ชีเจิ้นโกรธเกรี้ยวราวกับถูกไฟเผาก่อนหน้านี้เขามักจะคิดว่าชีอวิ๋นถิงเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญอยู่บ้างเท่านั้น ทว่าก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรมากนักมีชายหนุ่มคนใดที่ไม่มีจิตใจเร่าร้อนฮึกเหิมบ้างเล่า? เมื่อความสับสนกับพละกำลังผ่านพ้นไป ย่อมสามารถกลับมายืนบนทางที่ถูกที่ควรได้ทว่าผู้ใดจะคิดว่าชีอวิ๋นถิงจะสารเลวถึงเพียงนี้!กินยาพิษด้วยตนเอง แล้วใช้วิชาคาถามาใส่ความน้องสาวแท้ ๆ ของตน! ช่างคิดขึ้นมาได้เสียเหลือเกิน!หากว่าเรื่องนี้รั่วไหลออกไป ชื่อเสียงของชีอวิ๋นถิงคงจะต้องย่อยยับ! ความไม่กตัญญูและไม่ซื่อสัตย์จะถูกตีตราให้กับเขาเป็นที่เรียบร้อย!โง่เง่า!เขาจับจ้องไปที่บุตรชายผู้นี้ของตนด้วยสายตาที่น่ากลัว “พูด! ผู้ใดให้เจ้าทำเช่นนี้?!”เขารู้ดีว่าชีอวิ๋นถิงเป็นคนที่มีความประพฤติเช่นไร ถึงเจ้าโง่นี่จะหุนหันพลันแล่นไปบ้าง แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะทำเรื่องเลว ๆ ความคิดที่คดเคี้ยวเช่นนี้ เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีใครคอยยุยงอยู่เบื้องหลังตอนที่ถามคำถามนี้ เขายังจงใจเหลือบมองไปชีจิ่นด้วยชั่วขณะนั้นทำให้ชีจิ่นรู้สึกหนาวไปทั่วร่าง หัวใจสั่นสะท้านนางกัดริมฝีปาก จนแทบจะได้กลิ่นเลือดที่อยู่ในปา
เรื่องในครั้งนี้ แม้ชีอวิ๋นถิงจะออกตัวรับผิดชอบทั้งหมด หัวเด็ดตีนขาดก็บอกว่าเขาทำเอง แต่ในความคิดของนางหวัง เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับชีจิ่นเป็นแน่ เพราะสองคนนี้ ตั้งแต่เด็กก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าชีจิ่นต้องการสิ่งใด แต่ไรมาก็ไม่เคยพูดออกมาตรงๆ ล้วนเป็นชีอวิ๋นถิงช่วยออกหน้าแทนนางตลอด ไม่ว่าจะถูกตำหนิหรือลงโทษ ชีอวิ๋นถิงก็พุ่งออกไปรับแทนนางทั้งหมด เมื่อก่อนไม่เคยก่อปัญหาใหญ่ ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็ก นางหวังจึงถือว่าเป็นความสนิทสนมระหว่างเด็กๆ ได้ หลับตาข้างลืมตาข้าง ทำเป็นไม่เห็นอย่างเป็นสุข แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน! ครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงอนาคตและชะตาชีวิตของชีอวิ๋นถิง! ชีจิ่นไม่อยากเชื่อ มองตนเองที่ถูกสะบัดออก ร้องเรียกออกมาอย่างตกตะลึง “ท่านแม่…” จากนั้น น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูลงมา ชีอวิ๋นถิงเห็นแล้วก็ปวดใจอย่างที่สุด รู้สึกขุ่นเคืองและไม่ยอมรับ “ท่านแม่! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอาจิ่น ท่านจะตีจะว่าก็มาลงที่ข้าสิขอรับ…” นางหวังโกรธจัด ถลึงตาใส่ชีอวิ๋นถิงเขม็ง “หุบปาก! หากเจ้ายังพูดอีกคำ ก็ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าแม่อีก ข้าจะถือเสียว่าเจ้าตายไปแล้ว!” บางทีอา
หลังจากจัดการข้ารับใช้แล้ว ต่อมาก็คือคนในเรื่องแล้ว ชีเจิ้นมองนางหวัง “ต่อจากนี้ไป ต้องอบรมชีอวิ๋นถิงอย่างเข้มงวดแล้ว! หากปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจไร้ความกริ่งเกรงเช่นนี้อีก จะเป็นการทำร้ายเขาแล้ว!” คำพูดเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่นางหวังคิดจะพูดเช่นกัน ตัวนางเองก็พูดสนับสนุนว่า “ใช่เจ้าค่ะ เขาใช้ไม่ได้เกินไปแล้วจริงๆ…” “ส่วนซีจิ่น ก็ส่งไปที่บ้านพักชานเมืองเถอะ” ชีเจิ้นไม่รอให้นางหวังพูดจบ เขาตัดบทคำพูดของนาง ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ในชั่วขณะหนึ่ง นางหวังยังไม่ทันประมวลผลคำพูดเขา รอจนได้สติกลับมา จึงเบิกตากว้าง “ท่านโหว!” นางไม่อยากเชื่อ! พวกนางเลี้ยงดูชีจิ่นมานานหลายปีถึงเพียงนี้!ไม่ว่าจะเป็น พิณ หมากล้อม อักษร หรือภาพวาด ล้วนไม่มีเรื่องใดที่ชีจิ่นไม่ชำนาญ และยามพาออกไปข้างนอก ก็เป็นตัวแทนของหน้าตาและศักดิ์ศรีของจวนโหว จวนหย่งผิงโหวก็บอกกับบุคคลภายนอกว่า ในอดีตนั้น ที่คลอดออกมาเป็นฝาแฝด เพียงแต่ผู้เป็นพี่หายไปและหาพบแล้วเท่านั้น แต่เวลานี้กลับจะส่งตัวชีจิ่นออกไป? นางรู้สึกลังเลและตัดใจไม่ได้อยู่บ้าง “ท่านโหว เรื่องนี้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นอาจิ่นที่…” ชีเจิ้นมองนางอย่างผิดหวัง “ผู้
ทว่าชีหยวนที่รู้แต่แรก กลับไม่ยอมเปิดโปง แต่ใช้แผนซ้อนแผน ล่อเสือออกจากถ้ำ หลอกล่อแม่นมจางและชีอวิ๋นถิงให้ตกสู่กับดักทีละก้าว นางจงใจทำเช่นนั้น จงใจให้ชีเจิ้นได้เห็นว่า เพื่อชีจิ่นแล้ว ชีอวิ๋นถิงสามารถทำได้ถึงขั้นใด และก็จงใจให้ชีเจิ้นได้เห็นว่า ชีอวิ๋นถิงซึ่งเป็นบุตรชายคนโตผู้ถือกำเนิดจากภริยาเอก ที่จะกลายเป็นผู้สืบทอดจวนโหวในอนาคตนั้น ขาดคุณสมบัติอันเหมาะสมเพียงใด นี่มัน… จิตใจเย็นชาเกินไปแล้วจริงๆ! ทว่ายามนี้ เมื่อชีเจิ้นพูดถึงชีหยวน ก็เต็มไปด้วยคำชื่นชมและความชอบใจ ทำให้นางหวังไม่อาจพูดสิ่งใดได้มากนัก ได้แต่พยักหน้าด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยว่า “เจ้าค่ะ ท่านโหววางใจเถอะ ข้ารู้แล้ว” จากนั้น ชีเจิ้นก็แยกจากนางหวังและตรงไปที่หอหมิงเยว่ ที่หอหมิงเยว่ ไป๋เจ๋อวิ่งร่างกายสั่นสะท้านเข้ามา คุกเข่าผลุบลงเบื้องหน้าชีหยวน น้ำเสียงยังคงสั่นเทาด้วยความประหม่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เมื่อครู่ข้าเห็นคนลากแม่นมจางไปแล้วเจ้าค่ะ แม่นมจางแม้แต่พูดก็พูดไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ!” ชีหยวนกำลังอ่านหนังสือ นางราวกับคาดเดาได้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋จื่อ ก็ทำเพียงหัวเราะเท่านั้น
ท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล ในที่สุด จวนหย่งผิงโหวที่วุ่นวายมาค่อนคืน ก็เข้าสู่ความสงบในช่วงสั้นๆ สรรพสิ่งรอบกายเงียบสงัด แม้แต่หญิงรับใช้ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูยังหลับสัปหงกอยู่บนโต๊ะ และยังหาวออกมาเป็นระยะ ในขณะที่กำลังสะลึมสะลือนั่นเอง นางพลันได้ยินเสียงทุบประตูดัง ‘ปังปังปัง’ อย่างเร่งร้อน เสียงนี้ทำให้นางสะดุ้งขึ้นมา ตอนแรกยังคิดว่าตนเองกำลังฝันไป รอจนเสียงยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จึงรีบปาดน้ำลายทีหนึ่ง จากนั้นวิ่งมาเปิดประตูเรือน เมื่อประตูเรือนถูกเปิดออก เกาเจียที่กำลังขมวดคิ้วอยู่ก็ตำหนิออกมาว่า “ทำอะไรอยู่ฮึ? เปิดประตูแค่นี้ก็ยังอืดอาดชักช้า!” หญิงรับใช้หวาดหวั่นจนสีหน้าซีดขาว รีบอธิบายว่า “ลมแรงเกินไปน่ะเจ้าค่ะ เลยคิดไม่ถึงว่าท่านจะมาในเวลานี้…” นางหวังที่อยู่ข้างหลังกระแอมขึ้นมาทีหนึ่งอย่างหมดความอดทน “อย่าได้พูดมาก เข้าไปแล้วค่อยว่ากัน!” เกาเจียรีบรับคำ ดันหญิงรับใช้ที่เฝ้าประตูออก จากนั้นประคองนางหวังเดินเข้าไป ภายในห้อง บรรดาสาวใช้ทั้งหลายล้วนยังไม่เข้านอน ต่างก็อยู่เป็นเพื่อนชีจิ่นอย่างระมัดระวัง วันนี้พวกนางก็มองออกแล้วว่า เกรงว่าท่านโหวคงโมโหคุณหนูของพว
ราวกับมีสายฟ้าสายหนึ่งฟาดลงมาจากท้องฟ้า เสียงร้องไห้ของชีจิ่นหยุดลงแล้ว รู้สึกเพียงว่าในหัวของตนมีเสียงวิ้งดังขึ้นมา ราวกับมีดอกไม้ไฟนับไม่ถ้วนกำลังระเบิดอยู่ในหัวของนาง ส่งนางไป? ! จวนหย่งผิงโหววางแผนจะทิ้งนางแล้ว?! หลังค้นพบชาติกำเนิดของตน นางก็หวาดหวั่นอยู่ทุกวัน ทุกวันล้วนต้องหวาดกลัวว่าตนเองจะสูญเสียความโปรดปราน จะถูกละทิ้งไป ดังนั้น นางจึงได้ทำทุกวิถีทางในการติดต่อคนขายเนื้อแซ่สวี่และหลี่ซิ่วเหนียง ให้พวกเขาขัดขวางมิให้ชีหยวนกลับมา จึงได้ส่งสัญญาณให้แม่นมฮวาลงมือกับชีเหยียน จึงได้พยายามจับชีอวิ๋นถิงไว้อย่างเร่งร้อนเช่นนี้ เพราะต้องการให้ชีอวิ๋นถิงยืนอยู่ข้างนางไปตลอด แต่ตอนนี้ นางยังไม่ทันได้ลงมือจริงๆ เลยด้วยซ้ำ กลับจะต้องจากไปแล้ว?! ชีจิ่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก เกือบจะกอดขานางหวังไว้ ร้องไห้ออกมาอย่างปวดใจว่า “ท่านแม่! ข้าไม่ได้ทำจริงๆ นะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ทำจริงๆ! วันหลังข้าไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ ขอร้องท่าน อย่าให้ข้าไปเลยนะเจ้าคะ! ตั้งแต่เด็กจนโตข้าก็ไม่เคยจากท่านไปเลย ข้าไม่อาจไม่มีท่านนะเจ้าคะ ท่านแม่!” นางร้องไห้จบเสียงแหบแห้ง ทำให้คนอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้
ถึงอย่างไรชีจิ่นก็เติบโตมาข้างกายนางหวัง จึงเข้าใจถึงจุดอ่อนของนางหวังเป็นอย่างดี ทันทีที่สงบลง นางก็จะทำการตัดสินใจที่เป็นประโยชน์ต่อตนที่สุดอย่างรวดเร็ว นางหวังถูกทำให้สะเทือนใจอย่างที่คิดจริงๆ ภายใต้ความรู้สึกผิด นางขึ้นเสียงสั่งการเหล่าข้ารับใช้ว่า “จงดูแลคุณหนูรองให้ดี หากให้ข้ารู้ว่าใครกล้าละเลย! ก็ระวังหัวของพวกเจ้าไว้ให้ดี!” จากนั้นก็ให้เกาเจียนำของที่ชีจิ่นใช้เป็นประจำไปให้หมดอีก หลังจัดการเรื่องต่างๆ ไปมาอย่างวุ่นวาย ค่ำคืนนี้ก็ได้ผ่านไปแล้ว ในยามที่ฟ้าเพิ่งสาง รถม้าคันหนึ่งก็ออกจากประตูมุมตะวันตกของจวนหย่งผิงโหวอย่างเงียบๆ จากนั้นตรงไปทางประตูเต๋อเซิ่งซึ่งเป็นประตูเมือง หลังนางหวังจัดการเรื่องการออกจากจวนของชีจิ่นเสร็จ ก็เหน็ดเหนื่อยจนไร้เรี่ยวแรงแล้ว ในตอนที่ฝืนกลับไปถึงห้อง นางก็เห็นชีเจิ้นนั่งอยู่บนเตียงแล้ว จึงถอนใจออกมาทีหนึ่ง กล่าวว่า “ส่งไปแล้วล่ะเจ้าค่ะ นางร้องไห้จนใจข้าพลอยไม่สบายไปด้วย” ชีเจิ้นเหลือบมองนางอย่างเรียบเฉยทีหนึ่ง “หากยามปกติเจ้าไม่ตามใจพวกเขาเช่นนั้น เวลานี้ ก็คงไม่ก่อปัญหาใหญ่โตถึงเพียงนี้!” เหตุใดกลับมาโทษนางอีกแล้วเล่า? นางหวัง
ยามนี้ชีจิ่นถูกส่งจากไปแล้ว สำหรับชีหยวนแล้วถือเป็นเรื่องดีอย่างมาก จะได้ถือโอกาสนี้ใช้เวลากับฮูหยินและท่านโหวให้เต็มที่ เพื่อเพราะสร้างความสัมพันธ์อันดีขึ้นมา ชีหยวนเผยรอยยิ้มที่ไม่แสดงอารมณ์ออกมา “สาวน้อยที่โง่งม เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว” ยังกล่าวไม่ทันจบ นอกห้องก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจของเสาเย่าดังเข้ามา ไป๋อินรีบออกไปตรวจสอบดู จากนั้น ชีหยวนก็ได้ยินไป๋อินร้องเสียงดังอยู่หน้าประตูว่า “คุณชายใหญ่ ท่านเข้าไปไม่ได้เจ้าค่ะ! คุณหนูของพวกเรายังไม่ลุกจากเตียงเลยเจ้าค่ะ ท่านเข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ!” สีหน้าของชีหยวนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาแล้ว ส่วนชีอวิ๋นถิงนั้น ได้เลิกม่านบุกเข้ามาในห้องอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้ว เขาไม่กล่าวสิ่งใดก็พุ่งเข้าหาชีหยวนทันที มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อขอชีหยวนขึ้นมา อีกข้างก็บีบคอของชีหยวนไว้ เค้นถามอย่างดุร้ายว่า “เจ้าบังคับให้อาจิ่นจากไป เจ้าบีบบังคับจนอาจิ่นจากไปแล้ว เจ้ามันนังสารเลว!” เจ้าคนเสียสตินี่! เหลียนเฉียวตกใจอย่างมาก นางรีบไปดึงแขนของชีอวิ๋นถิงออกอย่างสุดกำลัง “คุณชายใหญ่! ท่านปล่อยคุณหนูของพวกเราเถิดเจ้าค่ะ!” ชีหยวนก้มศีรษะลง ยกศอกขึ้น แล้วก
สีหน้าของชีเจิ้นเคร่งขรึม: “ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นเพียงข่าวลืออีกเท่านั้น จนกระทั่งคนสนิทของข้าเดินทางไปตรวจสอบดู และนำสิ่งหนึ่งกลับมา”เขาพูดแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปเลื่อนตู้หนังสือออก เผยให้เห็นช่องลับด้านหลัง จากนั้นก็ยกกล่องใบหนึ่งมาวางบนโต๊ะ และค่อยๆ เปิดกล่องอย่างระมัดระวังภายในกล่องนั้นมีคันธนูเล็กๆ หนึ่งคันวางอยู่อย่างเงียบสงบ คันธนูเล็กนั้นขนาดประมาณว่าวหนึ่งตัว บนตัวธนูนั้นถูกประดับด้วยทับทิมสีแดงเม็ดโต เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ธนูสำหรับใช้งานจริง แต่เป็นของเล่นสำหรับความบันเทิงเท่านั้นสายตาของชีหยวนกวาดมองคันธนูนั้น ก่อนจะเอ่ยถามเสียงขรึมว่า: “นี่คือของของพระชายาหลิ่วหรือ?”ดังนั้นจึงทำให้ชีเจิ้นมั่นใจได้ว่า มีพระชายาหลิ่วอยู่ที่เมืองเล็กๆ ของเมืองซ่งในเจียงซีกระมัง?หัวใจของนางรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเล็กน้อยชาติที่แล้ว ข่าวนี้ตกไปอยู่ในมือของอ๋องฉีอ๋องฉีสั่งให้คนไปสังหารพระชายาหลิ่วสองแม่ลูกหลังจากสังหารแล้ว ก็ใส่ร้ายป้ายสีว่าตระกูลเฝิงเป็นผู้ลงมือเซียวอวิ๋นถิงและตระกูลเฝิงจึงให้ตระกูลเซี่ยตรวจสอบเรื่องนี้ สุดท้ายทำให้อ๋องฉีเกิดความสนใจ อ๋องฉีจึงหาข้ออ้างและสัง
ชีหยวนตอบขานรับอย่างไม่แปลกใจแม้แต่น้อย: “เรื่องที่แขวนคอแม่นางโจวในปีนั้นเป็นฝีมือของพวกเขาทั้งคู่ ตอนนี้ความจริงได้เปิดเผยออกมา พวกเขาย่อมระแวงสงสัยกันเองว่าใครเป็นคนปล่อยความลับออกมา ยิ่งไปกว่านั้นแผ่นซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ก็ถูกทุบต่อหน้าฝูงชน จวนโหวเองก็ต้องการหย่าขาดจากพวกเขา การที่พวกเขาทะเลาะกันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”ชีหยวนสามารถเดาได้แม้กระทั่งคำพูดที่พวกเขาทะเลาะกันเหล่านั้นได้เลยทีเดียวส่วนเรื่องที่ว่าท่านหญิงท่านหญิงโจวตายเพราะพลัดตกหกล้มจริงหรือไม่นั้น?เธอทำได้เพียงหัวเราะเท่านั้นคนที่มีจิตควบคุมสูงเยี่ยงนี้ หลานชายคนโตใกล้จะแต่งงานแล้ว แต่เธอยังคงให้ลูกสะใภ้ทำตามกฏเกณฑ์ทุกวัน ทั้งยังแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน ควบคุมอำนาจในเรือนหลังของจวนทั้งหลัง เธอจะเต็มใจตายง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?ไม่มีทาง!อย่าว่าแต่ซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ของแม่นางโจวแค่แผ่นเดียวถูกรื้อถอนเลยต่อให้ซุ้มประกาศทั้งสิบสองแผ่นของตระกูลโจวถูกทุบทิ้งหมด เธอก็ไม่มีทางยอมตายอย่างเต็มอกเต็มใจอย่างแน่นอนสิ่งเดียวที่เป็นไปได้ก็คือ แม่ลูกตระกูลโจวกล่าวโทษกันไปมา ผลสุดท้ายท่านหญิงโจวถูกทำให้โกรธจน
หากแม่ลูกตระกูลโจวจะฆ่าบุตรสาวฆ่าน้องหญิงเพียงเพราะต้องการแค่ซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์จริงๆ แล้วล่ะก็ จะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะยอมสละเสาหลักใหญ่อย่างตระกูลโหว?พวกเขาคงไม่ยอมถอดใจเรื่องนี้ง่ายๆ แน่ชีหยวนยิ้มมุมปากแล้วกล่าวว่า “ไม่หรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้จะคลี่คลายในเร็ววัน”ฮูหยินผู้เฒ่าชีนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะอดถามด้วยเสียงเคร่งขรึมไม่ได้ว่า “ทำไมหรือ?”“เพราะ พวกเขาจะทะเลาะกันเองเพื่อหาว่าใครเป็นคนเปิดเผยความจริงในตอนนั้น” ชีหยวนยิ้มบางๆ : “คนเราย่อมตายเพราะทรัพย์ สัตว์ปีกย่อมตายเพราะอาหาร สำหรับพวกเขาแล้ว ซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ที่เป็นฐานรากของตระกูลโจวนั้นเปรียบได้กับชีวิตของพวกเขาเอง ตอนนี้ชีวิตทั้งตระกูลกำลังสั่นคลอน ด้วยนิสัยของพวกเขา คงไม่คิดทบทวนตัวเอง มีแต่จะโยนความผิดให้กันและกัน”แม่ลูกแล้วอย่างไร?เด็กสาวผู้น่าสงสารคนนั้นของตระกูลโจวหรือว่าไม่ใช่สายเลือดตระกูลโจว?ท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นถึงกับตกใจเมื่อได้ยินและชีหยวนได้ลุกขึ้นยืน นางกล่าวเสียงเบา “นางจะไม่รู้สึกเศร้าหรือรู้สึกผิดให้กับลูกสาวที่ตายไปหลายปี แต่จะรู้สึกเสียใจเพราะความลับถูกเปิดเผย และกำลั
ท่านหญิงโจวถูกคำพูดของชีหยวนทำให้ขนลุกไปทั้งตัว จนเหงื่อเย็นชุ่มเต็มแผ่นหลัง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน ทั้งสิ้นหวังและโกรธแค้น นางทนไม่ไหวจนต้องผลักชีหยวนไปทีหนึ่ง แล้วพูดว่า: “ถ้าเจ้ายังมาพูดจาทำให้คนตื่นกลัว กล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้อีก ข้าจะไปกราบทูลฝ่าบาทให้ทรงพิจารณาโทษเจ้า!”เมื่อพูดจบประโยคนี้ นางก็เหมือนได้รับความกล้า ทำสีหน้าตึงเครียดกัดฟันพูดว่า: “บุตรสาวของข้าเป็นหญิงพรหมจรรย์ที่ได้รับพระราชทานจากราชสำนัก เจ้าถึงกับกล้าดูหมิ่นเยี่ยงนี้! ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้!”ชีหยวนหลุดขำออกมา นางจ้องมองท่านหญิงโจวอย่างแน่วแน่: “ความจริงแล้ว ตอนนั้นนางไม่แต่งงานก็ได้ หลังจากที่คู่หมั้นของบุตรสาวท่านเกิดเรื่อง ก็ยังมีคนมาสู่ขอนาง ทั้งยังเป็นสหายตั้งแต่วัยเยาว์ของนางด้วยซ้ำ...”ใบหน้าของท่านหญิงโจวซีดขาว แม้แต่ริมฝีปากก็ไร้สีเลือด ชี้นิ้วไปที่ชีหยวนพร้อมหายใจหอบหนัก“เพียงแต่...หากแต่งไปเยี่ยงนั้น นั่นก็จะไม่มีก้อนภูเขาทองแล้วใช่หรือไม่?” ชีหยวนแสยะยิ้มเย็นชา ดวงตาจ้องท่านหญิงโจวอย่างดูแคลน “ดังนั้น พวกท่านจึงใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง บังคับนางให้แต่งงาน สามเดือนต่อมา เมื่
นายท่านผู้เฒ่ารองโจวรู้สึกจนใจ เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้ให้ฟังเมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าโจวโกรธจนแทบกระอักเลือด นายท่านผู้เฒ่ารองก็กลั้นใจพูดว่า “คำเล่าลือพูดต่อ ๆ กันไปมากเข้าจะกลายเป็นจริง หากปล่อยให้แพร่กระจายออกไป ย่อมไม่เป็นผลดีกับตระกูลเรา เกรงว่าคงต้องขอให้ท่านและโจวผิงอดทนอดกลั้นสักหน่อย รีบไปรับภรรยาของโจวผิงกลับมา เรื่องนี้ถึงจะสงบลงได้”เรื่องภรรยาเอกเท่าเทียมนั้นก็อย่าได้คิดจะพูดถึงอีกต่อไปคงต้องหาวิธีประกาศต่อภายนอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความเข้าใจผิดไม่เช่นนั้น ซุ้มประกาศเกียรติคุณที่เหลืออยู่คงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้วโจวผิงที่มีความรู้กว้างขวางกว่าฮูหยินผู้เฒ่าโจวเล็กน้อย เมื่อได้รับสัญญาณจากนายท่านผู้เฒ่ารอง จึงได้แต่พยายามกล้ำกลืนความโกรธในใจ ช่วยพูดปลอบฮูหยินผู้เฒ่าโจวจนสงบลงได้ในที่สุดทั้งครอบครัวจึงนำของขวัญติดตัวไปยังจวนตระกูลชีในทันทีฮูหยินผู้เฒ่าชีและคนอื่น ๆ ต่างก็ทราบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วเมื่อได้ยินว่าชีหยวนไปหาโจวคุนและให้เขาทุบซุ้มประกาศเกียรติคุณของตระกูลโจว ทุกคนต่างมีสีหน้าแปลกใจโดยเฉพาะชีฟางอวิ๋น นางอ้าปากค้างพลางร้องออกมา
หลังจากขว้างหินเสร็จ ไป๋จื่อก็แอบย่องกลับไปข้างชีหยวน แต่ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “คุณหนูเจ้าคะ ท่านดูนั่นสิ!”นางชี้ไปที่ต้นไม้ข้าง ๆ ชีหยวนจึงหันไปมอง ก็เห็นว่าลิ่วจินกำลังนั่งอยู่บนยอดไม้โบกมือทักทายนางชัดเจนว่า คนที่เริ่มนำปาไข่ไก่เมื่อครู่ก็คือเขานั่นเองช่าง...ชีหยวนไอเบา ๆ หนึ่งครั้ง ก่อนหมุนตัวขึ้นไปบนรถม้าไป๋จื่อรีบตามขึ้นไป พลางมองชีหยวนด้วยความตื่นเต้นดีใจ “คุณหนูเจ้าคะ แล้วเราจะทำอะไรต่อดี?”ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณหนูถึงบอกว่าชอบจัดการเรื่องแบบนี้ที่แท้ การได้เห็นผู้ชายเลว ๆ ต้องขายหน้ามันทำให้มีความสุขถึงเพียงนี้นี่เอง!ใช่แล้ว ทำไมความทุกข์ยากลำบากต้องตกอยู่กับผู้หญิง แต่ผู้ชายกลับได้ประโยชน์!ควรจะให้พวกผู้ชายเลว ๆ เหล่านี้ได้รับบทเรียนอย่างสาสมเสียบ้าง!ชีหยวนเอนตัวพิงไปด้านหลัง พร้อมยิ้มบาง ๆ “ต่อจากนี้ ก็รอให้คนมาขอร้องเราเอง”บนต้นไม้ เมื่อเห็นชีหยวนขึ้นรถม้าจากไป ลิ่วจินก็ลูบคอตัวเองเบา ๆ ก่อนหันไปมองปาเป่า “ไม่รู้ทำไม ข้ารู้สึกว่าคอมันเย็นวูบวาบยังไงไม่รู้”ปาเป่ากลอกตา “เพราะมือเจ้ามันซุกซนเอง! องค์ชายสั่งให้เราคุ้มครองคุณหนูให
ชื่อเสียงของตระกูลโจวเลื่องลือไปทั่วเพราะเรื่องนี้เมื่อก่อนตอนที่ผู้คนได้ยินเรื่องราวนี้ ล้วนทอดถอนใจเป็นเสียงเดียวกันว่าบุตรีตระกูลโจวนั้นเปี่ยมด้วยคุณธรรมและจงรักภักดี และตระกูลโจวก็เป็นคนรักษาสัจจะแต่ตอนนี้ เมื่อคำพูดของโจวคุนดังออกมา เกรงว่าในอนาคต หญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวงคงพากันเกลียดชังโจวผิงเข้ากระดูกดำก็จริงไม่ใช่หรือ?สตรีตระกูลโจวยอมเสียชีวิตไปเพื่ออะไร? เพื่อแลกมากับการที่บุรุษในตระกูลจะใช้ชีวิตเหลวแหลกโดยไร้ความยับยั้งชั่งใจอย่างนั้นหรือ?เดิมที การมีเล็กมีน้อยไม่ใช่เรื่องผิดอะไรสำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มักเป็นเรื่องปกติในยามที่ยังไม่ได้แต่งภรรยาก็ติดพันสถานเริงรมย์ พอแต่งงานแล้วก็มักมีสามภรรยาสี่อนุสิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นเรื่องแสนธรรมดาแต่มีเพียงตระกูลธรรมดาเท่านั้นที่เป็นเช่นนั้นทว่าสำหรับตระกูลโจว ในเมื่อตระกูลโจวยึดถือชื่อเสียงอันดีงามเช่นนี้ ก็ควรให้ทั้งชายและหญิงได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันมิใช่หรือ?ไป๋จื่อที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลถึงกับถ่มน้ำลายออกมาอย่างอดไม่ไหว “คนบ้าอะไร! สตรีต้องแต่งงานกับป้ายวิญญาณหลังคู่หมั้นตาย แต่บุรุษกลับเสเพลเลี
ตระกูลโจวนั้น แม้จะเป็นขุนนางแต่ก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก สิ่งที่ทำให้ตระกูลโจวเป็นที่รู้จักอย่างแท้จริง ก็คือซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ที่ตั้งอยู่หน้าศาลบรรพบุรุษตระกูลโจว!ห่างออกไปเพียงหนึ่งหรือสองจั้ง ก็จะเห็นซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ตั้งตระหง่านอยู่สูงส่ง ตามแนวถนนรอบศาลบรรพบุรุษตระกูลโจว มีซุ้มประกาศเกียรติคุณเรียงรายถึงสิบสองถึงสิบสามซุ้มดังนั้น ถนนสายนี้จึงถูกเรียกว่าถนนซุ้มประกาศเกียรติคุณโจวผิงริมฝีปากสั่นระริก เมื่อเห็นผู้คนกลุ่มใหญ่มากมายมุงล้อมถนนซุ้มประกาศเกียรติคุณอยู่ไกล ๆ เขาควบม้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกระโดดลงจากหลังม้า พลางตะโกนเสียงดังลั่น “ใครทำ?! ใครกล้ามาแตะต้องซุ้มประกาศเกียรติคุณของตระกูลโจวข้า?!”แน่นอนว่าทุกคนในตระกูลโจวไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนเดียวกันทั้งหมดดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องขึ้น คนในตระกูลที่อยู่ใกล้ศาลบรรพบุรุษก็รีบมาดูสถานการณ์ทันทีในเวลานี้ นายท่านผู้เฒ่ารองโจวที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่สุดในตระกูลคนหนึ่ง ได้จับแขนโจวผิงไว้ พลางขมวดคิ้วแน่นและถามว่า “พวกเจ้าทำอะไรลงไป!”......โจวผิงทำหน้าตางุนงง ซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ถูกทุบ
นางร้องไห้พลางพูดว่า “ไม่ได้ ข้าต้องกลับไป! หรูอี้สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้ว หากข้าไม่อยู่ที่จวน ไม่รู้ว่าแม่สามีจะทำอย่างไรกับนางบ้าง!”ฮูหยินผู้เฒ่าชีโกรธจนมือสั่นเพิ่งจะกลับมาบ้านเดิมไม่ทันไร เด็กก็ป่วยเสียแล้ว ไหนเลยจะบังเอิญเช่นนี้?นี่มันชัดเจนว่ากำลังใช้ลูกมาเป็นเครื่องมือบีบคั้นตระกูลชี คิดว่าตนเองเหนือกว่าจึงไม่หวาดกลัว พวกเขามั่นใจว่าชีฟางอวิ๋นไม่อาจทิ้งลูกได้ฮูหยินผู้เฒ่าชีอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วมองไปที่ชีหยวน “อาหยวน เจ้ามีวิธีอะไรบ้างหรือไม่?”“วิธีมีมากมายเจ้าค่ะ” ชีหยวนยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบ “เพียงแค่ต้องดูว่าท่านป้าจะยอมเสียสละอะไรหรือไม่เท่านั้น”ฮูหยินผู้เฒ่าชีตัดสินใจแทนบุตรสาวทันที “ยอม! หากพวกเขากล้าก่อเรื่อง เราก็จะตอบโต้ด้วยเรื่องที่ใหญ่กว่า! เจ้าลงมือจัดการไปได้เลย!”พอเห็นชีหยวนเดินออกไป ชีฟางอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองคนทั้งสามในห้อง “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไรกัน? ทำไมพวกท่านถึงให้ชีหยวนเป็นคนจัดการเรื่องนี้เล่าเจ้าคะ?”ชีเจิ้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยแต่ฮูหยินผู้เฒ่าชีกลับยิ้มบาง ๆ “เพราะไม่มีใครเหมาะที่จะช่วยเจ้าแก้แค้นไ