้ มิเช่นนั้นในภายหน้าจะกลายเป็นความนิยมของสังคม มิว่าผู้ใดก็ใส่
“พวกท่านทำเช่นนี้มิกลัวว่าจะทำร้ายใจของพวกขุนนางและเหล่าทหารหรือ?”การบีบให้ตอบคำถามแบบที่แทบจะทรมานวิญญาณออกไปเหล่านี้ทำให้สีหน้าของไท่เฟยเส้าดูแย่ลงและองค์ชายคังกับใต้เท้าวางก็พูดมิออกหลิงอวี๋กับเผยอวี้ล้วนอยู่บนหลักของเหตุผล แต่สิ่งที่พวกของตนทำนั้นมิอาจนำออกมาแสดงให้เห็นได้เลยจริง ๆ แล้วจะโต้แย้งได้อย่างไร?เซียวหลินเทียนมองหลิงอวี๋เช็ดน้ำตาเช่นนั้นก็ปวดใจเป็นอย่างมากหลิงอวี๋ต้องทนทุกข์และเหนื่อยยากไปกับตนเพื่อให้ตนได้นั่งอยู่ในตำแหน่งมังกรอย่างมั่นคงพวกของไท่เฟยเส้าใส่ร้ายนางกับเผยอวี้เช่นนี้เพื่อที่จะตัดแขนตัดขาตน นี่ถือเป็นการยั่วยุและมิสนใจตนสีหน้าของเซียวหลินเทียนอึมครึมและมองไปทางท่านอ๋องเฉิงท่านอ๋องเฉิงปวดหัวกับเรื่องนี้ ตนสามารถจัดการกับองค์ชายคัง ใต้เท้าวางและใต้เท้าหลินได้โดยที่เขามิต้องพูดอะไรแต่กับไท่เฟยเส้า นางเป็นสตรีของจักรพรรดิสูงสุด หากตนไปจัดการนาง… เช่นนั้นคงมิดีกระมัง!“ท่านอ๋องเฉิง เมื่อครู่ตัวข้าบอกไว้เช่นไร? การใส่ร้ายพระชายาองค์รัชทายาทและแม่ทัพเผย หากได้รับการตรวจสอบจนรู้ความจริงว่ามิเป็นตามนั้นจะต้องรับโทษโบยสามสิบไม้!”เซียวหลินเทียนเห็นว่
ไทฮองไทเฮากับหลิงอวี๋ได้ยินว่า เซียวหลินเทียนจัดการไท่เฟยเส้าเช่นนี้ก็แอบขำอยู่ในใจองค์ชายคังที่ถูกโบยสามสิบไม้กลายเป็นห้าสิบไม้ การถูกโบยไปเช่นนี้ ชีวิตก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว!ความเจ็บปวดในครั้งนี้มากพอที่จะทำให้เขามิสามารถออกมาก่อเรื่องไปได้อีกสักพักเลยทีเดียวฮูหยินวางกับฮูหยินหลินตกใจจนตัวสั่นอยู่นานแล้ว พวกนางต่างก็คุกเข่าอย่างหวาดกลัวอยู่กับที่มิกล้าขยับไปไหนไท่เฟยเส้า องค์ชายคังและสามีของตนล้วนถูกลงโทษกันหมด พวกนางหนีมิพ้นแล้วเป็นดังที่คาดไว้ หลังจากที่เซียวหลินเทียนจัดการกับไท่เฟยเส้าและองค์ชายคังแล้ว ก็หันกลับมาที่ทั้งสองคนพลางเอ่ยอย่างรังเกียจ “ตระกูลวางกับตระกูลหลินล้วนทำความผิดเดียวกันกับใต้เท้าวางและใต้เท้าหลิน ฉะนั้นก็รับการโบยสามสิบไม้! ลากตัวไปลงโทษ!”พวกแม่นมในวังต่างก้าวไปลากตัวของทั้งสองคน“ฝ่าบาททรงตัดสินอย่างปรีชาชาญ!”หลิงอวี๋กับเผยอวี้ได้ระบายความโกรธแล้วจึงคุกเข่าขอบคุณเซียวหลินเทียนทำตัวมิถูก เขารู้สึกว่าตนเป็นจักรพรรดิแล้วสิ่งนี้มิดี แค่ทำเรื่องเล็กน้อยให้พวกเขาก็ต้องได้รับคำขอบคุณที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้วสิ่งนี้เป็นการแบ่งแยกอย่างเห็นได้ชัด!“พระช
ท่านอ๋องเฉิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “อาภรณ์ของเซียวทงยุ่งเหยิงไปหมด อิงจากที่เผยอวี้บอกมาคือ นางถูกสังหารมาก่อนแล้วจึงโยนเข้าไปในห้องของเผยอวี้ ข้าเองก็มิแน่ใจว่า อาภรณ์ของนางยุ่งเหยิงไปตอนที่นางต่อสู้ หรือว่ายุ่งเหยิงในตอนที่ถูกย้ายตัวมา!”หลิงอวี๋คิดแล้วก็ยิ้มเยาะพลางเอ่ย “ดูจากนิสัยของเซียวทงแล้ว หากถูกคนบีบคอเอาไว้ไม่มีทางที่จะมิต่อสู้ดิ้นรน!”“หากเป็นหม่อมฉัน ถ้าเกิดหม่อมฉันสู้มิไหวก็จะต้องทำร้ายเขาที่ใบหน้าทำให้เขามิอาจซ่อนได้!”เผยอวี้ได้ยินดังนั้นก็เอ่ย “ท่านอ๋องเฉิง พระชายาองค์รัชทายาทเอ่ยเรื่องนี้ก็ถูกพ่ะย่ะค่ะ ท่านไปตรวจดูที่มือของเซียวทงดูดี ๆ อีกทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะในเล็บว่ามีเบาะแสอะไรหลงเหลืออยู่หรือไม่!”ท่านอ๋องเฉิงมองหลิงอวี๋อย่างชื่นชม จากนั้นก็กลอกตาให้เผยอวี้ไปแล้วเอ่ย“ยามที่ข้าตรวจสอบคดีจะละเลยในเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรเล่า! เจ้าเด็กนี่ ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นใคร!”เผยอวี้จึงแย้มรอยยิ้มออกมา “พ่ะย่ะค่ะ ๆ… กระหม่อมลืมไปว่าท่านอ๋องเฉิงทรงเติบโตมากับกระทรวงยุติธรรมจะละเลยไปได้อย่างไรกัน!”ท่านอ๋องเฉิงจึงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้ตรวจสอบเล็บของเซียวทงไปแล้ว เล็บข
มีหมิ่นกูคอยดูแลอยู่ อาหารที่เย็นแล้วก็ถูกเอามาอุ่นร้อนและจัดใส่จานอย่างรวดเร็ว งานเลี้ยงจึงดำเนินไปได้อย่างราบรื่นไท่เฟยเส้าถูกลงโทษทั้งยังปวดใจที่ลูกชายตนถูกโบยห้าสิบไม้อีก นางจึงเดินทางกลับตำหนักของตนไปอย่างอารมณ์เสียเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ก็มิได้สนใจนางและมิได้ส่งคนไปเชิญนางด้วยถึงอย่างไรก็เสียหน้าทั้งขึ้นทั้งล่อง ไท่เฟยเส้ายังจะคิดอาศัยสถานะความเป็นผู้อาวุโสมาบีบตนได้อย่างไรอีก!หลิงอวี๋จึงเพียงแค่ให้ครัวหลวงนำอาหารไปให้ไท่เฟยเส้าที่ตำหนัก ส่วนนางจะกินหรือไม่นั้น หลิงอวี๋ขอเพียงมิตกเป็นขี้ปากผู้ใดก็พอแล้วหลังจากผ่านการแข่งขันในวันนี้ไป คำพูดที่ว่า ‘มารดาเมตตา บุตรจึงกตัญญู’ ของหลิงอวี๋ก็คงเพียงพอที่จะทำให้ไท่เฟยเส้าอยู่อย่างสงบไปสักระยะหนึ่งหากกล้าก่อเรื่องอีก หลิงอวี๋จะไม่มีทางเกรงใจนางอีกแน่นอนแค่เพียงเอ่ยประโยคเดียวให้ไท่เฟยเส้าไปกินเจสวดมนต์ให้จักรพรรดิสูงสุดที่ศาลบูรพกษัตริย์นางก็สามารถบังคับให้ส่งไท่เฟยเส้าไปได้พวกสตรีบรรดาศักดิ์และขุนนางที่ตามไปดูละครนั้นต่างก็เห็นภาพที่เซียวหลินเทียนปกป้องหลิงอวี๋อย่างแข็งกร้าวนั้นในใจของพวกเขาก็กังวลขึ้นมาทันที พระชายาอ
ก่อนจะไป หลิงอวี๋ให้หานเหมยเอาซองแดงมาปึกหนึ่งแล้วแจกเงินปีใหม่ให้ทุกคนผู้ดูแลและหัวหน้าทุกคนทั้งในครัวหลวงและในวังล้วนได้รับเงินปีใหม่กันทั้งหมด ทุกคนล้วนดีใจจนหุบยิ้มมิได้ มิคาดคิดเลยว่าเข้าวังมาตั้งหลายปีเช่นนี้จะได้รับเงินปีใหม่มิว่าเงินจะเป็นจำนวนเท่าใดก็เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพระชายาองค์รัชทายาท!กระทั่งหลิงอวี๋จัดการเรียบร้อยแล้วก็รีบไปที่พระตำหนักฝั่งตะวันออกที่เซียวเยวี่ยอาศัยอยู่ ยังมิทันได้เข้าไปก็เห็นว่าขันทีเหอกับขันทีน้อยเซี่ยยืนอยู่หน้าประตูครั้งที่แล้วตอนที่เกิดเหตุก่อกบฏในวังขันทีเซี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้เขาอยู่ในสถานะที่กึ่งเกษียณ จะรับหน้าที่ช่วยเซียวหลินเทียนอยู่ในห้องทรงพระอักษรเท่านั้นในเวลาปกติหน้าที่ดูแลจึงตกเป็นของขันทีเหอกับขันทีน้อยเซี่ยไป“พระชายาองค์รัชทายาท องค์จักรพรรดิอยู่ด้านในกับองค์รัชทายาทน้อยพ่ะย่ะค่ะ!”ขันทีน้อยเซี่ยเห็นว่าหลิงอวี๋มาแล้วก็เข้าไปทำความเคารพพลางเอ่ยรายงาน“ขันทีทั้งสองทำงานหนักทีเดียว!”หลิงอวี๋ยิ้มแล้วมอบซองแดงให้คนละหนึ่งซองแล้วจึงเดินเข้าไปภายในโถงใหญ่ เซียวหลินเทียนกับเซียวเยวี่ยกำลังนั่งหัวจุ่มกันอยู่ที่พร
วันแรกของปีใหม่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าพร้อมด้วยแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ทั่วทั้งวังหลวงล้วนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์สีทองระยิบระยับนั้นช่างดูน่าเกรงขามและสง่างามอย่างยิ่งหลิงอวี๋ถูกนางกำนัลนับสิบคนเข้ามาดูแลตั้งแต่ฟ้ายังมิสว่าง นางอาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบราชสำนักของฮองเฮาเสื้อคลุมสีแดงสดปักไหมแปดกลุ่ม เป็นงานปักที่มีความประณีตและเรียบร้อยมาก อีกทั้งลวดลายก็งดงามมาก ๆ ด้วยสร้อยคอราชสำนักลูกปัดสีแดงที่มีขนาดเท่ากันมงกุฎหงส์สีทองอร่ามที่เป็นรูปหงส์บินขึ้นฟ้าเก้าตัว ตรงกลางเป็นหงส์สีทองที่ตกแต่งด้วยทับทิม และด้านซ้ายและขวาก็ตกแต่งด้วยอัญมณีสีแดงและสีเขียวส่วนตรงมวยผมทั้งสองด้านจะสอดแทรกไปด้วยเส้นไหมสีทองด้านละหกเส้น และใส่ต่างหูที่ช่วยให้ทุกอย่างราบรื่นหนึ่งคู่ และในทุก ๆ ย่างก้าวก็จะเป็นก้าวที่มีความเปล่งประกายเป็นครั้งแรกที่หลิงอวี๋ได้แต่งตัวเช่นนี้ ใบหน้าที่สูงส่งงดงามนั้นได้แสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขามและสง่างามราวกับหงส์ของฮองเฮาออกมาเดิมทีนางก็งดงามอยู่แล้ว แต่เมื่อสวมใส่เครื่องแบบราชสำนักเช่นนี้ก็ทำให้พวกหลิงซวนรู้สึกว่าความงดงามมิได้อยู่ที่รูปลักษณ์แต่อยู่ที่บุคลิกต