ตอนนี้ สายตาที่เกาเจียมองชีหยวนล้วนแฝงไปด้วยความนับถือหลายส่วนนี่เป็นเรื่องที่ใครก็คาดไม่ถึงจริงๆ!เป็นความจริงที่ชีหยวนพูดมาตลอดว่า ตนได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาทจากแม่นมเจียง และยังรู้จักกับองค์หญิงใหญ่ด้วยทว่าในความเป็นจริงนั้น ก็ไม่มีผู้ใดถือเป็นจริงนักก่อนหน้านี้ ที่ลู่ฮูหยินประชดประชันถากถางอยู่ที่เรือนหน้า ก็เพราะคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้และต่อให้สอนสิ่งใดให้ชีหยวนจริง นั่นก็คงเป็นเพราะอยู่ว่างจนเบื่อ ดังนั้นจึงให้คำแนะนำอย่างผิวเผินสองสามประโยค จะไปสั่งสอนชีหยวนจริงๆ ได้อย่างไรแล้วจะใส่ใจต่อชีหยวนจริงๆ ได้อย่างไร?ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลงจากเขา เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงรับญาติที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรด้วยซ้ำด้วย!ในตอนที่เทียบเชิญฉบับนั้นถูกส่งออกไป แม้แต่ชีเจิ้นก็มิได้จริงจังกับมัน!ผู้ใดจะรู้ว่า คนเขาจะมาแล้วจริงๆ!ไม่เพียงสายตาที่เกาเจียมองชีหยวนเปลี่ยนไปในความเป็นจริง ในตอนที่ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่เสด็จมาถึง แม้แต่ท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นที่กำลังต้อนรับแขกอยู่เรือนฝ่ายหน้าก็สบตากัน ต่างไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นที่อยู่ภายในใจสีหน้าของบรรดาแขกเหรื่อ ก็เต็มไปด้
เดิมคิดว่านางได้ตัดขาดจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา [1] ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกียวิสัยแล้วแต่นี่มิใช่ ยังเลี้ยงบุตรสาวไว้อีกคนหนึ่งหรือ?!ชีหยวนไม่รู้ถึงอารมณ์ในตอนนี้ของลู่ฮูหยิน แต่ต่อให้รู้ นางก็ไม่มีทางสนใจนักเมื่อเห็นแม่นมเจียงที่อยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่ ก็บังเกิดความรู้สึกแสบจมูกอยากร้องไห้ขึ้นมา ทำให้นางเกือบอดกลั้นไว้ไม่อยู่แล้วนางคุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์หญิงใหญ่ ทำการคารวะอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมสีหน้าขององค์หญิงใหญ่อ่อนโยนลง พยักหน้าพลางประคองนางขึ้นมา “เดิมยังคิดว่าเจ้าเป็นเพียงเด็กสาวชาวชนบทในหมู่บ้านคนหนึ่งจริงๆ คิดไม่ถึงว่า เจ้าจะยังมีโชคชะตาเช่นนี้”แม่นมเจียงที่ยืนอยู่ด้านข้าง กล่าวด้วยรอยยิ้มเอ็นดูและเมตตาว่า “แค่ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กสาวที่มีวาสนาเพคะ”นางหวังเกร็งเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดอยู่บ้างยังคงเป็นฮูหยินรองแห่งตระกูลผู้ที่อยู่ด้านข้าง ที่รีบรับคำว่า “แม้นางจะเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน ทว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคลิกหรือระเบียบมารยาทก็ล้วนไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย พวกเราก็มารู้ในภายหลังเช่นกันว่า นางถึงกับได้รับการแนะนำสั่งสอนจากท่านแม่นมเจียง”แม่นมเจียงอมยิ้ม “ไม่นั
เหลียนเอ๋อร์ที่เห็นว่าเปลือกหอยมุกที่ประดับอยู่บนหน้าผากของนางเบี้ยว ก็รีบยื่นมือไปจัดให้นาง และเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ก็หัวเราะตามไปด้วยว่า “คุณหนูท่านก็ช่างจริงๆ เลย คนเขาน่าเวทนาถึงเพียงนั้นแล้ว ท่านยังชมเรื่องสนุกอยู่อีก”หานเยว่เอ๋อร์เลิกคิ้ว “ข้าย่อมได้แต่ชมดูเรื่องสนุกอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นยังจะทำสิ่งใดได้? ในศาลบรรพบุรุษของตระกูลชี ยังมีเหล่าวีรชนที่ร่วมปราบพวกชาวหว่าล่า [1] กับองค์ฮ่องเต้เกาจู่อยู่ด้วย เหอะๆ ไฟกองนี้เมื่อไหม้ขึ้นมา…”ตัวชีอวิ๋นถิงในยามนี้กำลังเหงื่อออกเต็มศีรษะ เขาเพียงขยับบั้นท้ายของตนเล็กน้อย ก็อดไม่ได้ที่จะแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความเจ็บปวดสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติยกน้ำมาเพื่อใส่ยาให้เขาอย่างระมัดระวัง แต่กลับถูกเขายื่นมือไปปัดอ่างจนพลิกคว่ำ แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไสหัวออกไป!”ตอนนี้อารมณ์ของเขาแปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ดังนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้ายั่วยุเขา สาวใช้จึงรีบเก็บอ่างน้ำแล้วถอยออกไปทันทีชีอวิ๋นถิงสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง ยืนกรานที่จะลงจากเตียงและเขยื้อนกายไปริมหน้าต่าง เมื่อเห็นทางทิศของศาลบรรพบุรุษมีกลุ่มควันหนาทึบลอยขึ้นมา เวียนวนดำมืดอยู่กลางอากาศ
แขกคนอื่นๆ ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปมา คนละคำสองคำเช่นกัน“นั่นสิ กลับมาหาครอบครัว พิธีรับญาติยังไม่ทันเสร็จ ศาลบรรพบุรุษก็ไหม้ขึ้นมาแล้ว คุณหนูใหญ่ผู้นี้ คงมิใช่สิ่งอัปมงคลอะไรหรอกนะ?”“หรืออาจไปโดนของสกปรกอะไรเข้าก็เป็นได้ ไม่เช่นนั้น จะบังเอิญถึงขนาดนี้ได้อย่างไร”เสียงวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้ล้วนเข้าไปถึงหูของนางหวังนางหวังโมโหจนปวดท้อง จึงหันไปถลึงตาใส่ชีหยวนอย่างไม่ปรานีผู้คนต่างกังวลใจ และมีความคิดเห็นมากมาย เวลานี้ สายตาที่สตรีบางคนในกลุ่มนี้มองชีหยวน เริ่มไม่ปกติขึ้นมาแล้วสายตาขององค์หญิงใหญ่ทอดลงบนตัวชีหยวน เมื่อเห็นนางสงบมั่นคง มิได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ก็อดชื่นชมอยู่ในใจก่อนมิได้เรื่องอื่นยังไม่พูดถึง การที่อายุเท่านี้ก็มีความสุขุมใจเย็นเช่นนี้ได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งนางมองไปยังสาวน้อยที่อยู่เบื้องหน้า ถามนางเบาๆ ว่า “เจ้าไม่กลัวหรือ?”ชีหยวนเงยหน้าขึ้นมามองนางแล้วยิ้มออกมา ในตอนที่นางยิ้มออกมานั้น ดวงตาของนางสุกสกาวราวกับดวงดาว จากนั้น นางก็กะพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์ “เมื่อไม่ได้ทำผิดอันใด ย่อมมิกลัวผีร้ายมาเคาะประตู หม่อมฉันไม่กลัวดอกเพคะ”แม่นมเจียงและอ
ไฟที่ไหม้อยู่ในศาลบรรพบุรุษ ทำให้แขกในเรือนส่วนหน้ากว่าครึ่งแสดงความเจตจำนงที่จะไปช่วยไปดับไฟเพราะไม่ว่าอย่างไร เมื่อมาเป็นแขกที่จวนของผู้อื่นแล้วพบเรื่องแบบนี้เข้า จะเอาแต่นั่งเป็นห่วงโดยไม่ทำสิ่งใด ก็ออกจะไม่เหมาะนักทว่า ท่านโหวผู้เฒ่ากับชีเจิ้น จะให้แขกเหรื่อทั้งหลายไปได้อย่างไร?ต่างพากันรีบหยุดพวกเขาไว้ บอกว่าคนจากกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครและหน่วยลาดตระเวนล้วนมากันแล้ว อีกไม่นานก็จะสามารถดับไฟได้แล้วและในความเป็นจริง สิ่งที่ท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นพูดก็ถูกต้องอย่างมาก เพราะหลังจากนั้นไม่นาน กองบัญชาการปัญจทิศรักษานครและหน่วยลาดตระเวน ก็ร่วมมือกันดับไฟลงได้จริงๆทั้งท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้น ล้วนพากันถอนใจอย่างโล่งอกโดยเฉพาะท่านผู้เฒ่าที่ถามออกมาทันทีว่า สถานการณ์เป็นเช่นใดแล้ว? ป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษไม่เป็นไรกระมัง?”หากเกิดสิ่งใดขึ้นมา นั่นก็จะเป็นเรื่องชวนให้หดหู่อย่างแท้จริงชีเจิ้นรีบเชิญผู้บัญชาการของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครเข้ามา ผลคือ ทันทีที่ใต้เท้าหยวนเข้ามาก็กล่าวว่า “ท่านโหวเพลิงไหม้ของพวกในครั้งนี้ มิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ”......หมายความว่าอย่างใดก
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เกาเจียก็รีบเร่งฝีเท้าเข้ามาปลอบประโลมนางหวัง “ฮูหยิน ไฟด้านหน้าถูกดับลงหมดแล้วเจ้าค่ะ ยามนี้ไม่มีปัญหาใดแล้วเจ้าค่ะ!”ขอบคุณฟ้าดิน!นางหวังพนมมือขึ้นท่องชื่อองค์พระอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็เชิญองค์หญิงใหญ่ให้ไปชมการแสดงงิ้วที่เรือนด้านหน้าองค์หญิงใหญ่มองชีหยวนอย่างอบอุ่น พลางตบหัวของชีหยวนเบาๆ “ช่างเถอะ ข้ามิได้ฟังงิ้วมานานหลายสิบปีแล้ว ยามนี้ ไม่มีความสนใจต่อสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว เมื่อมาเยือนและได้พบกับสาวน้อยผู้นี้แล้ว ก็ให้จบเพียงเท่านี้เถิดนี่หมายความว่าจะจากไปแล้วลู่ฮูหยินเม้มปาก รู้สึกว่าองค์หญิงใหญ่ช่างให้เกียรติยัยเด็กนี่เหลือเกิน ก็ไม่รู้ว่าที่แท้เด็กผู้นี้มีสิ่งใดพิเศษกันแน่หานเยว่เอ๋อร์กลับขมวดคิ้วเบาๆเพลิงไหม้ในครั้งนี้รุนแรงถึงเพียงนี้ องค์หญิงใหญ่กลับไม่ทรงรู้สึกว่า นี่เป็นความอัปมงคลที่ชีหยวนนำพามาเลยหรือ?ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ภรรยาของหลิวจงก็กลับมาจากด้านนอกอีกครั้ง นางกล่าวกับนางหวังเบาๆ ว่า “ฮูหยิน ท่านโหวให้เชิญคุณหนูใหญ่และคุณหนูหานไปทางนั้นสักรอบเจ้าค่ะ”อะไรนะ?นางหวังตกตะลึง มองไปที่หานเยว่เอ๋อร์อย่างไม่คาดคิดอยู่บ้าง
หานเยว่เอ๋อถลึงตาจ้องชิงซงอย่างไม่อยากเชื่อ หากว่ามีมีดสักเล่มอยู่ในมือตอนนี้ นางคงถือมีดเล่มนั้นแทงชิงซงให้ตายโดยไม่ลังเลไปแล้วจริง ๆ สวะ ชั้นต่ำ! เขาวางเพลิงเสร็จแล้ว จะหลบหนีไปเลยก็ย่อมได้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดเจอตัวอยู่แล้ว แต่เขามิเพียงถูกจับได้ บัดนี้ยังลากตนเองไปรับเคราะห์ด้วยอีก! นางร่ำไห้ทันที “ท่านลุง ข้าจะบังอาจได้อย่างไรเจ้าคะ?!” แขกเหรื่อจำนวนมากล้วนอยู่กันพร้อมหน้า ยิ่งไปกว่านั้นชีหยวนก็กำลังมองอยู่ด้านข้าง หานเยว่เอ๋อตัดสินใจคุกเข่าลงกับพื้นทันที พลางคลานเข่าไปหาชีเจิ้น คว้าเสื้อคลุมของชีเจิ้นไว้และร่ำไห้คร่ำครวญ “ท่านลุง บิดาของข้าตายในสมรภูมิ เพื่อจะฮุบเอารางวัลและที่ดินของบิดาข้าไป บรรดาญาติพี่น้องในตระกูลคนอื่น ๆ ล้วนอยากจะกินเลือดกินเนื้อข้าทั้งสิ้นเจ้าค่ะ…” สีหน้าของทุกคนต่างดูค่อนข้างเหลืออด งานเลี้ยงพบญาติครั้งนี้ ชีเจิ้นเชิญคนจากในกองทัพมาด้วยไม่น้อย ถึงอย่างไรตัวเขาเองก็มีศักดิ์ฐานะอยู่ในกองทัพ สหายสนิทจำนวนไม่น้อยบัดนี้ยังคงรับราชการอยู่ในกองทัพเช่นกัน และคนเหล่านี้โดยส่วนมากล้วนรู้จักกับบิดาของหานเยว่เอ๋อ ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้ด้วยว่าเหตุใด
ภายในห้องของนางมีสิ่งที่มิอาจให้ผู้ใดเห็นได้อยู่จริง ๆ ท่านโหวผู้เฒ่าสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก็ประสานมือคำนับต่อทุกคน และกล่าวอย่างขึงขังจริงจัง “แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ณ ที่แห่งนี้ ในวันนี้ต้องขออภัยทุกท่าน ที่ทำให้ทุกท่านต้องมาทนเห็นเรื่องวุ่นวายแล้ว ด้วยเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศาลบรรพบุรุษตระกูล และรากฐานกิจการของบรรพชน ข้าจึงจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบละเอียดยิ่งขึ้นสักหน่อย” ชายชรากล่าวอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ชี้ให้เห็นว่าเรื่องใหญ่เกินไป มิอาจมองข้ามข้อสงสัยเล็กน้อยใด ๆ ได้ทั้งสิ้น และทุกคนก็มิได้มีข้อโต้แย้งใดจะเอ่ยออกมา ผู้คนล้วนแต่ออกปากว่าเห็นด้วย “เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดา” ท่านโหวผู้เฒ่าประสานมือทำความเคารพอีกครั้ง “ข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณ ณ ที่แห่งนี้ หากบ่าวรับใช้ในเรือนจงใจป้ายความผิด ปรักปรำแม่นางหาน ข้าจะขอคุกเข่าก้มกราบขอโทษนางด้วยตนเอง และจะเตรียมพิธีวิวาห์ให้นางประหนึ่งเป็นหลานสาวของตนเอง!” พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว แก้ปัญหาเช่นนี้ใครก็หาข้อตำหนิไม่ได้ ทุกคนล้วนมองหานเยว่เอ๋อด้วยท่าทางครุ่นคิด หานเยว่เอ๋อกระวนกระวายจนแม้แต่โลหิตในกายยังเหมือนถูกแช่แข็งไปด้วย สายลมใน
หากว่ามี เช่นนั้นก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี หากว่าไม่มี เช่นนั้นก็ต้องคิดหาหนทางเลือกเด็กสักคนในตระกูลมาเป็นบุตรบุญธรรมของเขา เพื่อจะได้เป็นทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูล ขณะที่กำลังคิดสะระตะ เขาพลันได้ยินเสียงลมหายใจระลอกหนึ่งพัดผ่านข้างใบหู เสียงลมหายใจ! ทว่าในห้องมีเขาอยู่เพียงคนเดียว! เสี้ยวพริบตาเดียวสวีฮว่านพลันรู้สึกเส้นขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว สติหลุดออกจากร่าง และทันใดนั้นก็คิดจะหมุนศีรษะกลับไปโดยสัญชาตญาณ ทว่าจังหวะที่เขากำลังคิดจะผินศีรษะกลับไป กริชเล่มหนึ่งก็ปักลงบนลำคอของเขาอย่างเงียบเชียบไร้เสียง หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ เสียงนี้ชัดเจนว่าเป็นเสียงของดรุณีน้อยงามเพริศพริ้งสดใส เหมือนกับเสียงของบุตรสาวของเขาที่เข้ามาออดอ้อนเขาในยามปกติ ทว่าในเสี้ยวขณะนี้เวลานี้ เขากลับไม่รู้สึกว่าเสียงนั่นกำลังออดอ้อนสักนิด! เพื่อแสดงออกถึงความซื่อสัตย์สุจริตของตนเองแล้ว เรือนของเขายังต้องเช่าอาศัย และในเมื่อเรือนยังต้องเช่าอาศัย ดังนั้นในเรือนย่อมไม่สามารถมีบ่าวรับใช้ที่มากเกินไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถมียามเฝ้าเรือนได้ด้วย ดังนั้นองครักษ์เหล่านั้นของเขา ล้วนแต่ถูกเลี
อาภรณ์ชุดใหม่ในเรือนตัดเย็บเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ปีนี้นับเป็นปีที่หาได้ยากที่เหล่าดรุณีสกุลสวีจะได้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ออกไปเที่ยวชมพระโพธิสัตว์ สกุลสวีทั้งเบื้องบนเบื้องล่างต่างปีติยินดี แม้แต่ฮูหยินสวีก็ยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ชุดใหม่ทั้งตัว ในปีนี้นางสวมเสื้อนวมสองชั้นที่ทำจากผ้าไหมฝูกวงซึ่งเป็นแบบที่ทันสมัยที่สุด ข้างนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมขนนกยูง มองแล้วดูหรูหราเจิดจ้าจับตา เดิมทีนางรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย ก่อนออกจากเรือนยังถึงขั้นถามสวีฮว่านขึ้นมาเป็นพิเศษว่า “วันนี้เป็นวันที่สาม ต้องขึ้นเขาไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ จุดธูปทอนน้ำมัน ทว่าก็มีบรรดาสตรีผู้มีหน้ามีตาในเมืองหลวงไปที่นั่นด้วยเช่นกัน พวกเราแต่งกายเช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ?” หลายปีที่ผ่านมานี้ บรรดาสตรีในสกุลสวีได้ชื่อว่ามัธยัสถ์เรียบง่ายมาตลอด แต่กระนั้นก็ไม่มีใครดูถูกดูแคลนพวกนาง ใครต่างก็รู้ว่าในเมืองหลวงสวีฮว่านขึ้นชื่อว่าสุจริตมือสะอาด งานเลี้ยงของคนอื่น งานสังสรรค์สุราของคนอื่น เขาไม่เคยไปร่วมเลยสักครา เพราะไปกินของคนอื่น ย่อมเลี่ยงไม่ได้ต้องเชิญคนอื่นมากินเลี้ยงตอบแทนกลับในภายหลัง ใต้เท้าสวีเคร่งครัดในความสุจร
“ไม่!” ชีหยวนส่ายหน้า มองเซียวอวิ๋นถิงตรง ๆ พลางถามว่า “ท่านอ๋อง หากต้องให้คนอื่นมาพูดแทนท่านปู่และท่านพ่อของข้าน้อย ตรงกันข้าม ขอให้คนของท่านยื่นฎีกาไม่ไว้วางใจท่านพ่อและท่านปู่ของข้าน้อยด้วยดีกว่า!” เหล่าจ้าวคิดในใจ นี่เขาไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง? คุณหนูใหญ่สกุลชีเสียสติไปแล้วหรือ?! ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับเข้าใจความหมายของชีหยวนได้ในทันที การลักลอบค้าขายสิ่งของผิดกฎหมายและการสมรู้ร่วมคิดกับข้าศึกขายชาติให้อริศัตรูถือเป็นแผนการอันชั่วช้าเลวร้ายมากเกินไปจริง ๆ เหตุผลที่ผู่อู๋ย่งทำเช่นนี้ ก็เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็สามารถทำให้สกุลชีสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายพระเนตรของฮ่องเต้หย่งชางนับจากนี้ไปตลอดกาล แม้ภายหลังจะหาตัวคนร้ายที่แท้จริงเจอแล้วก็ตาม ทว่าหากว่า หากว่าชีหยวนถูกลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า และคนในราชสำนักล้วนพากันรุมโจมตีสกุลชี หวังทำลายสกุลชีให้สิ้นซากไป ทว่าต่อมากลับได้ค้นพบความลับในภายหลังว่าเงินตำลึงจำนวนมหาศาลถูกซุกซ่อนไว้ในเรือนเช่าของสกุลสวี ไหนจะคนเหล่านั้นที่เซียวอวิ๋นถิงได้ส่งไปที่จี้โจวแล้วด้วย… เช่นนั้นในตอนนี้ยิ่งทำให้เรื่องราวใหญ่โตอื
ตอนที่นางกลับมาถึงหอหมิงเยว่ เซียวอวิ๋นถิงคอยอยู่บนชั้นสองแล้ว เขาคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ราวกับเดินกลับเรือนของตนเอง ชีหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อคิดได้ว่ามีเรื่องสำคัญ ก็มิได้พูดอะไรมาก เพียงแต่นั่งลง และเอ่ยขึ้นอย่างตรงประเด็น “ข้าน้อยจัดการสังหารสวีซินเฉียวแล้ว เขามิได้เปิดเผยข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์” หนนี้เหล่าจ้าวแอบติดตามมาด้วย วิชายุทธ์ของเหล่าจ้าวนับว่าเลิศล้ำ ดังนั้นต่อให้จะอยู่ห่างไกล เขาก็สามารถได้ยินบทสนทนาของคุณหนูใหญ่สกุลชี มิหนำซ้ำ… ยังพูดอย่างฉะฉานมั่นใจในเหตุผลมากเสียด้วย ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย เขามุ่นหัวคิ้วขึ้น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีคนแอบติดตามเจ้า” อำนาจของขันทีผู้ใหญ่ประจำกรมขันทีราชพิธีมิใช่เล่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้นองครักษ์เสื้อแพรยังแทรกซึมเข้าไปได้ทุกที่ กล่าวได้ว่า นับแต่เสี้ยวขณะที่ชีหยวนถูกลอบสังหาร ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในกำมือของพวกเขาหมดแล้ว ชีหยวนเปล่งเสียงรับคำเบา ๆ สีหน้าท่าทางสงบสุขุมยิ่งนัก “ข้าน้อยทราบแล้ว ดังนั้นหลังจากข้าน้อยสังหารสวีซินเฉียว พวกเขาจะคิดว่าอย่างไร?” จะคิดว่าอย่างไรหร
คนเรายามที่ตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกอย่างรุนแรง ก็มักจะเผลอใช้ความคิดฟุ้งซ่านมากลบเกลื่อนความหวาดกลัวและความตกใจของตนเองเสมอ ชีหยวนเผากริชด้วยไฟจนร้อนจัด ก่อนจะดึงหน้านิ่งและเสียบมันเข้าไปที่กระดูกสะบักซ้ายของสวีซินเฉียว จนแทงทะลุไปอีกด้านหนึ่งของเขา ทว่าหนนี้สวีซินเฉียวแม้แต่เสียงร้องก็ยังเปล่งออกมาไม่ได้ ทรุดลงกับพื้นทั้งร่างสั่นเทาและชักกระตุก ดวงตาฉายประกายหวาดกลัว ชีหยวนหยัดกายขึ้นยืน ก่อนจะหมุนตัวกลับไปอย่างเรียบเฉยและส่งยิ้มให้สวีซินเฉียวพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าสวี ท่านจะไม่พูดก็ย่อมได้ ข้าเข้าใจ ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตของคนในสกุล ท่านจะไม่พูดก็เป็นเรื่องธรรมดา เช่นนั้นพวกเราค่อยพบกันอีกครั้งในยุทธจักรเถิด” นางเอ่ยพลาง ก็ส่ายเทียนไขในมือของตนเองไปมา “ข้าจะส่งท่านเดินทางครั้งสุดท้าย เผาท่านไม่ให้เหลือซาก จะได้ประหยัดแม้กระทั่งโลงศพด้วย ถือเป็นการทำประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อชาวบ้านจี้โจวไปด้วย” ชาวหว่าล่ารุกรานเข้ามาทุกปี ชาวบ้านในที่แห่งนั้นเผชิญหายนะทุกข์ทรมานกันไปแล้วตั้งเท่าใด?! พวกเขาโหดร้ายป่าเถื่อน บุรุษถูกสังหารทันที ส่วนสตรีและเด็กก็กวาดต้อนกลับไปยังทุ่งหญ
และทันทีที่ผ้าขี้ริ้วถูกดึงออกมาจากในปาก สวีซินเฉียวไม่แม้แต่จะหยุดชะงักก็อ้าปากหมายจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือทันที แต่ชัดเจนว่าความรวดเร็วของชีหยวนยังเร็วกว่าเขามาก เขายังไม่ทันได้อ้าปากส่งเสียง ชีหยวนก็จัดการยัดผ้าขี้ริ้วกลับเข้าไปในปากของเขาอีกครั้งด้วยความรวดเร็วแล้ว และที่ยัดเข้าไปคราวนี้ก็ลึกยิ่งกว่าคราวก่อน แทบจะจุกเข้าไปถึงด้านในลำคอของสวีซินเฉียว ทำให้สวีซินเฉียวถึงขั้นพะอืดพะอมพยายามสำรอกออกมาหลายครั้ง ระดับความตื่นรู้ของคนหนึ่งคน เทียบเท่ากับระดับความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขาได้รับ สำหรับสวีซินเฉียวในยามนี้ก็นับเป็นเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า เมื่อใดที่สตรีตรงหน้าเอื้อนเอ่ยวาจาน้ำลายหนึ่งหยดของนางคือตะปูหนึ่งดอก หากไม่เชื่อฟังคำพูดของนางแล้ว นางจะแสดงความน่ากลัวอย่างถึงที่สุดออกมา ชีหยวนผุดยิ้มเล็กน้อยพลางหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาและปักกลับไปที่มวยผมดังเดิม จากนั้นค่อยแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางขยับข้อมือไปมา “ใต้เท้าสวี ดูท่านสิ เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อฟังกันบ้างเจ้าคะ? คนที่ไม่เชื่อฟัง จะต้องถูกลงโทษนะเจ้าคะ” เอ่ยพลาง นางก็เลื่อนมือข้างหนึ่งไปปิดปากสวีซินเฉียวไว
แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น สวีฮว่านก็ยิ่งระมัดระวังในการกระทำมากขึ้นไปอีกที่จวนไม่เคยจัดงานเลี้ยงหรืองานมหรสพใด ๆ เลยแม้แต่ในงานเลี้ยงวันเกิดของหญิงชรา ก็แค่ให้คนในครอบครัวทานข้าวด้วยกันมื้อเดียวแล้วก็จบกันไปเงินทองในบ้านกองเป็นภูเขา ผ้าไหมผ้าแพรก็มีมากมาย แต่ก็ไม่เคยเอาออกมาใช้แค่เห็นแต่ใช้ไม่ได้ นี่แหละถึงเป็นเรื่องที่อึดอัดใจและกลัดกลุ้มใจที่สุด!นางยังคิดว่าสวีฮว่านคงจะเป็นแบบนี้ไปทั้งชีวิตแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาเหมือนจะคิดตกได้ในทันทีสวีฮว่านยิ้มบาง ๆ พูดอย่างมีนัยยะว่า “เมื่อก่อนใช้ไม่ได้ แต่หลังจากนี้จะใช้ได้แล้ว”ฮูหยินสวีฟังไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ก็ดีใจยิ่งนัก รีบเปิดคลังเอาหนังสัตว์ออกมา ตัดเสื้อผ้าใหม่ให้เด็ก ๆ ในบ้านกันคนละชุดที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความชื่นมื่นสวีซินเฉียวออกจากบ้านสวีก็ยิ้มแย้มมีความสุขเช่นกันแน่นอนว่ามีความสุขอยู่แล้ว!สิ่งที่เขาทำ เขาก็รู้ตัวดีว่าเป็นความผิดมหันต์ถึงขั้นถูกตัดหัวและฆ่าล้างเก้าชั่วโคตร แต่ตอนนี้ไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะมีตระกูลชีเป็นแพะรับบาปไปแล้ววันขึ้นปีใหม่ บังเอิญมีเรื่องมงคล เขาดีใจจนเดินตรงไปที่หอหงเฟิ่นจินที่ค้าขายดีท
กลางดึก ของขวัญหลากสีสันที่ได้รับในคืนวันปีใหม่กองเต็มโถงบุปผา ทั้งห้องสวีฮว่านมองแวบเดียวก็ขมวดคิ้ว “ใครเป็นคนส่งของโจ่งแจ้งขนาดนี้?”สวีซินเฉียวเดินออกมาจากหลังฉากกั้นด้วยรอยยิ้มกว้าง พลางหัวเราะ “อารอง เป็นข้าเอง! หลานมิใช่เพิ่งกลับมาจากจี้โจวหรือ? ก็เลยตั้งใจเอาของมาคำนับท่านอารองโดยเฉพาะขอรับ”สีหน้าของสวีฮว่านไม่ได้ดูดีขึ้นเลย พอเห็นเขาก็ตวาดเสียงดังทันที “เจ้าคนสารเลว! เจ้าคิดว่านี่เป็นที่ไหนกัน? คิดว่าเจ้าตัวเองเป็นใคร? ตำแหน่งผู้ตรวจการเมือง มันเด่นขนาดนั้น ยังไม่รู้เหรอว่ามีคนจับตาดูอยู่เท่าไหร่? เจ้ากลัวคนอื่นไม่รู้รึไงว่าเจ้ารับสินบนไปมากแค่ไหน?!” สวีซินเฉียวทำปากเบะทันที สีหน้าดูเหมือนน้อยใจ “ท่านอารอง อย่างน้อยก็ท่านช่วยดูของที่หลานเอามาก่อนเถอะ! เมืองจี้โจวน่ะ อะไรที่ไม่ค่อยมี แต่หนังสัตว์นั้นหลากหลายเยอะสุด หลานกลับมาทั้งที จะเอาของฝากมาฝากท่านอาสะใภ้ กับพวกน้อง ๆ สักหน่อย มันก็เป็นเรื่องที่สมควรไม่ใช่หรือไร? ใครจะมาตำหนิได้ล่ะ?”ว่าแล้ว เขาก็หัวเราะระรื่น พลางขยับยื่นหน้ามาใกล้ “ว่าไปแล้ว ท่านอา เราต่างก็รู้อยู่แก่ใจดี นี่ไม่ใช่เพราะท่านอาช่วยเชื่อมโยงให้หลานได้
เมื่อเห็นว่าชีหยวนยังเงียบอยู่ เซียวอวิ๋นถิงก็เอ่ยขึ้นก่อน “พวกเขาเป็นครอบครัวทหารตระกูลชีแน่นอน และตลอดหลายปีมานี้ก็มีการติดต่อกับเผ่าหว่าล่าจริง ลักลอบค้าขายเหล็กเถื่อนกับเผ่าหว่าล่า พวกท่านแน่ใจหรือว่าไม่รู้เรื่องนี้เลย?!”ชีเจิ้นไม่สนแล้วว่าคนตรงหน้าคือพระราชนัดดา “พวกเราจะไปทำเรื่องโง่ๆ ทำลายตนเองแบบนั้นได้ยังไง?! ตั้งแต่ไหนแต่ไร แคว้นเรากับเผ่าหว่าล่าก็เป็นศัตรูกันมานาน ญาติพี่น้องของเรากี่คนแล้วที่ต้องตายในมือของเผ่าหว่าล่า เราจะไปสมคบคิดกับพวกมันได้ยังไง?!”สีหน้าของท่านโหวผู้เฒ่าชีซีดขาวราวกับเถ้าถ่านเรื่องคราวนี้เล่นงานเขาจนตั้งตัวไม่ทันจริง ๆจะจัดการยังไงดี? จะทำอย่างไรดีกันแน่?จะติดสินบนเจ้าเมืองทงโจว หม่าเซวียนไหม?ไม่ได้ เรื่องนี้ทำแบบนั้นไม่ได้เบื้องหลังคนพวกนั้นวางแผนมาอย่างดี แสดงว่าจ้องเล่นงานพวกเขาเต็มที่แล้วถ้าให้หม่าเซวียนช่วยกลบเรื่อง จะยิ่งกลายเป็นหลักฐานมัดตัวว่าตระกูลเราสมคบขายชาติครั้งนี้ ดูยังไง ก็เป็นกับดักตายชัด ๆ!เซียวอวิ๋นถิงเคาะนิ้วลงบนโต๊ะหินเบา ๆ “คดีนี้ อย่างช้าบ่ายนี้ถูกส่งไปถึงมือกรมยุทธนาการ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกรมยุทธนาการ ยังไง