หลิงอวี๋เหลือบมองไท่เฟยเส้าอย่างดูถูกแล้วยิ้มเยาะพลางเอ่ย “คนที่ร้อนตัวมิใช่หม่อมฉันหรอก แต่เป็นไท่เฟยเส้าเองกระมัง!”“องค์จักรพรรดิให้สิทธิ์ในการไต่สวนกับท่านอ๋องเฉิงแล้ว ท่านอ๋องเฉิงยังมิทันได้ตัดสิน ไท่เฟยเส้าก็วิ่งออกมาพูดเช่นนี้ ผู้ใดร้อนตัวมองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว!”หลิงอวี๋หันไปทางเซียวหลินเทียน พลางเอ่ยด้วยเหตุผล“ฝ่าบาทเพคะ ก่อนหน้านี้องค์ชายคังก็เคยใส่ร้ายหม่อมฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง การใส่ร้ายหม่อมฉันซ้ำ ๆ เช่นนี้ช่างยากที่จะรู้เจตนาที่แท้จริง หม่อมฉันขอเพียงให้ฝ่าบาททรงรอให้คดีนี้ได้รับการไต่สวนจนเสร็จสิ้นแล้วให้คำอธิบายหนึ่งแก่หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”“มิเช่นนั้น วันนี้หม่อมฉันคงต้องตายอยู่ที่นี่เพื่อให้สมความปรารถนาขององค์ชายคังกับไท่เฟยเส้าที่อยากจะบีบหม่อมฉันให้ตายไป!”นี่...ไท่เฟยเส้ากับองค์ชายคังต่างมิกล้าพูดสิ่งใดอีก หากพูดต่อไป พวกเขาจะกลายเป็นผู้ร้ายที่บีบให้พระชายาองค์รัชทายาทต้องตาย แล้วพวกเขาก็คงจะถูกประณามจนต้องจมน้ำลายตาย“พระชายาองค์รัชทายาทอย่าได้หุนหันพลันแล่น อดทนรอฟังข้าไต่สวนคดีก่อน!”ท่านอ๋องเฉิงรู้ว่าหลิงอวี๋มิแสวงหาความตายหรอก จึงได้ปลอบใจออกไป ทั้ง
เผยอวี้ยื่นมือออกไปชี้หลิวเจินพลางเอ่ยอย่างโมโห “พวกเขาประคองสตรีผู้หนึ่งอยู่ แต่เพราะว่ากระหม่อมยังเบลออยู่จึงมองมิชัด แต่สัญชาตญาณของกระหม่อมรู้สึกได้ว่าอันตรายจึงพยายามจะพุ่งไปหาพวกเขา...”“ไหนเลยจะคิดว่าในมือของชายผู้นั้นจะมีกริชอยู่ เขาจึงแทงมาทางกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!”“ฤทธิ์ยาในตัวกระหม่อมยังมิหมดจึงทำให้การเคลื่อนไหวช้าและหลบมิทันจึงถูกแทงพ่ะย่ะค่ะ!”“ก่อนที่กระหม่อมจะหมดสติไปยังได้ยินหลิวเจินพูดกับชายผู้นั้นด้วยว่า ในเมื่อก่อเรื่องจนถึงแก่ชีวิตแล้ว ในเมื่อลงมือทำไปแล้วก็ต้องทำต่อ นางจึงล่อลวงพระชายาองค์รัชทายาทมาสร้างสถานการณ์...”“ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกระหม่อมก็มิรู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”หลิงอวี๋ได้ฟังคำพูดของเผยอวี้แล้วก็แอบยิ้ม เผยอวี้กับตนห็นตรงกันโดยปริยาย ต่างโยนความผิดเรื่องการสังหารเซียวทงไปให้หลิวเจิน เมื่อเป็นเช่นนี้ หลิวเจินจะยังพูดอะไรได้อีกเล่า!ต้องจัดการหลิวเจินก่อนแล้วจึงจะตรวจสอบในขั้นต่อ ๆ ไปได้“ไปเรียกตัวขันทีที่คอยดูแลพู่กันและหมึกในวันนี้มาให้แม่ทัพเผยชี้ตัว!”ท่านอ๋องเฉิงออกคำสั่ง องครักษ์กองทัพหลวงจึงไปพาตัวขันทีมาในขณะเดียวกัน ท่านอ๋องเฉิงก็
หลิวเจินลืมตาขึ้นแล้วกวาดมองไปที่ขุนนางเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองท่านอ๋องเฉิงอย่างตัดสินใจมิหันหลังกลับ แล้วหัวเราะออกมา“ใช่แล้ว พวกท่านคาดเดาได้ถูกต้อง หม่อมฉันสังหารองค์หญิงหกเอง”“ก่อนหน้านี้บ่าวมิได้คิดจะสังหารแม่ทัพเผย แต่ใครบอกให้เขามิฟื้นขึ้นมาเสียทีแล้วดันมาพุ่งใส่บ่าวเลยตกใจพลั้งมือแทงเขาไป!”“เมื่อทำเรื่องที่ถึงแก่ชีวิต บ่าวก็กังวลว่าจะถูกประหารชีวิต จึงสังหารองค์หญิงหกไปเสีย บ่าวคิดจะโยนความผิดให้แม่ทัพเผยเพคะ!”“การใส่ร้ายพระชายาองค์รัชทายาทก็เป็นเพียงเพราะอยากจะย้ายเป้าหมาย ให้พวกท่านคิดมิถึงตัวบ่าว ไหนเลยจะคิดว่าพระชายาองค์รัชทายาทจะโชคดีถึงเพียงนี้ที่มีคุณหนูจำนวนเช่นนี้ช่วยเป็นพยานให้นาง!”“หม่อมฉันยอมรับความผิดเพคะ!”หลิวเจินกัดฟันพิษที่ซ่อนอยู่ในปากจนแตก และพยายามพูดต่อเพื่อที่จะมิให้ผู้ใดเห็นความผิดปกติ“องค์หญิงหกมีสิทธิ์อะไรที่เกิดมาในราชวงศ์ อยากได้อะไรก็ได้ ส่วนพวกเรา… ต้องตกอยู่ในสถานะที่ถูกกดขี่บังคับโดยปัดป้องมิได้เลย...”“แม่ทัพเผย ท่านควรจะขอบคุณข้า มิเช่นนั้นท่านจะต้องถูกบังคับให้แต่งงานแล้ว...”เลือดสีดำจำนวนมากพุ่งออกมาจากปากของหลิวเจิน
หลิงอวี๋เอ่ยอย่างแค้นเคืองต่อความมิเป็นธรรม “พวกของไท่เฟยเส้า ใส่ร้ายหม่อมฉันกับแม่ทัพเผยตามอำเภอใจโดยมิได้มีหลักฐาน ๆ เพคะ”“หม่อมฉันเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท แต่พวกเขาก็ใส่ร้ายและบีบบังคับหม่อมฉันให้แขวนคอเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ได้ตามใจ หากเป็นคุณหนูตระกูลร่ำรวยคนอื่น ๆ จะมิถูกต่อว่าต่อขานจนจมน้ำลายตายไปเลยหรือ!”“แม่ทัพเผยเป็นเสาหลักของแคว้น วันนี้เขาโชคดีที่สามารถรอดมาปกป้องตนเองได้! แต่หากว่าเขาตายไปโดยที่มีเรื่องใส่ร้ายติดตัวเช่นนี้ เช่นนั้นชื่อเสียงอันดีงามที่เขาสั่งสมมาโดยตลอดจะมิเสียหายไปหรือเพคะ?”เผยอวี้ฟังถึงตรงนี้ก็คุกเข่าตามลงไปพลางเอ่ยอย่างโกรธเคือง “กระหม่อมจงรักภักดีมาตลอดชีวิต ไม่มีทางทำเรื่องเช่นการลักลอบสมสู่กันเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ!”“ใต้เท้าวาง ใต้เท้าหลิน หากมุมมองทางการเมืองของเรามิตรงกันก็สื่อสารและเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ พวกท่านมาใส่ร้ายในเรื่องส่วนตัวของข้าตามแต่ใจเช่นนี้ ในภายภาคหน้าจะให้ข้านำทัพได้อย่างไร?”“ฝ่าบาท พระชายาองค์รัชทายาทตรัสได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเช่นนี้มิสามารถปล่อยไว้ได้ มิเช่นนั้นในภายหน้าจะกลายเป็นความนิยมของสังคม มิว่าผู้ใดก็ใส่
“พวกท่านทำเช่นนี้มิกลัวว่าจะทำร้ายใจของพวกขุนนางและเหล่าทหารหรือ?”การบีบให้ตอบคำถามแบบที่แทบจะทรมานวิญญาณออกไปเหล่านี้ทำให้สีหน้าของไท่เฟยเส้าดูแย่ลงและองค์ชายคังกับใต้เท้าวางก็พูดมิออกหลิงอวี๋กับเผยอวี้ล้วนอยู่บนหลักของเหตุผล แต่สิ่งที่พวกของตนทำนั้นมิอาจนำออกมาแสดงให้เห็นได้เลยจริง ๆ แล้วจะโต้แย้งได้อย่างไร?เซียวหลินเทียนมองหลิงอวี๋เช็ดน้ำตาเช่นนั้นก็ปวดใจเป็นอย่างมากหลิงอวี๋ต้องทนทุกข์และเหนื่อยยากไปกับตนเพื่อให้ตนได้นั่งอยู่ในตำแหน่งมังกรอย่างมั่นคงพวกของไท่เฟยเส้าใส่ร้ายนางกับเผยอวี้เช่นนี้เพื่อที่จะตัดแขนตัดขาตน นี่ถือเป็นการยั่วยุและมิสนใจตนสีหน้าของเซียวหลินเทียนอึมครึมและมองไปทางท่านอ๋องเฉิงท่านอ๋องเฉิงปวดหัวกับเรื่องนี้ ตนสามารถจัดการกับองค์ชายคัง ใต้เท้าวางและใต้เท้าหลินได้โดยที่เขามิต้องพูดอะไรแต่กับไท่เฟยเส้า นางเป็นสตรีของจักรพรรดิสูงสุด หากตนไปจัดการนาง… เช่นนั้นคงมิดีกระมัง!“ท่านอ๋องเฉิง เมื่อครู่ตัวข้าบอกไว้เช่นไร? การใส่ร้ายพระชายาองค์รัชทายาทและแม่ทัพเผย หากได้รับการตรวจสอบจนรู้ความจริงว่ามิเป็นตามนั้นจะต้องรับโทษโบยสามสิบไม้!”เซียวหลินเทียนเห็นว่
ไทฮองไทเฮากับหลิงอวี๋ได้ยินว่า เซียวหลินเทียนจัดการไท่เฟยเส้าเช่นนี้ก็แอบขำอยู่ในใจองค์ชายคังที่ถูกโบยสามสิบไม้กลายเป็นห้าสิบไม้ การถูกโบยไปเช่นนี้ ชีวิตก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว!ความเจ็บปวดในครั้งนี้มากพอที่จะทำให้เขามิสามารถออกมาก่อเรื่องไปได้อีกสักพักเลยทีเดียวฮูหยินวางกับฮูหยินหลินตกใจจนตัวสั่นอยู่นานแล้ว พวกนางต่างก็คุกเข่าอย่างหวาดกลัวอยู่กับที่มิกล้าขยับไปไหนไท่เฟยเส้า องค์ชายคังและสามีของตนล้วนถูกลงโทษกันหมด พวกนางหนีมิพ้นแล้วเป็นดังที่คาดไว้ หลังจากที่เซียวหลินเทียนจัดการกับไท่เฟยเส้าและองค์ชายคังแล้ว ก็หันกลับมาที่ทั้งสองคนพลางเอ่ยอย่างรังเกียจ “ตระกูลวางกับตระกูลหลินล้วนทำความผิดเดียวกันกับใต้เท้าวางและใต้เท้าหลิน ฉะนั้นก็รับการโบยสามสิบไม้! ลากตัวไปลงโทษ!”พวกแม่นมในวังต่างก้าวไปลากตัวของทั้งสองคน“ฝ่าบาททรงตัดสินอย่างปรีชาชาญ!”หลิงอวี๋กับเผยอวี้ได้ระบายความโกรธแล้วจึงคุกเข่าขอบคุณเซียวหลินเทียนทำตัวมิถูก เขารู้สึกว่าตนเป็นจักรพรรดิแล้วสิ่งนี้มิดี แค่ทำเรื่องเล็กน้อยให้พวกเขาก็ต้องได้รับคำขอบคุณที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้วสิ่งนี้เป็นการแบ่งแยกอย่างเห็นได้ชัด!“พระช
ท่านอ๋องเฉิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “อาภรณ์ของเซียวทงยุ่งเหยิงไปหมด อิงจากที่เผยอวี้บอกมาคือ นางถูกสังหารมาก่อนแล้วจึงโยนเข้าไปในห้องของเผยอวี้ ข้าเองก็มิแน่ใจว่า อาภรณ์ของนางยุ่งเหยิงไปตอนที่นางต่อสู้ หรือว่ายุ่งเหยิงในตอนที่ถูกย้ายตัวมา!”หลิงอวี๋คิดแล้วก็ยิ้มเยาะพลางเอ่ย “ดูจากนิสัยของเซียวทงแล้ว หากถูกคนบีบคอเอาไว้ไม่มีทางที่จะมิต่อสู้ดิ้นรน!”“หากเป็นหม่อมฉัน ถ้าเกิดหม่อมฉันสู้มิไหวก็จะต้องทำร้ายเขาที่ใบหน้าทำให้เขามิอาจซ่อนได้!”เผยอวี้ได้ยินดังนั้นก็เอ่ย “ท่านอ๋องเฉิง พระชายาองค์รัชทายาทเอ่ยเรื่องนี้ก็ถูกพ่ะย่ะค่ะ ท่านไปตรวจดูที่มือของเซียวทงดูดี ๆ อีกทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะในเล็บว่ามีเบาะแสอะไรหลงเหลืออยู่หรือไม่!”ท่านอ๋องเฉิงมองหลิงอวี๋อย่างชื่นชม จากนั้นก็กลอกตาให้เผยอวี้ไปแล้วเอ่ย“ยามที่ข้าตรวจสอบคดีจะละเลยในเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรเล่า! เจ้าเด็กนี่ ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นใคร!”เผยอวี้จึงแย้มรอยยิ้มออกมา “พ่ะย่ะค่ะ ๆ… กระหม่อมลืมไปว่าท่านอ๋องเฉิงทรงเติบโตมากับกระทรวงยุติธรรมจะละเลยไปได้อย่างไรกัน!”ท่านอ๋องเฉิงจึงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้ตรวจสอบเล็บของเซียวทงไปแล้ว เล็บข
มีหมิ่นกูคอยดูแลอยู่ อาหารที่เย็นแล้วก็ถูกเอามาอุ่นร้อนและจัดใส่จานอย่างรวดเร็ว งานเลี้ยงจึงดำเนินไปได้อย่างราบรื่นไท่เฟยเส้าถูกลงโทษทั้งยังปวดใจที่ลูกชายตนถูกโบยห้าสิบไม้อีก นางจึงเดินทางกลับตำหนักของตนไปอย่างอารมณ์เสียเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ก็มิได้สนใจนางและมิได้ส่งคนไปเชิญนางด้วยถึงอย่างไรก็เสียหน้าทั้งขึ้นทั้งล่อง ไท่เฟยเส้ายังจะคิดอาศัยสถานะความเป็นผู้อาวุโสมาบีบตนได้อย่างไรอีก!หลิงอวี๋จึงเพียงแค่ให้ครัวหลวงนำอาหารไปให้ไท่เฟยเส้าที่ตำหนัก ส่วนนางจะกินหรือไม่นั้น หลิงอวี๋ขอเพียงมิตกเป็นขี้ปากผู้ใดก็พอแล้วหลังจากผ่านการแข่งขันในวันนี้ไป คำพูดที่ว่า ‘มารดาเมตตา บุตรจึงกตัญญู’ ของหลิงอวี๋ก็คงเพียงพอที่จะทำให้ไท่เฟยเส้าอยู่อย่างสงบไปสักระยะหนึ่งหากกล้าก่อเรื่องอีก หลิงอวี๋จะไม่มีทางเกรงใจนางอีกแน่นอนแค่เพียงเอ่ยประโยคเดียวให้ไท่เฟยเส้าไปกินเจสวดมนต์ให้จักรพรรดิสูงสุดที่ศาลบูรพกษัตริย์นางก็สามารถบังคับให้ส่งไท่เฟยเส้าไปได้พวกสตรีบรรดาศักดิ์และขุนนางที่ตามไปดูละครนั้นต่างก็เห็นภาพที่เซียวหลินเทียนปกป้องหลิงอวี๋อย่างแข็งกร้าวนั้นในใจของพวกเขาก็กังวลขึ้นมาทันที พระชายาอ