มิเช่นนั้นคุณชายใหญ่จะยังคิดว่าพวกเขากำลังรังแกแม่คุณทูนหัวคนนี้อีกหรือไม่ก็ไม่รู้ ถึงตอนนั้นแล้วจะถูกแส้ม้าฟาดใส่อีกหรือไม่ก็ไม่รู้? ดูสิว่าเมื่อครู่นี้พ่อบ้านและหญิงรับใช้คนนั้นถูกเฆี่ยนตีทารุณขนาดไหน? ชีอวิ๋นถิงยังคงเดือดดาลไม่จางหาย ชี้นิ้วตะคอกใส่พวกเขา “ไสหัวออกไป!” ทันใดนั้นก็วิ่งไปด้านหน้า ดึงตัวชีจิ่นขึ้นมา ชีจิ่นร้องไห้น้ำตาไหลพรากนองหน้า สะอึกสะอื้นไม่หยุด แม้แต่จะตะโกนเรียกพี่ชายยังทำไม่ได้ มองแล้วน่าเวทนาถึงที่สุด ชีอวิ๋นถิงเห็นแล้วถึงกับพูดไม่ออก “อาจิ่น เจ้าอย่ากังวลเลย ข้าจะเกลี้ยกล่อมท่านพ่อท่านแม่ และพาตัวเจ้ากลับไปให้ได้!” ดวงตาของชีจิ่นเป็นสีแดงก่ำ เหมือนกระต่ายตัวหนึ่งที่ทั้งน่ารักและน่าสงสาร ได้ยินชีอวิ๋นถิงเอ่ยเช่นนี้ ทันใดนั้นก็โผเข้าใส่อ้อมอกของเขาพลางร่ำไห้ว่า “ท่านพี่! ข้ากลัว!” ชีอวิ๋นถิงถึงกับทำวางมือไม้ไม่ถูกไปชั่วขณะ เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาเป็นพี่น้องกัน ก็น้อยครั้งนักที่จะแตะเนื้อต้องตัวใกล้ชิดเพียงนี้ ถูกชีจิ่นกอดไว้ในยามนี้ ในใจของเขากลับมีความรู้สึกสั่นไหวอันน่าประหลาดผุดขึ้นมา ใช่สิ พี่น้องอะไรกัน? ในเมื่อไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือด
พิธีสมรสของพวกเขาถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แม้ยังไม่ผ่านหกพิธีการตามประเพณี แต่เรื่องนี้ก็แทบจะแน่นอนแล้ว ทุกคนต่างรู้แก่ใจดี ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับเซี่ยงหรงแล้ว นางกับบุรุษผู้นี้เป็นสหายกันตั้งแต่วัยเยาว์ สองฝ่ายต่างรู้จักกันและกันเป็นอย่างดี ความจริง ก่อนหน้านี้นางก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมากแล้วที่ชีอวิ๋นถิงดีกับชีจิ่นมากเกินไป พี่ชายของครอบครัวอื่นทำดีกับน้องสาว ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ไม่มีผู้ใดเป็นเหมือนชีอวิ๋นถิง ตราบใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีจิ่น ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือใหญ่โตเพียงใดเขาล้วนต้องถามไถ่ทุกครั้ง อย่าว่าแต่พี่ชายเลย ต่อให้เป็นบิดาก็ไม่ใส่ใจรายละเอียดถึงเพียงนี้หรอก ทว่าตอนนั้นนางกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ซ้ำยังตำหนิตนเองอีกว่า อาจจะตั้งความหวังกับชีอวิ๋นถิงไว้สูงเกินไป หรืออาจจะไม่เข้าใจเหตุผลและความรู้สึกมากพอ สองคนเป็นพี่ชายน้องสาวโดยกำเนิด ความผูกพันจะลึกซึ้งแน่นแฟ้นมากสักหน่อยก็ใช่ว่าจะแปลกอะไร? บัดนี้ ในที่สุดนางก็รู้แล้ว ว่ามันไม่ถูกต้องจริง ๆ สิ่งเหล่านั้นที่นางสังเกตเห็น มันมีอยู่จริงมาตั้งแต่ตอนต้นแล้ว เห็นเซี่ยงหรงมาแล้ว ชีอวิ๋นถิงลุกลี้ลุกล
หากนางจะจับตระกูลชีจับชีอวิ๋นถิงแล้วผิดตรงไหน? คิดเพื่อตนเองมันผิดตรงไหน?! ทุกคนถือสิทธิ์อะไรมาชี้หน้าประณามนาง?! นางหันศีรษะขวับ กัดฟันกรอดมองเซี่ยงเจี้ย “พี่ชายใหญ่เซี่ยง พวกข้าเองก็เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัย ท่านเองก็รู้ชัดว่าข้ากับท่านพี่เติบโตมาด้วยกัน พวกข้าสามารถกระทำสิ่งไม่เหมาะสมอันใดได้หรือ?” เซี่ยงหรงอยากจะเดินขึ้นไปด้านหน้า แต่กลับถูกเซี่ยงเจี้ยดึงรั้งไว้ เซี่ยงเจี้ยส่ายศีรษะให้นางเบา ๆ ชีอวิ๋นถิงพลันปวดหัวใจจนทนไม่ไหว “อาจิ่น เจ้าอย่าเถียงกับพวกเขาเลย ข้าเข้าใจทุกอย่าง! ข้าไม่มีวันยอมปล่อยให้เจ้าต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเด็ดขาด! จะคู่หมั้นหรืออะไรก็ตาม ในเมื่อยังไม่ได้สมรสกัน ก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งสิ้น!” เซี่ยงหรงแค่นเสียงหัวเราะด้วยความโกรธ สรุปแล้วสองคนนี้กำลังแสดงให้พวกเขาดูว่าความสัมพันธ์อันลึกซึ้งมันเป็นเช่นไรอยู่สินะ? นางถามติดตลก “คู่หมั้นที่ยังไม่ผ่านพิธีสมรส มันไม่มีความหมายอะไรอย่างนั้นหรือ?” สองตระกูลต่างกำหนดวันพิธีสมรสไว้นานมากแล้ว แต่ในสายตาของชีอวิ๋นถิง กลับไม่มีความหมายอะไรเลย น่าขันสิ้นดี ชีอวิ๋นถิงบัดนี้ไม่สนใครหน้าไหนทั้งสิ้นแ
ทั้งสองคนกลิ้งตกบันไดลงไปพร้อมกัน และกอดกันแน่น ชีจิ่นน้ำตานองอาบใบหน้า ร้องไห้จนควบคุมตนเองไม่ได้ “ท่านพี่ ท่านจะช่วยข้าไว้ทำไมกัน? ท่านควรปล่อยให้ข้าตายไปซะ! ไยข้าจะต้องมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ให้ขายหน้าด้วย?” พ่อบ้านเบิกตาโพลงอ้าปากค้าง คุกเข่าลงกับพื้นริมฝีปากสั่นสะท้าน โกรธจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ใครกันแน่ที่จะตาย? เขาต่างหากที่สมควรตาย! จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้ว หากฮูหยินและท่านโหวรู้เรื่องนี้เข้า…เขาต้องเป็นคนที่ตายก่อนใครแน่ไม่ใช่หรืออย่างไร?! เซี่ยงเจี้ยโกรธกรุ่นแต่กลับผุดยิ้ม คิดจะเดินเข้าไปหาอย่างเหลืออด แต่กลับถูกเซี่ยงหรงรั้งเอาไว้ เขามองไปยังน้องสาว “หรงหรง?!” เหตุใดพวกเขาตระกูลเซี่ยงจะต้องทนรับความอัปยศนี้ด้วย! กลับเป็นเซี่ยงหรงที่ใจเย็นลงมาแล้ว นางดึงข้อมือของพี่ชายไว้ พลางส่ายหน้าเอ่ยเสียงขรึมว่า “ท่านพี่ ยังมีสิ่งใดจำเป็นต้องพูดอีกหรือ? พูดเหตุผลกับคนโง่ ก็มีแต่จะทำให้ตนเองยิ่งดูโง่” นางกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่เหลือเยื่อใยใดอีก “พวกเรากลับเถิด!” เซี่ยงเจี้ยยังคงอารมณ์โกรธกรุ่น แต่เห็นน้องสาวหันหลังกลับอย่างไม่ลังเลเตรียมจะไปจากที่นี่ เขาก็ได้แต่ตามนา
หรือจะบอกว่าเป็นบุตรชายของตนเองที่ทำเรื่องโง่เขลา ไล่ตามบุตรสาวบุญธรรมออกไป ไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งยังถูกหลานสาวของท่านเห็นด้วยกระนั้นหรือ?นางรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ทันใดนั้นก็มองเห็นชีหยวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จึงรีบร้อนดึงชีหยวนออกมาเพื่อใช้เป็นข้ออ้าง “เด็กคนนี้ปรับตัวยังไม่ค่อยได้ ข้าจะพานางกลับไป...”ฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงเหลือบมองไปที่ชีหยวน มองเห็นนางกำลังยืนสงบนิ่งอยู่อย่างว่านอนสอนง่าย ไม่พูดอันใดมาตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่ากลับไม่เสียมารยาทเลยแม้แต่น้อย จึงรู้สึกพึงใจในทันทีถึงแม้ไม่รู้ว่าชีหยวนมีตรงไหนที่ผิดปกติ ทว่านางหวังพูดอย่างร้อนรนถึงเพียงนี้ นางจึงกระแอมกระไอออกมา “ช่างเถิด ลูกสำคัญกว่า”นางหวังรู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อย นางต้องรีบไปที่เรือนพักนอกเมืองโดยเร็ว ฉวยโอกาสตอนที่พี่น้องสกุลเซี่ยงยังไม่กลับมา เรื่องนี้ยังไม่ถูกทำใหญ่โต ต้องหยุดเรื่องนี้เอาไว้ก่อนจะต้องไม่ทำให้เรื่องราวใหญ่โตเป็นอันขาด ถ้าหากทำให้ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของสกุลเซี่ยงรู้เข้าละก็ การแต่งงานในครั้งนี้ก็อาจจะไม่สำเร็จ!ชีเจิ้นพอใจกับการแต่งงานในครั้งนี้มากนัก ถ้าหากรู้ว่าการแต่งงานคร
สีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงนางมองไปยังนางหวังด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ใบหน้ายิ้มแต่ภายในไม่ยิ้มพลางส่งเสียงออกมาอย่างประหลาดใจเห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ยิ้มมาจากก้นบึ้ง ทว่าน้ำเสียงกลับยังมีความอ่อนโยน พลางตบไปที่มือของเซี่ยงหรงอย่างยิ้มแย้ม “ห้ามพูดจาส่งเดช! ท่านพี่อวิ๋นถิงของเจ้าเป็นถึงคุณชายตระกูลใหญ่ ส่วนชีจิ่นก็เป็นไข่มุกงามแห่งเมืองหลวง ทุกคนต่างก็รู้ดี”ไข่มุกงามแห่งเมืองหลวง คุณชายตระกูลใหญ่คำเรียกขานสองชื่อนี้ ไม่ว่าชื่อใดก็รู้สึกว่าไพเราะเสนาะหู ทว่าเมื่อออกมาจากปากของฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงในตอนนี้ ไม่สามารถปิดบังกลิ่นอายที่มีนัยของการเหน็บแนมเอาไว้ได้เลยนี่แสดงให้เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีโทสะมากเพียงใดนางหวังยิ้มไม่ออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางกล่าวอย่างตื่นตระหนกจนทำอันใดไม่ถูก “จะต้องเป็นเพราะเด็กน้อยไม่รู้ความเป็นแน่…”นางแทบจะร้องไห้เสียงดังภายในใจอยู่แล้ว!เจ้าโง่สองคนนี้! นางปฏิบัติต่อชีจิ่นอย่างสุดใจ ต่อให้รู้ว่านางไม่ใช่บุตรสาวแท้ ๆ แต่ก็เป็นบุตรสาวที่นางเอ็นดูและปกป้อง นึกไม่ถึงว่าจะหันกลับมาใช้มีดแทงลงบนหัวใจของนางอย่างโหดเหี้ยม!ชีจิ่นอยู่ที่ตระ
ถ้าสมองของเขายังดีอยู่ ก็ควรรู้ว่าเขามีสถานะเช่นไร!ทว่าสุดท้ายนึกไม่ถึงว่าเขาจะกอดชีจิ่นไว้แล้วประท้วงเซี่ยงหรง บอกเซี่ยงหรงว่าคู่หมั้นไม่นับว่าเป็นอันใดได้! นี่มันหมายความว่ากระไรกัน?!พวกไม่มีสมอง!แต่งงานกับคนประเภทนี้ สู้แต่งงานกับหมูเสียยังดีกว่า!เมื่อได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงกล่าวเช่นนี้ นางก็กล่าวออกมาอย่างหมดข้อสงสัยในทันที “ใช่เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่ตระกูลชีช่างทำตัวเหมือนเด็กยิ่งนัก เรื่องเช่นนี้สามารถเอามาล้อเล่นได้กระนั้นหรือ?”ทั้งสองคนต่างก็พูดเช่นนี้แล้ว ก็ถือว่าได้พูดออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งต่อหน้าสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเหล่านี้แล้วว่าตระกูลของพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลชีแม้แต่น้อยงานแต่งงานอันใดนั่น เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้ยอมรับอยู่แล้วนางหวังรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก ทว่าในเวลานี้พวกเขามีเหตุมีผล ส่วนนางกลับเป็นฝ่ายที่ไร้เหตุผลเสียเอง ย่อมมีความทุกข์ใจที่พูดออกมาไม่ได้อยู่แล้วทว่าในสถานการณ์นี้ ไม่ว่านางจะอธิบายอันใดก็เหมือนกับกำลังช่วยชีอวิ๋นถิงกับชีจิ่นอธิบายท้ายที่สุดนางออกมาจากตระกูลเซี่ยงได้อย่างไรนั้น นางจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว จนกระทั่งรถม้าหยุดลง
นางหวังกลับเรือนของตนเองอย่างโกรธจัด จากนั้นก็ให้หลิวจงมาหาอย่างหงุดหงิดพอหลิวจงเข้าประตูมา นางก็ถามใส่หน้าเขาในทันที “ข้ากำชับไว้แล้วมิใช่หรือ ว่าห้ามให้นายน้อยออกจากจวนโดยเด็ดขาด?! พวกเจ้าทำงานอย่างไรกันแน่ ไยนายน้อยถึงได้ออกจากจวนได้เล่า?!”ช่างไร้สาระเกินไปแล้ว!แล้วดันมาเป็นวันนี้! แล้วยังดันมาถูกเซี่ยงหรงพบเข้า!นางไม่กล้าจินตนาการเลยว่าหากชีเจิ้นรู้เรื่องนี้เข้า จะเดือดดาลมากสักเพียงใด!หลิวจงเองก็เต็มไปด้วยความขมขื่นมากเช่นกัน เจ้านายให้ชีอวิ๋นถิงกักบริเวณไม่ใช่แค่หนึ่งครั้งหรือสองครั้ง ทว่าปกติผู้ใดจะคิดเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องเช่นนี้จริง ๆ กันเล่า?ก่อนหน้านี้ชีอวิ๋นถิงก็เป็นเช่นนี้ พอถูกกักบริเวณ ก็หนีไปเช่นกันก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจนี่นา!ตอนนี้พอเกิดเรื่องขึ้น ความรับผิดชอบทั้งหมดกลับตกมาอยู่ที่พวกบ่าวไพร่เสียแล้วเขาอึก ๆอัก ๆ “คือว่า ฮูหยิน…ด้วยนิสัยของนายท่าน…”ยังไม่ทันจะจบ อยู่ ๆ เสวี่ยซงก็ล้มลุกคลุกคลานวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือ “ฮูหยิน ฮูหยิน! ท่านรีบไปช่วยนายน้อยด้วยเถิดขอรับ ท่านโหวจะตีนายน้อยตายแล้วขอรับ!” ว่าอย่างไรนะ?!นางหวังลุกขึ้นมาจากม้านั่งอย่างฉับ
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เกาเจียก็รีบเร่งฝีเท้าเข้ามาปลอบประโลมนางหวัง “ฮูหยิน ไฟด้านหน้าถูกดับลงหมดแล้วเจ้าค่ะ ยามนี้ไม่มีปัญหาใดแล้วเจ้าค่ะ!”ขอบคุณฟ้าดิน!นางหวังพนมมือขึ้นท่องชื่อองค์พระอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็เชิญองค์หญิงใหญ่ให้ไปชมการแสดงงิ้วที่เรือนด้านหน้าองค์หญิงใหญ่มองชีหยวนอย่างอบอุ่น พลางตบหัวของชีหยวนเบาๆ “ช่างเถอะ ข้ามิได้ฟังงิ้วมานานหลายสิบปีแล้ว ยามนี้ ไม่มีความสนใจต่อสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว เมื่อมาเยือนและได้พบกับสาวน้อยผู้นี้แล้ว ก็ให้จบเพียงเท่านี้เถิดนี่หมายความว่าจะจากไปแล้วลู่ฮูหยินเม้มปาก รู้สึกว่าองค์หญิงใหญ่ช่างให้เกียรติยัยเด็กนี่เหลือเกิน ก็ไม่รู้ว่าที่แท้เด็กผู้นี้มีสิ่งใดพิเศษกันแน่หานเยว่เอ๋อร์กลับขมวดคิ้วเบาๆเพลิงไหม้ในครั้งนี้รุนแรงถึงเพียงนี้ องค์หญิงใหญ่กลับไม่ทรงรู้สึกว่า นี่เป็นความอัปมงคลที่ชีหยวนนำพามาเลยหรือ?ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ภรรยาของหลิวจงก็กลับมาจากด้านนอกอีกครั้ง นางกล่าวกับนางหวังเบาๆ ว่า “ฮูหยิน ท่านโหวให้เชิญคุณหนูใหญ่และคุณหนูหานไปทางนั้นสักรอบเจ้าค่ะ”อะไรนะ?นางหวังตกตะลึง มองไปที่หานเยว่เอ๋อร์อย่างไม่คาดคิดอยู่บ้าง
ไฟที่ไหม้อยู่ในศาลบรรพบุรุษ ทำให้แขกในเรือนส่วนหน้ากว่าครึ่งแสดงความเจตจำนงที่จะไปช่วยไปดับไฟเพราะไม่ว่าอย่างไร เมื่อมาเป็นแขกที่จวนของผู้อื่นแล้วพบเรื่องแบบนี้เข้า จะเอาแต่นั่งเป็นห่วงโดยไม่ทำสิ่งใด ก็ออกจะไม่เหมาะนักทว่า ท่านโหวผู้เฒ่ากับชีเจิ้น จะให้แขกเหรื่อทั้งหลายไปได้อย่างไร?ต่างพากันรีบหยุดพวกเขาไว้ บอกว่าคนจากกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครและหน่วยลาดตระเวนล้วนมากันแล้ว อีกไม่นานก็จะสามารถดับไฟได้แล้วและในความเป็นจริง สิ่งที่ท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นพูดก็ถูกต้องอย่างมาก เพราะหลังจากนั้นไม่นาน กองบัญชาการปัญจทิศรักษานครและหน่วยลาดตระเวน ก็ร่วมมือกันดับไฟลงได้จริงๆทั้งท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้น ล้วนพากันถอนใจอย่างโล่งอกโดยเฉพาะท่านผู้เฒ่าที่ถามออกมาทันทีว่า สถานการณ์เป็นเช่นใดแล้ว? ป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษไม่เป็นไรกระมัง?”หากเกิดสิ่งใดขึ้นมา นั่นก็จะเป็นเรื่องชวนให้หดหู่อย่างแท้จริงชีเจิ้นรีบเชิญผู้บัญชาการของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครเข้ามา ผลคือ ทันทีที่ใต้เท้าหยวนเข้ามาก็กล่าวว่า “ท่านโหวเพลิงไหม้ของพวกในครั้งนี้ มิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ”......หมายความว่าอย่างใดก
แขกคนอื่นๆ ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปมา คนละคำสองคำเช่นกัน“นั่นสิ กลับมาหาครอบครัว พิธีรับญาติยังไม่ทันเสร็จ ศาลบรรพบุรุษก็ไหม้ขึ้นมาแล้ว คุณหนูใหญ่ผู้นี้ คงมิใช่สิ่งอัปมงคลอะไรหรอกนะ?”“หรืออาจไปโดนของสกปรกอะไรเข้าก็เป็นได้ ไม่เช่นนั้น จะบังเอิญถึงขนาดนี้ได้อย่างไร”เสียงวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้ล้วนเข้าไปถึงหูของนางหวังนางหวังโมโหจนปวดท้อง จึงหันไปถลึงตาใส่ชีหยวนอย่างไม่ปรานีผู้คนต่างกังวลใจ และมีความคิดเห็นมากมาย เวลานี้ สายตาที่สตรีบางคนในกลุ่มนี้มองชีหยวน เริ่มไม่ปกติขึ้นมาแล้วสายตาขององค์หญิงใหญ่ทอดลงบนตัวชีหยวน เมื่อเห็นนางสงบมั่นคง มิได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ก็อดชื่นชมอยู่ในใจก่อนมิได้เรื่องอื่นยังไม่พูดถึง การที่อายุเท่านี้ก็มีความสุขุมใจเย็นเช่นนี้ได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งนางมองไปยังสาวน้อยที่อยู่เบื้องหน้า ถามนางเบาๆ ว่า “เจ้าไม่กลัวหรือ?”ชีหยวนเงยหน้าขึ้นมามองนางแล้วยิ้มออกมา ในตอนที่นางยิ้มออกมานั้น ดวงตาของนางสุกสกาวราวกับดวงดาว จากนั้น นางก็กะพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์ “เมื่อไม่ได้ทำผิดอันใด ย่อมมิกลัวผีร้ายมาเคาะประตู หม่อมฉันไม่กลัวดอกเพคะ”แม่นมเจียงและอ
เหลียนเอ๋อร์ที่เห็นว่าเปลือกหอยมุกที่ประดับอยู่บนหน้าผากของนางเบี้ยว ก็รีบยื่นมือไปจัดให้นาง และเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ก็หัวเราะตามไปด้วยว่า “คุณหนูท่านก็ช่างจริงๆ เลย คนเขาน่าเวทนาถึงเพียงนั้นแล้ว ท่านยังชมเรื่องสนุกอยู่อีก”หานเยว่เอ๋อร์เลิกคิ้ว “ข้าย่อมได้แต่ชมดูเรื่องสนุกอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นยังจะทำสิ่งใดได้? ในศาลบรรพบุรุษของตระกูลชี ยังมีเหล่าวีรชนที่ร่วมปราบพวกชาวหว่าล่า [1] กับองค์ฮ่องเต้เกาจู่อยู่ด้วย เหอะๆ ไฟกองนี้เมื่อไหม้ขึ้นมา…”ตัวชีอวิ๋นถิงในยามนี้กำลังเหงื่อออกเต็มศีรษะ เขาเพียงขยับบั้นท้ายของตนเล็กน้อย ก็อดไม่ได้ที่จะแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความเจ็บปวดสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติยกน้ำมาเพื่อใส่ยาให้เขาอย่างระมัดระวัง แต่กลับถูกเขายื่นมือไปปัดอ่างจนพลิกคว่ำ แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไสหัวออกไป!”ตอนนี้อารมณ์ของเขาแปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ดังนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้ายั่วยุเขา สาวใช้จึงรีบเก็บอ่างน้ำแล้วถอยออกไปทันทีชีอวิ๋นถิงสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง ยืนกรานที่จะลงจากเตียงและเขยื้อนกายไปริมหน้าต่าง เมื่อเห็นทางทิศของศาลบรรพบุรุษมีกลุ่มควันหนาทึบลอยขึ้นมา เวียนวนดำมืดอยู่กลางอากาศ
เดิมคิดว่านางได้ตัดขาดจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา [1] ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกียวิสัยแล้วแต่นี่มิใช่ ยังเลี้ยงบุตรสาวไว้อีกคนหนึ่งหรือ?!ชีหยวนไม่รู้ถึงอารมณ์ในตอนนี้ของลู่ฮูหยิน แต่ต่อให้รู้ นางก็ไม่มีทางสนใจนักเมื่อเห็นแม่นมเจียงที่อยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่ ก็บังเกิดความรู้สึกแสบจมูกอยากร้องไห้ขึ้นมา ทำให้นางเกือบอดกลั้นไว้ไม่อยู่แล้วนางคุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์หญิงใหญ่ ทำการคารวะอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมสีหน้าขององค์หญิงใหญ่อ่อนโยนลง พยักหน้าพลางประคองนางขึ้นมา “เดิมยังคิดว่าเจ้าเป็นเพียงเด็กสาวชาวชนบทในหมู่บ้านคนหนึ่งจริงๆ คิดไม่ถึงว่า เจ้าจะยังมีโชคชะตาเช่นนี้”แม่นมเจียงที่ยืนอยู่ด้านข้าง กล่าวด้วยรอยยิ้มเอ็นดูและเมตตาว่า “แค่ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กสาวที่มีวาสนาเพคะ”นางหวังเกร็งเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดอยู่บ้างยังคงเป็นฮูหยินรองแห่งตระกูลผู้ที่อยู่ด้านข้าง ที่รีบรับคำว่า “แม้นางจะเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน ทว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคลิกหรือระเบียบมารยาทก็ล้วนไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย พวกเราก็มารู้ในภายหลังเช่นกันว่า นางถึงกับได้รับการแนะนำสั่งสอนจากท่านแม่นมเจียง”แม่นมเจียงอมยิ้ม “ไม่นั
ตอนนี้ สายตาที่เกาเจียมองชีหยวนล้วนแฝงไปด้วยความนับถือหลายส่วนนี่เป็นเรื่องที่ใครก็คาดไม่ถึงจริงๆ!เป็นความจริงที่ชีหยวนพูดมาตลอดว่า ตนได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาทจากแม่นมเจียง และยังรู้จักกับองค์หญิงใหญ่ด้วยทว่าในความเป็นจริงนั้น ก็ไม่มีผู้ใดถือเป็นจริงนักก่อนหน้านี้ ที่ลู่ฮูหยินประชดประชันถากถางอยู่ที่เรือนหน้า ก็เพราะคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้และต่อให้สอนสิ่งใดให้ชีหยวนจริง นั่นก็คงเป็นเพราะอยู่ว่างจนเบื่อ ดังนั้นจึงให้คำแนะนำอย่างผิวเผินสองสามประโยค จะไปสั่งสอนชีหยวนจริงๆ ได้อย่างไรแล้วจะใส่ใจต่อชีหยวนจริงๆ ได้อย่างไร?ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลงจากเขา เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงรับญาติที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรด้วยซ้ำด้วย!ในตอนที่เทียบเชิญฉบับนั้นถูกส่งออกไป แม้แต่ชีเจิ้นก็มิได้จริงจังกับมัน!ผู้ใดจะรู้ว่า คนเขาจะมาแล้วจริงๆ!ไม่เพียงสายตาที่เกาเจียมองชีหยวนเปลี่ยนไปในความเป็นจริง ในตอนที่ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่เสด็จมาถึง แม้แต่ท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นที่กำลังต้อนรับแขกอยู่เรือนฝ่ายหน้าก็สบตากัน ต่างไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นที่อยู่ภายในใจสีหน้าของบรรดาแขกเหรื่อ ก็เต็มไปด้
แต่เมื่อได้ยินว่า แม้แต่การนอนก็ไม่อาจนอนดีๆ ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกตี นางก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ใต้หล้าถึงกับมีพ่อแม่ที่ไม่เห็นลูกเป็นมนุษย์เช่นนี้! พวกเขาไม่คู่ควรจะเป็นคนจริงๆ!”ชีหยวนทำเพียงยิ้มเท่านั้น เพราะนางเห็นเหลียนเฉียวที่มีสีหน้าร้อนใจ กำลังชะโงกหัวผลุบโผล่เข้ามาจากนอกศาลาพอดีหัวใจของนางกระตุก เพราะเหลียนเฉียวไปสืบข่าวมา จึงหาข้ออ้างว่าจะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า รีบออกจากศาลา แล้วถามเหลียนเฉียวว่า “เกิดสิ่งใดขึ้นกัน?”กล่าวจบก็เดินไปที่ทางเดินเส้นเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง เช่นนี้คนในศาลาก็จะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกนางพูด และสามารถมองเห็นได้เมื่อมีคนมาด้วยเหลียนเฉียวตื่นตระหนกจนน้ำเสียงสั่นสะท้านเล็กน้อย “คุณหนู คุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่เขาส่งชิงซงไป…”เมื่อเห็นเหลียนเฉียวตกใจจนใบหน้าซีดขาว สีหน้าของชีหยวนก็เคร่งขรึมลงเช่นกันนางยื่นมือไปกดหัวไหล่ของเหลียนเฉียวเบาๆ “เจ้าค่อยๆ พูด ไม่ต้องรีบร้อน”ไม่ง่ายเลย กว่าเหลียนเฉียวจะควบคุมอาการสั่นสะท้านของตนได้ นางเม้มริมฝีปากกระซิบว่า “คุณหนู คุณชายใหญ่เขาให้ชิงซงไปวางเพลิงศาลบรรพบุรุษเจ้าค่ะ!”เผาศาลบรรพบุรุษ?ในใจของชีหยวนเกิดความตกใจขึ้นมา
องค์หญิงใหญ่มีสถานะสูงส่ง เป็นพระเชษฐภคินีแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทุกคนต่างรู้ดีว่า ทุกปีฮ่องเต้จะต้องเสด็จไปที่วัด มีอยู่ปีหนึ่งก่อนวันส่งท้ายปีเก่า ยิ่งเสด็จขึ้นเขาไปเชิญองค์หญิงใหญ่กลับวังเพื่อไปอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าด้วยพระองค์เองแต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น องค์หญิงใหญ่ก็มิได้ทรงรับปากบุคคลที่ขนาดฮ่องเต้ก็เชิญไม่ได้ แต่บุตรสาวที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ภายนอกของตระกูลชีนับสิบปีกลับเชิญมาได้ แล้วผู้ใดจะเชื่อกัน?ดังนั้น นางย่อมต้องมาชมดูความครึกครื้นอย่างแน่นอนบัดนี้เมื่อได้พบชีหยวน นางยิ่งเลิกคิ้วถามชีหยวนอย่างไม่เกรงใจว่า “ก็อยากถามคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลชีว่า เจ้าขึ้นเขาไปอย่างไร และได้พบองค์หญิงได้อย่างไรกัน? เหตุใดพวกเราจึงไม่มีชะตาวาสนาเช่นนี้บ้าง”สตรีในครอบครัวของขุนนางราชสำนักที่คิดจะไปเสี่ยงโชคดูมีน้อยหรือ?แม้นยอดเขาป๋ายอวิ๋นซานจะไม่อนุญาตให้ขึ้น และอารามที่องค์หญิงใหญ่ทรงประทับอยู่ก็เข้าไปไม่ได้ ทว่าวัดวาอารามที่อยู่รายรอบนั้น ก็แทบจะฮูหยินผู้สูงศักดิ์เหล่านี้เหยียบย่ำจนทุกหนแห่งแล้วนั่นก็เพราะพวกนางอยากลองดูว่า จะหาทางเข้าหาองค์หญิงใหญ่ได้หรือไม่ความเป็นศัตรูของลู่ฮูหยินเ
เหลียนเฉียวรีบรับคำทันทีชีหยวนปฏิบัติต่อข้ารับใช้แตกต่างจากผู้อื่น ดังนั้นตั้งแต่บนลงล่างล้วนเชื่อฟังนางโดยเฉพาะเหลียนเฉียวที่ถือกำเนิดจากบ่าวรับใช้ในตระกูล ยามสืบข่าวในจวน ก็ไม่มีผู้ใดหัวไวกว่านางแล้วแม่นมเสิ่นปรนนิบัติรับใช้ชีหยวนด้วยรอยยิ้ม ขณะเดินทางไปที่เรือนของนางหวังขณะนี้ นางหวังเริ่มรู้สึกประหม่ากังวลขึ้นมาบ้างแล้ว ดังนั้นหนนี้ นางจึงมีความอดทนเพิ่มเป็นพิเศษหลายส่วน นางมองชีหยวนพลางกำชับว่า “อีกครู่เมื่อแขกเหรื่อมาถึงแล้ว ข้าจะต้อนรับแขกสตรีพวกนั้น ส่วนบรรดาพี่น้องสตรีที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้า ก็ต้องให้เจ้าเป็นผู้พาไปเที่ยวเล่นในสวนดอกไม้แล้ว เข้าใจหรือไม่?”ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงรับญาติ ล้วนเป็นญาติสนิทมิตรสหายที่มีไมตรีต่อกันดังนั้น ย่อมไม่อาจนั่งเฉย ชมพิธีรับญาติอย่างไร้รสชาติแน่นอนว่าต้องมีการดูงิ้ว รับประทานอาหาร จึงจะถือเป็นท่าทางของการเชิญแขกมางานรับญาติแม้นางหวังจะมิพึงใจในตัวชีหยวน แต่ก็เกรงว่าเรื่องนี้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันใดขึ้นมาอีก ถึงเวลานั้น ก็ยากจะอธิบายต่อทางชีเจิ้น ท่านโหวผู้เฒ่า และฮูหยินผู้เฒ่าแล้วชีหยวนก็มิได้ขัดนางหวัง ครั้งนี้ นางรับปาก