ลู่หนานเองก็มิได้ประกาศเรื่องนี้ออกไปครึกโครม เขาให้ขันทีเหอผู้ฉลาดซึ่งเป็นคนที่ขันทีเซี่ยหามาให้เป็นคนเอาผงยากับเครื่องหอมนี้ส่งไปให้หลิงอวี๋ตรวจสอบเล็กน้อยสิ่งที่ตรวจสอบออกมาจะต้องรู้ผลที่แน่ชัดว่าคืออะไร ให้หลิงอวี๋สามารถเตรียมการรับมือสถานการณ์ล่วงหน้าได้ มิเช่นนั้นหากรอจนตกหลุมพรางจะสายเกินไปขันทีเหอผู้นี้ปีนี้อายุยี่สิบ เป็นคนมีหน้าตาหล่อเหลา เข้าวังมาประมาณห้าหกปีแล้วก่อนหน้านี้เขาทำงานเบ็ดเตล็ดทั่วไป แม้ว่าจะเป็นคนฉลาดแต่มิได้แสดงออกมา และมิได้เอาใจองค์จักรพรรดิหรือสนมในวังเพื่อจะเลื่อนตำแหน่งตนให้สูงขึ้นด้วยขันทีเซี่ยกล้าแนะนำเขาให้เซียวหลินเทียนใช้งาน นั่นเป็นเพราะขันทีเซี่ยรู้ความลับของขันทีเหอขันทีเหอเป็นพี่น้องกับพระสนมเหอของจักรพรรดิอู่อัน ตอนนั้นสนมเหอถูกพ่อค้ามนุษย์จับตัวมาขายส่งเข้าวังขันทีเหอจึงเต็มใจขายตัวเองเข้าวังมาเพื่อน้องสาว และทำการชำระร่างกายเข้าวังมาเป็นขันทีแม้ว่าพระสนมเหอจะถูกแต่งตั้งเป็นสนม แต่วังหลังมีสาวงามอยู่เป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่ที่นางเข้าวังมาจนตอนนี้ก็มิเคยถูกจักรพรรดิอู่อันเรียกไปปรนนิบัติเลยตอนที่ขันทีเซี่ยไปหาเขาได้พูดออกไปเพียงป
ตอนนี้เซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋จะต้องรับภาระในด้านของตนเพียงผู้เดียว เซียวหลินเทียนรับภาระภายนอก หลิงอวี๋รับภาระภายในทั้งสองคนล้วนไม่มีเวลาและมิสามารถช่วยเหลืออีกฝ่ายในเวลาเดียวกันได้ ทำได้เพียงเป็นผู้นำในหน้าที่ของตนเท่านั้นหลิงอวี๋อยู่ภายในก็ถูกพระชายาเส้าทำให้ลำบาก เซียวหลินเทียนอยู่ภายนอกก็ถูกพวกของจ้าวฮุยและขุนนางที่มิเชื่อฟังเขาทำให้ลำบากแม้ว่าจะคนเหล่านี้จะยอมรับตัวตนจักรพรรดิของเซียวหลินเทียนไปตามพระราชโองการสั่งเสีย แต่ก็มิได้รู้สึกว่าเซียวหลินเทียนจะเป็นจักรพรรดิไปได้ยาวนานนักพวกเขาอยากจะใช้โอกาสที่เซียวหลินเทียนยังมิได้นั่งในตำแหน่งจักรพรรดิอย่างมั่นคงนี้ลากให้เขาลงจากตำแหน่งไปจ้าวฮุยบอกกับพรรคพวกของตนว่า ในหนึ่งวันให้ส่งสาส์นกราบทูลไปเป็นจำนวนมาก แล้วให้บอกว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนรอข้อคิดเห็นอยู่พวกเขาอยากจะหาโอกาสพิสูจน์ว่าคุณสมบัติของเซียวหลินเทียนมิคู่ควรกับตำแหน่งในคืนนี้เซียวหลินเทียนก็มิได้นอนเลย เอาแค่ร่ำเรียนเรื่องการจัดการบ้านเมืองจากการแนะนำของหลี่ว์เซียงกับท่านอ๋องเฉิงอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เมื่อเห็นว่าพรรคพวกของจ้าวฮุยเสนอสาส์นกราบทูลมาด้วย
เหตุใดเซียวหลินเทียนจะมิรู้เหตุผลนี้ เมื่อครู่เขาเห็นสาส์นกราบทูลที่มีความยาวมากเกือบสองหมื่นตัวอักษร หนึ่งหมื่นเก้าพันตัวอักษรด้านหน้านั้นล้วนเป็นประโยคไร้สาระทั้งสิ้นมีเพียงห้าร้อยคำด้านหลังสุดที่เป็นข้อความที่จริงจังหากเซียวหลินเทียนมิอดทนอ่านจนจบแล้วโยนไปด้านข้างเสียก่อนก็คงติดกับไปแล้วตอนไปว่าราชกิจในเช้าวันพรุ่งจะต้องถูกพวกจ้าวฮุยจับผิดแล้วเอาความผิดในฐานละเลยเรื่องบ้านเมืองมาใส่ตนแน่สาสน์กราบทูลเช่นนี้ หากเซียวหลินเทียนนั่งอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิอย่างมั่นคงแล้วก็จะไม่มีผู้ใดกล้ามาซักไซ้เขาแล้วแต่เซียวหลินเทียนยังมิได้ขึ้นครองบัลลังก์เลย หากทิ้งความทรงจำเช่นนี้ไว้กับพวกขุนนาง เช่นนั้นจะมิเป็นผลดีต่อการจัดการบ้านเมืองในภายภาคหน้าของตนเอง“หลี่ว์เซียง เจ้ากับท่านจินต้าจัดการเรื่องเหล่านี้ให้ข้าสักรอบหน่อยเถิด!”“ข้าจะจัดการสาส์นกราบทูลเหล่านี้ก่อน!”เซียวหลินเทียนผลักสาส์นกราบทูลกองหนึ่งไปให้ทั้งสองคน พลางเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ลำบากพวกเจ้าแล้ว! ต้องมาเหนื่อยไปกับข้าด้วย!”ท่านจินต้าเป็นที่ปรึกษาของเซียวหลินเทียนอยู่แล้ว การช่วยทำงานก็มิได้เป็นอะไรหลี่ว์เซียงอายุมากแล้ว
ขุนนางพรรคพวกของจ้าวฮุยเองก็มีเจตนาเหมือนกับจ้าวฮุยทั้งนั้นใต้เท้าหลี่ยังคงเอ่ยขึ้นมาอย่างกลัวว่าจะมิวุ่นวายมากพอ “ฝ่าบาท กระหม่อมขอเอ่ยถามสักประโยค มิทราบว่า สาส์นกราบทูลที่กระหม่อมส่งไปเมื่อวานได้ทำการลงข้อคิดเห็นแล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ขุนนางคนอื่น ๆ ที่ส่งสาส์นกราบทูลมาเมื่อวานต่างก็พากันซักถามเช่นกันเซียวหลินเทียนสีหน้าเรียบเฉย เขากวาดสายตามองไปที่พวกขุนนางด้านล่างที่ซักถามแล้วจึงเอ่ยอย่างช้า ๆ“สาส์นที่เหล่าขุนนางทั้งหลายส่งมานั้นข้าได้เขียนข้อคิดเห็นไปหมดแล้ว ประเดี๋ยวจะให้ขันทีน้อยเซี่ยส่งคืนให้พวกเจ้า!”“ใต้เท้าข่งก้าวออกมา!”ใต้เท้าข่งที่ถูกเรียกชื่อเป็นบัณฑิตจากสำนักฮั่นหลิน เขาก็คือขุนนางที่ส่งสาส์นกราบทูลเกือบสองหมื่นตัวอักษรมาให้เซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนพยักหน้า จากนั้นขันทีน้อยเซี่ยก็ส่งสาส์นกราบทูลให้เขายังมิทันที่ใต้เท้าข่งจะได้อ่านข้อคิดเห็นของเซียวหลินเทียน เซียวหลินเทียนก็เอ่ยขึ้นมา“เมื่อวานข้าได้เขียนข้อคิดเห็นในสาส์นกราบทูล เห็นสาส์นกราบทูลของใต้เท้าข่งก็ตกใจมาก เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของการเขียนสาส์นของขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊เลยทีเดียว!”“ดั
“แม่ทัพอันพูดถูก ใต้เท้าข่ง หากเป็นในสนามรบแล้วทหารมารายงานข้อมูลดั่งเช่นที่ท่านทำ ก็คงมิต้องสู้รบกันแล้ว แค่รอให้กองทัพถูกกวาดล้างไปเถอะ!”แม่ทัพคนหนึ่งก็เออออไปกับคำพูดของอันเจ๋อและดุด่าใต้เท้าข่งเช่นกันขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่งก็ด่าออกมา “ใต้เท้าข่ง นี่มิใช่การเขียนบทความนะ แต่เป็นการเขียนสาส์นกราบทูล ท่านแหกตาดูเอาเถิดว่าบนโต๊ะขององค์จักรพรรดิมีสาส์นกราบทูลกองอยู่มากถึงเพียงนั้น หากพวกเราเขียนคำพูดไร้สาระยืดยาวเช่นท่านกันหมด เช่นนั้นองค์จักรพรรดิคงเหนื่อยจนเป็นลมไปพอดี!”ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ต่างพูดต่อว่าใต้เท้าข่งอย่างเสริมกันไปมาใต้เท้าข่งถูกพูดใส่เช่นนี้ก็หน้าแดงหูแดง แล้วเอ่ยโต้เถียงเสียงดังอย่างหมดแรง“ข้าก็มีที่พูดเรื่องจริงจัง… อีกทั้งก่อนหน้านี้ข้าก็เขียนเช่นนี้ องค์จักรพรรดิสูงสุดมิเห็นทรงตำหนิกระไร พวกท่านมีสิทธิ์อะไรมาต่อว่าข้า!”พรรคพวกของจ้าวฮุยจึงออกมาสนับสนุนใต้เท้าข่งในทันที มีบางคนตะโกนขึ้นมา “แม้ว่าสาส์นกราบทูลของใต้เท้าข่งจะยาวก็เป็นความสามารถในด้านการเขียน ควรค่าให้พวกเราเรียนรู้!”“เมื่อครู่องค์จักรพรรดิก็ยังชื่นชมว่าสาส์นกราบทูลของเขาเขียนดีเลยมิใช่หร
“สาส์นที่ใต้เท้าจางส่งมาเป็นเรื่องสตรีผู้หนึ่งที่เขตหมินเก็บทองได้แล้วมิถือเอาเป็นของตน… นี่เป็นเรื่องดี ใต้เท้าจาง เจ้าส่งป้ายผ้าให้นางเป็นรางวัลแทนข้าที!”เซียวหลินเทียนโยนสาส์นที่เขารู้สึกว่าไร้สาระลงบนพื้นทีละอันอย่างไร้ความปรานี“ใต้เท้าวาง ที่ข้างถนนมีเด็กเล็กสองคนทะเลาะกัน ในสาส์นที่เจ้าส่งมาบอกว่า พ่อแม่ของพวกเขาสั่งสอนมิดี เช่นนั้นข้าขอสั่งให้เจ้าไปช่วยพ่อแม่ทั้งสองครอบครัวดูแลเด็กเล็กสองคนนั้น!”“เมื่อใดที่เด็กสองคนนั้นมิทะเลาะกันแล้วเจ้าค่อยกลับมาทำงานต่อ! จงจำไว้ มิใช่ว่าการที่เขามิทะเลาะกันเพียงหนึ่งถึงสองเดือนก็ถือว่าเจ้าสั่งสอนสำเร็จแล้ว แต่ต้องเป็นเวลาจนกว่าจะถึงอายุยี่สิบปี!”ใต้เท้าวางหน้าซีดเผือด จะดูแลได้อย่างไรกัน!เด็กสองคนนั้นเพิ่งจะอายุห้าหกขวบ รอให้พวกเขาอายุสิบห้ายี่สิบ เช่นนั้นตนเองต้องสิ้นเปลืองเวลาเกือบสิบปีไปอยู่กับพวกเขาหรือ?เขานึกเสียใจอยู่ครู่หนึ่ง มีเรื่องตั้งมากมายไฉนตนกลับบอกเรื่องนี้ในสาส์นกราบทูลกันเล่า!จากที่เซียวหลินเทียนอ่านสาส์นกราบทูลแต่ละอันแล้ว พวกขุนนางลูกน้องของจ้าวฮุยหลายคนก็ถูกเซียวหลินเทียนเปลี่ยนวิธีต่าง ๆ ปรามไปหมดแล้วจ้าวฮ
เซียวหลินเทียนลงโทษพวกใต้เท้าข่งกับใต้เท้าวางก่อน หลังจากนั้นสาส์นน่าเบื่อเหล่านี้ก็มิปรากฏอยู่บนโต๊ะทรงงานของเซียวหลินเทียนอีกเลยแผนการเล็ก ๆ นี้ของจ้าวฮุยถูกเซียวหลินเทียนใช้วิธีการเช่นนี้จัดการไปแล้วอันเจ๋อกับเผยอวี้นับถือเซียวหลินเทียนมาก แต่เซียวหลินเทียนกลับมิกล้าภาคภูมิใจในตนเองด้วยเรื่องนี้จ้าวฮุยเป็นคนที่เฉลียวฉลาดและมีความสามารถ เมื่อแผนการหนึ่งมิสำเร็จจะต้องมีแผนการมาอีกแน่นอนเวลานี้เซียวหลินเทียนยังมิได้ครองบัลลังก์ ไม่มีเหตุผลที่เป็นธรรมและมิสามารถแตะต้องจ้าวฮุยได้ ทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ก่อนเท่านั้นจ้าวฮุยมองสาส์นกราบทูลที่ว่างเปล่า เขารู้ว่าเซียวหลินเทียนทำวิธีนี้เพื่อปรามขุนนางที่เป็นพรรคพวกของตนแต่เขาทำอย่างสมเหตุสมผล แม้ว่าเขาจะมิพอใจแต่ก็ทำได้เพียงอดทนไว้เซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋มิธรรมดาเลย!ระหว่างที่จ้าวฮุยกลับไปก็ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ตลอด เขาคิดว่าตนได้พบกับคู่ต่อสู้สองคนที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิตแล้วเซียวหลินเทียนมีความสามารถทั้งทางบุ๋นและบู๊ อีกทั้งยังมีไหวพริบที่โดดเด่นด้วย การจะจัดการเขาสักคนก็ยากมากพอแล้วยังมีหลิงอวี๋เพิ่มเข้ามาอีก สตรีผู้นี้เอ
ทางด้านหลิงอวี๋ก็ยุ่งง่วนมาก เมื่อพระชายาผิงหนานเตือนขึ้นมาก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปพาตัวหลิงเยวี่ยมาเคารพพระบรมศพของจักรพรรดิอู่อันหลิงอวี๋ค่อนข้างสับสน การที่หลิงเยวี่ยมาครั้งนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการยอมรับตัวตนว่าเขาคือลูกชายแท้ ๆ ของเซียวหลินเทียนแม้ว่าวันนั้นเซียวหลินเทียนจะบอกว่า เขาจะไม่มีทางสงสัยอีกว่าหลิงเยวี่ยเป็นลูกชายแท้ ๆ ของเขาหรือไม่ แต่ใครจะรู้ว่าเป็นคำพูดที่ขัดต่อจิตใจของเซียวหลินเทียนหรือว่าเขาพูดจริงนางครุ่นคิดอยู่นานถึงให้หลิงซวนไปรายงานเซียวหลินเทียน ลองหยั่งเชิงท่าทีของเซียวหลินเทียนดูไหนเลยจะคิดว่าเซียวหลินเทียนจะไปรับหลิงเยวี่ยด้วยตัวเองท่ามกลางงานที่ยุ่งมาก ๆท่านอดีตเสนาบดีเกษียณออกมาแล้ว มิต้องไปเคารพพระบรมศพในวัง แต่ที่จวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนก็แขวนผ้าขาวไว้ทุกข์เช่นกันเมื่อคนเฝ้ายามที่หน้าประตูเห็นว่าจักรพรรดิองค์ใหม่มาด้วยตัวเองก็ตกใจรีบส่งคนเข้ามารายงานหลิงหว่านกับป้าสะใภ้ใหญ่รีบพาหลิงเยวี่ยและประคองท่านอดีตเสนาบดีไปต้อนรับที่หน้าประตูอย่างรวดเร็วเซียวหลินเทียนมิได้คาดคิดถึงการกระทำยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่ด้วยตัวตนของเขาในตอนนี้ มิสามารถให้คนเฝ้ายามนำตนเองเ