ชีหยวนไม่มีนิสัยลงโทษคนอื่นโดยไร้เหตุผลบางทีอาจเป็นเพราะชาติก่อนนางเคยเป็นผู้อยู่ใต้บัญชาอยู่นาน จึงเข้าใจถึงความลำบากของคนรับใช้ได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกับตอนที่ชาติก่อนนางเป็นองครักษ์ของเฟิงไฉ่เว่ย คอยคุ้มกันคุณหนูผู้สูงศักดิ์คนนี้เฝิงไฉ่เวยเห็นกระรอกตัวหนึ่งพลัดตกลงมาบนพื้นได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถปีนกลับขึ้นต้นไม้ได้ นางน้ำตาคลอและบอกว่าจะนำกระรอกตัวนั้นกลับขึ้นต้นไม้ด้วยตนเองต้นไม้นั้นมีอายุนับร้อยปี ลำต้นใหญ่ขนาดที่หลายคนโอบยังไม่รอบ กิ่งก้านแผ่ขยายไปทั่ว ชีหยวนกังวลว่านางจะเป็นอันตราย จึงอาสาทำแทนแต่เฝิงไฉ่เวยกลับขมวดคิ้วและพูดเสียงเนิบว่า “จะได้อย่างไร? การทำความดีต้องลงมือเองถึงจะจริงใจ คนอย่างองครักษ์ชีที่ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน ย่อมไม่เข้าใจ”นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้เฝิงไฉ่เวยปีนต้นไม้ไปส่งกระรอกเองใครจะคาดคิดว่าเฝิงไฉ่เวยจะไม่ระวังแล้วพลัดตกลงมาผลคือข้อเท้าพลิก หมอบอกว่าเส้นเอ็นและกระดูกได้รับความเสียหาย ต้องพักฟื้นอย่างน้อยสี่ถึงห้าเดือนเซียวอวิ๋นถิงตำหนินางว่าปกป้องเจ้านายไม่ดีนางอธิบายด้วยรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย ว่านางพยายามห้ามเฝิงไฉ่เวยแล้วว่าไม่ให้ทำ
เขายังจำสีหน้าของชีหยวนตอนรับสุนัขตัวนั้นมาเลี้ยงได้ดีนางแสดงออกชัดเจนว่าชอบมันมากชีหยวนชอบ เขาก็ชอบฮูหยินผู้เฒ่าชีเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง “อยู่ดี ๆ ทำไมถึงหายไปได้? นางเพิ่งออกจากจวนไปแค่ประเดี๋ยวเดียวแท้ ๆ!”นางสั่งให้แม่นมข้างกายไปแจ้งบรรดาบ่าวที่เฝ้าประตูเล็กทางเข้าสวนดอกไม้และโรงเรือน ว่าหากพบสุนัขตัวนั้น นางจะให้รางวัลเพิ่มอีกหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ใดเป็นคนเจอสุนัขของชีหยวน นางจะเลื่อนตำแหน่งให้ด้วยเมื่อข่าวนี้ไปถึงหูนางหวัง นางก็ได้แต่ หลับตาแน่นพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไม่รู้ว่าชีหยวนให้ท่านโหวผู้เฒ่าชีและฮูหยินผู้เฒ่ากินยาเสน่ห์อะไรเข้าไป ถึงทำให้พวกเขาทั้งสองเชื่อฟังนางจนยอมทำตามทุกอย่างเรื่องไร้สาระแบบนี้ นางไม่เคยได้ยินมาก่อน!แม่นมสวียิ่งกล่าวประชดไม่น่าฟัง “ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย! สุนัขพันธุ์ทางตัวเดียว โยนไว้ข้างถนนยังไม่มีใครชายตาดู แต่พอเป็นตัวที่คุณหนูใหญ่เลี้ยง กลับมีค่าถึงสองร้อยตำลึง! ตอนนี้ทั้งจวนกำลังวุ่นวายกันเพราะหาสุนัข!”นางหวังกระแทกถ้วยชาลงกับโต๊ะ เสียงดังหนักแน่นกว่ายามปกติ “ปล่อยให้พวกเขาทำไป! พวกเขาอยากหา ก็ให้หาไป!”
แม่นมสวียกมือกุมหน้า ใบหน้าปรากฏสีขาวสลับแดง แล้วเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ในใจทั้งอับอายและโกรธแค้นยิ่งนักในจวนโหวตลอดหลายปีมานี้ นางไม่เคยถูกใครหยามถึงเพียงนี้มาก่อน!นางดูถูกชีหยวนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!เด็กไร้มารยาทขาดการอบรมจากบ้านนอกคนนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชีจิ่นที่นางเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กถูกเบียดจนแทบไร้ที่ยืน แม้แต่ชีอวิ๋นถิงก็ยังถูกกดดันจนเกือบต้องกลับบ้านเกิดไปนางมีสิทธิ์อะไร?นางเป็นคนสนิทของนางหวัง นางหวังเป็นฮูหยินผู้ดูแลจวนโหว นางก็เป็นคนดูแลใหญ่โดยชอบธรรม!แต่เพราะการปรากฏตัวของคนนอกคอกอย่างชีหยวน นางเกือบต้องตามนางหวังกลับไปอยู่บ้านเกิด ปลีกวิเวกกินเจสวดมนต์!ทุกอย่างเป็นเพราะชีหยวน!ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด!ดังนั้น หลังจากที่ถูกตบ นางก็พุ่งเข้าหานางหวังพร้อมน้ำตานองหน้า “ฮูหยิน! บ่าว บ่าวไม่มีหน้าจะอยู่ต่อไปแล้วเจ้าค่ะ!”พูดจบ นางก็ทำท่าจะพุ่งกระแทกกำแพงนางหวังตกใจแทบสิ้นสติ รีบฟาดมือลงบนโต๊ะ “ชีหยวน เจ้าคนอกตัญญู! เจ้าเริ่มเหลิงใหญ่แล้ว เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? แม้แต่หมาแมวในเรือนของญาติผู้ใหญ่ พวกลูกหลานยังต้องให้ความเคารพ แล้วนางเป็นถึงแม่นมของข้
สองข้างแก้มของแม่นมสวีปวดร้าวรุนแรง ชั่วพริบตานั้น แม่นมสวีเจ็บจนรู้สึกเหมือนหูแทบจะมีควันพวยพุ่งออกมานางมองชีหยวนด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความหวาดกลัวนางคนบ้าผู้นี้!นี่มันคนปกติที่ไหนกัน?!ชีหยวนค้อมกายลง สบตากับแม่นมสวีอย่างเชื่องช้า ก่อนจะใช้มือดันคางของนางกลับเข้าที่อีกครั้ง คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางเอ่ย “แม่นมสวี คิดให้ดีแล้วค่อยพูด เพราะข้าเองก็ไม่อาจควบคุมแรงได้ทุกครั้ง ถ้ายังไม่พูดความจริง บางทีอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกต่อไป”แม่นมสวีแทบสิ้นสตินางพบเจอผู้คนมามากมายจะใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือพูดใส่ไฟแบบใด ต่างก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแต่ไม่เคยเจอใครที่ไร้เหตุผลขนาดนี้เช่นชีหยวน!นางหวังโกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง “ในสายตาของเจ้ายังมีแม่คนนี้อยู่หรือไม่?! เจ้าเห็นที่นี่เป็นอะไรกันแน่?!”ชีหยวนคร้านจะหันไปมองนางหวังนางเพียงตบหน้าแม่นมสวีเบา ๆ “แม่นมสวี ความอดทนข้ามีจำกัด หนึ่ง สอง...”ยังไม่ทันนับถึงสาม แม่นมสวีก็ทนไม่ไหว “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว! ข้าสั่งให้บ่าวที่มีหน้าที่เก็บสิ่งปฏิกูลในจวน เอาสุนัขไปส่งที่ร้านขายเนื้อสุนัขแล้วเจ้าค่ะ!”ชีหยวนปล่อยแม่นมสวีล้มลงไปกองกับพื้น หันไปมองห
การที่ต้องเห็นแม่นมที่ไว้วางใจที่สุดตายลงต่อหน้าต่อตา สำหรับนางหวังแล้ว ความรู้สึกนั้นไม่ต่างจากสายฟ้าฟาดกลางวันแสก ๆนางเองก็เคยสั่งเฆี่ยนตีบ่าว หรือไม่ก็ส่งไปอยู่เรือนห่างไกลให้เผชิญชะตากรรมเอาเองแต่การลงมือฆ่าคนนั้น นางไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยจริง ๆที่สำคัญ ชีหยวนยังหักคอแม่นมสวีต่อหน้านาง ภาพเหตุการณ์เช่นนี้แทบทำให้ผู้คนเสียสติ!นางหวังร้องไห้คร่ำครวญ ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งพลางชี้นิ้วไปที่ชีหยวน “พวกท่านตามใจนางเกินไป สุดท้ายก็ตามใจจนเป็นฆาตกร! นางเพิ่งอายุสิบห้าปีก็กล้าฆ่าคนแล้ว!”ชีหยวนยังคงยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้าราวกับว่าการถูกมารดาชี้หน้ากล่าวหาว่าเป็นฆาตกร สำหรับนางแล้ว เป็นเรื่องเล็กน้อยเสียจนไม่แม้แต่จะทำให้คิ้วของนางขมวดเมื่อเทียบกับท่าทีของนางหวังที่แทบจะเป็นบ้า ไม่ว่าจะท่านโหวผู้เฒ่าชีหรือฮูหยินผู้เฒ่าชีต่างก็สงบนิ่งกว่ามากโดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่า นางรีบก้าวไปยืนขวางหน้าชีหยวน แล้วขมวดคิ้วมองนางหวัง ก่อนจะกล่าวตำหนิ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? ฆาตกรที่ไหนกัน เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”......ร่างของแม่นมสวีนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ดวงตา
แม่นมสวีจัดการกับอาหวง ก็เพื่อเป็นการตบหน้าชีหยวนจริง ๆแต่ท่านโหวผู้เฒ่าชีและฮูหยินผู้เฒ่าชีกลับไร้ความรู้สึกต่อการตายของแม่นมสวี ซ้ำยังโบ้ยความผิดกลับมาอีก แบบนี้ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้านางที่เป็นนายหญิงของจวนหรอกหรือ?!นางลุกขึ้นยืน ไม่สนใจว่าฮูหยินผู้เฒ่าชีจะยืนบังชีหยวนไว้ ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวจนมายืนตรงหน้าชีหยวน จ้องชีหยวนเขม็งแล้วเอ่ยถามเน้นย้ำทีละคำ “นี่คือท่าทีของเจ้าหรือ? ต่อให้ข้าที่เป็นแม่แท้ ๆ ของเจ้าคิดจะจัดการเจ้า เจ้าก็กล้าฆ่าข้าด้วยอย่างนั้นหรือ?”นี่มันคำพูดอะไรกัน?ท่านโหวผู้เฒ่าชีตวาดลั่น “นางหวัง เจ้าสติเลอะเลือนไปแล้วหรือ?!”ถามเช่นนี้ออกมา จะให้ชีหยวนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร?!แต่ชีหยวนกลับไม่หวาดหวั่นมารดาของนางได้ตายไปตั้งแต่ชาติที่แล้วชาติที่แล้ว นางถูกชีอวิ๋นถิงกระทืบจนขาหักแล้วโยนทิ้งกลางถนน นางหวังที่เป็นนายหญิงของจวนจะไม่รู้หรือ?ต่อมาก็ถูกส่งตัวไปยังหอนางโลม เกือบถูกขายให้แก่ชายแก่เพื่อรับแขก นางหวังจะไม่รู้หรือ?จนกระทั่งสุดท้าย เมื่อนางถูกโยนไปยังสุสานไร้ญาติ นางหวังรับรู้ทุกอย่างนางหวังรู้เรื่องทั้งหมด แต่ยังเลือกที่จะดูอยู่เฉย ๆ อย่างเลื
เมื่อวานนางยังดี ๆ อยู่เลย ยังให้เงินเขาไป พร้อมกำชับให้เขาพยายามให้มากขึ้น และอย่าไปหาเรื่องชีหยวนให้มากความยิ่งไปกว่านั้น อาจิ่นยังอยากกินขนมที่แม่นมสวีทำอยู่เลยแล้วทำไมนางถึงตายไปกะทันหันแบบนี้?นางหวังราวกับจิตวิญญาณหลุดลอยไป นางมองลูกชายอย่างตั้งใจหนึ่งครั้ง พลันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วร้องไห้อีกครั้งนางสะอื้นพลางพูด “เป็นชีหยวน!”ชีหยวนอีกแล้วหรือ!?ชีอวิ๋นถิงเบิกตากว้าง ทันใดนั้นสีหน้าก็มืดครึ้มลง “นางคนนอกคอกนั้นอีกแล้ว! ข้ารู้แล้วว่าแค่มีนางอยู่ ในจวนจะต้องเกิดเรื่องแน่!”ตั้งแต่นางกลับมา จวนนี้ก็ไม่เคยมีวันสงบสุข มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวันเขาลุกพรวดขึ้น “เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่? แม่นมสวีไม่ได้ทำอะไรให้นางขุ่นเคือง แล้วนางจะฆ่าแม่นมสวีทำไม?”นางหวังเล่าเรื่องที่แม่นมสวีคิดจะฆ่าสุนัขของชีหยวนชีอวิ๋นถิงแค่นหัวเราะ “ไร้สาระ! ช่างไร้สาระจริง ๆ เพียงเพื่อสุนัขตัวเดียว นางก็ฆ่าคนงั้นหรือ?!”เขาอดไม่ไหว คิดจะพุ่งตัวออกไปทันทีแต่ขยับตัวไปแล้วกลับชะงักหยุดลงเองเพราะภาพที่ชีหยวนยัดถ้วยชาเข้าปากเขา จนทำให้เขาฟันหักไปหลายซี่ยังคงติดตาตอนนี้แค่คิดถึงเรื่องนั
หลิวจงตกใจจนรีบโบกมือปฏิเสธเงินก้อนนี้ร้อนมือเกินไป!ชีหยวนยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองเขาหลิวจง “ทำไม หรือว่าพ่อบ้านหลิวคิดว่าให้น้อยไป?”......หลิวจงคว้าซองแดงไปถือไว้อย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าฟ้าแลบ ก่อนจะรีบกล่าวขอบคุณชีหยวนอย่างคล่องแคล่วชีหยวนเพียงยิ้มบาง ๆ “นี่เป็นสิ่งที่พ่อบ้านหลิวสมควรได้รับ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ”หลิวจงรีบถือซองเงินแล้วขอตัวออกไปทันที พอพ้นประตู ก็เผลอชั่งน้ำหนักซองแดงในมือโดยไม่รู้ตัวมันเบาหวิวเขาเปิดดูข้างใน ก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างตั๋วเงินห้าสิบตำลึง!คุณหนูใหญ่ของเขาแม้จะโหดไปบ้าง แต่ก็ใจกว้างยิ่งนัก!แต่ว่าเขาเข้าใจผิดไปเองแล้วชีหยวนเพียงแค่แบ่งเงินรางวัลสองร้อยตำลึงที่ตั้งไว้สำหรับตามหาสุนัขออกมาให้หลิวจงหนึ่งในสี่ส่วนและอีกหนึ่งในสี่ก็แบ่งให้ซุ่นจื่อชีหยวนยิ้มให้ซุ่นจื่อก่อนพยักหน้าเบา ๆ “เจ้าทำงานได้ดีมาก”ซุ่นจื่อหัวเราะแหะ ๆ พร้อมกับเกาหัว “บ่าวคนนั้นอยู่ห้องติดกับข้า พวกเราโตมาด้วยกัน ข้ารู้จักนิสัยของเขาดี! คุณหนูใหญ่ โชคดีที่พวกเราไปทันเวลา ไม่อย่างนั้นอาหวงคงถูกเชือดไปแล้วขอรับ”ตอนที่ไปถึงอาหวงถูกมัดไว้กับขาโต๊ะข้างเขียงแล้วห
เขาไม่เชื่อว่าชีหยวนกระทำไปโดยไร้เจตนา นางจงใจแน่นอน แก้แค้นที่ตนเคยลังเลในคราแรก!แล้วก็เสแสร้งต่อหน้าผู่อู๋ย่งเช่นนี้ผู่อู๋ย่งถามขึ้นด้วยสีหน้ามืดครึ้มตามคาด “อ๋องฉีพูดถ้อยคำขัดต่อฟ้าดินอันใดหรือ?”ไล่เฉิงหลงรีบแก้ต่างว่า “หาได้มีสิ่งใดไม่ ท่านผู้ตรวจการอย่าได้ถือสา ท่านอ๋องเพียงแค่โศกเศร้าเกินไปเท่านั้น”ผู่อู๋ย่งเหลือบสายตามองพวกเขาคราหนึ่ง เชิดคางขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ “ส่งท่านอ๋องขึ้นรถม้าให้ดี แล้วส่งกลับจวนอ๋องเสีย”พวกเขาจะกลับวังแล้วในเมื่อพาพระชายาหลิ่วกลับไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องรีบกลับไปฉลองปีใหม่ในวังหลวงวังหลวงคือสถานที่ที่ราชนิกุลควรอยู่คืนส่งท้ายปีเก่าจะมีงานเลี้ยงในวัง เหล่าพระญาติ ผู้สูงศักดิ์ ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ล้วนต้องเข้าร่วมวันขึ้นปีใหม่ก็มีพิธีเข้าเฝ้า นี่ล้วนเป็นกฎระเบียบแม้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยจะจากไป ก็ไม่อาจหยุดยั้งสิ่งเหล่านี้ได้ฮ่องเต้หย่งชางพาองค์หญิงหมิงเฉิงและองค์ชายหย่งหรงเสด็จขึ้นรถม้าไปพร้อมกันด้วยท่าทีโศกเศร้าเล็กน้อยชีหยวนก็เตรียมตัวกลับจวนพร้อมกับท่านโหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นเดิมทีพวกเขารับหน้าที่ลาดตระเวนเป็นการ
อ๋องฉีก้าวเข้ามาอีกก้าว ประชิดเกาทัณฑ์แขนเสื้อของชีหยวน เขาเม้มริมฝีปาก ดวงตาแดงก่ำ เส้นเลือดในดวงตาปูดโปน เขามองชีหยวน แววตาสั่นไหวอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ชีหยวน เจ้ายโสอะไรนักหนา? เจ้าเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อสู้แทนคนพวกนั้นจนโค่นล้มพวกข้าลงได้ แล้วเจ้าจะได้ประโยชน์อันใด?”ชีหยวนกำลังไตร่ตรองว่าหากนางฆ่าอ๋องฉีเสียตอนนี้ จะจัดฉากให้เหมือนเป็นการฆ่าตัวตายได้อย่างแนบเนียนที่สุดอย่างไร ไม่มีเวลาจะใส่ใจวาจาเพ้อเจ้อของอ๋องฉีแม้แต่น้อยถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่คิดหาทางไสหัวไปดินแดนศักดินาอย่างปลอดภัยจากนี้ไปก็ยอมเป็นอ๋องพิการไปเสีย ยังมัวแต่หมกมุ่นเรื่องความรักในชาติก่อนเหล่านั้นอีกตำแหน่งฮ่องเต้ตกมาถึงเขาได้ ก็เป็นเพราะชาติก่อนเขายังไม่เสียสติถึงขั้นกักขังองค์หญิงเป่าหรงไว้เร็วนักมิเช่นนั้น ราชบัลลังก์ไหนเลยจะตกมาถึงเขาได้?ปลายนิ้วของนางขยับ กำลังจะจู่โจมลงมือฆ่า ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากเบื้องหลัง จึงหยุดมือทันที ดึงเกาทัณฑ์แขนเสื้อกลับเข้าไปลึกอย่างแนบเนียน แล้วทอดถอนใจยาวขณะมองอ๋องฉีนางเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ท่านพูดสิ่งใดออกมา ข้าน้อยไม่เข้าใจจริง ๆ”“เจ้าเสแสร้งอันใด?!” อ๋อ
จากนั้นเซียวอวิ๋นถิงก็รับตัวเขาไว้อย่างมั่นคง แล้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “เอาอีกไหม?”เด็กผู้ชายนั้นล่อหลอกได้ไม่ยาก พวกเขามักจะยกย่องคนเก่ง และชอบเล่นกับคนที่โตกว่าบังเอิญว่าเซียวอวิ๋นถิงมีความอดทนสูงมาแต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้หย่งชางตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าช่างไม่ถือโทษเลยนะ”คำพูดนี้แฝงความนัย เซียวอวิ๋นถิงย่อมเข้าใจดี จึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “เสด็จปู่ เดิมทีหลานก็ไม่ได้มีความบาดหมางใดกับกุ้ยเฟยและพวกเขาเลย อีกทั้งความผิดไม่ควรลามไปถึงลูกหลาน เด็กๆ มีความผิดอันใดหรือ? พวกเขายังมีศักดิ์เป็นเสด็จอาของหลานด้วย”ราวกับว่าคนที่เพิ่งใช้คำพูดบีบบังคับให้เป่าหรงต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เมื่อครู่นั้นไม่ใช่เขาฮ่องเต้หย่งชางพยักหน้า “เจ้าทำได้ดีมาก”เพียงประโยคนี้ก็ทำให้ขันทีเซี่ยที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกปลาบปลื้มแล้ว ต้องรู้ไว้ว่าองค์รัชทายาทไม่เคยได้รับคำชมเช่นนี้เลย!อีกด้านหนึ่ง พระชายาหลิ่วอุ้มเซียวโม่ที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุดเพื่อพาไปพักผ่อนชีหยวนฉวยจังหวะนี้อยากจะขอโทษนาง เพราะครั้งนี้นางได้ใช้ประโยชน์จากอดีตของพระชายาหลิ่ว ทำให้พระชายาหลิ่วต้องออกหน้าเป็นดั่งคมดาบให้นางนางอาจใช้เล่ห์กล
ฮ่องเต้หย่งชางตัดสินพระทัยแน่วแน่ “ให้กรมพิธีการและกรมการทูตหารือกัน ตอบรับการอภิเษกสมรสขององค์หญิงแห่งแผ่นดินเรา ทุกพิธีการให้กรมพิธีการและกรมการทูตร่วมกันกำหนด แล้วให้สำนักขุนนางหลวงเป็นผู้ตัดสิน!”องค์หญิงหมิงเฉิงเฉลียวฉลาดตั้งแต่ยังเล็ก แต่ก็ไม่ได้เฉลียวฉลาดถึงขั้นเข้าใจความหมายของการแต่งเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ยังคงคิดว่าเป็นเพียงแค่การแต่งงานการแต่งงานไม่มีอะไรผิดปกติ เพราะแต่ก่อนเสด็จแม่ก็พร่ำสอนอยู่เสมอ ว่าพี่หญิงไม่อาจเอาแต่เล่นสนุกอย่างเอาแต่ใจตลอดไป สักวันก็ต้องแต่งงานในเมื่อเสด็จพ่อให้พี่สาวแต่งงาน เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่มีปัญหาแล้วใช่หรือไม่?นางรู้สึกยินดีอยู่บ้าง แต่เพียงครู่เดียว เมื่อคิดถึงการจากไปของเสด็จแม่ หัวใจก็พลันห่อเหี่ยวลงส่วนองค์หญิงเป่าหรงไม่มีแม้แต่ความรู้สึกเศร้าหมองในฐานะคนที่มาจากยุคปัจจุบัน นางรู้ดีกว่าใครว่าตงอิ๋งเป็นเช่นไรชาติที่มีแต่ความวิปริตและไร้ซึ่งขอบเขตศีลธรรมสำหรับตงอิ๋งในยุคราชวงศ์ต้าโจว ตรงกับช่วงที่ไร้ซึ่งกฎหมาย เหล่าขุนศึกต่อสู้กันอย่างสับสนอลหม่านในสายตาของชาวตงอิ๋ง ผู้หญิงไม่มีค่าอะไรแม้แต่ในยุคปัจจุบัน สตรีของจักรพรรดิตง
นางมอบเกียรติให้ฮ่องเต้หย่งชาง บัดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าฮ่องเต้หย่งชางจะยอมให้ความเป็นธรรมแก่นางหรือไม่นางจ้องมองฮ่องเต้หย่งชางอย่างจริงจังและละเอียดถี่ถ้วนสามีภรรยาในเยาว์วัย เติบโตมาด้วยกันผ่านความทุกข์ยากมาด้วยกันแต่กลับไม่อาจร่วมสุขกันได้ ในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางเองก็เจ็บปวดเช่นกันหน้าอกของเขาปวดหน่วงราวกับถูกบีบรัด มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจความตั้งใจของพระชายาหลิ่ว?นางเดินมาถึงขั้นนี้แล้วนางไม่แย่งชิง ไม่คิดเอาผิด และยังช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงให้เขาในฐานะฮ่องเต้ผู้มีคุณธรรมเขาจะยอมปล่อยให้นางเสียเปรียบได้หรือ?แน่นอนว่าไม่ได้ดังนั้น พระสุรเสียงของฮ่องเต้หย่งชางจึงสงบลง “เรื่องนี้ เราจะให้กรมพิธีการหารือกัน หากเจ้ามุ่งมั่นเช่นนี้ เราก็จะให้เจ้าได้บำเพ็ญเพียรในวัง...”โดยทั่วไปแล้ว สตรีในราชวงศ์ที่ต้องการบวชจะต้องบำเพ็ญเพียรอยู่ในวังแต่พระชายาหลิ่วไม่ต้องการเช่นนั้น นางส่ายศีรษะทันที “ฝ่าบาท อย่าให้ต้องเดือนร้อนภาษีราษฎรเลย หม่อมฉันเห็นว่าที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว เปลี่ยนจากวัดเป็นอารามเต๋านี่แหละ”แท้จริงแล้ว อารามไป๋อวิ๋นแต่เดิมก็คืออารามเต๋า เพียงแต่ว่าภายหลังพุทธศาสนาเ
ไม่ตาย ก็จงเตรียมตัวส่งมอบอำนาจและเกียรติยศเถิดสำหรับพวกเขาแล้ว เรื่องนี้เจ็บปวดยิ่งกว่าความตายเสียอีกผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมฆา สิ่งที่ยากจะยอมรับที่สุดก็คือการร่วงหล่นสู่ผืนดินแต่ไม่นานพวกเขาก็จะพบว่า โลกมนุษย์นั้นก็มิใช่ที่เลวร้ายอะไรเวลาถูกถ่วงไว้นานเกินไป เซียวโม่เริ่มรู้สึกไม่สบายอีกแล้ว เขาเริ่มร้องไห้ไม่หยุดเขาเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ยิ่งกว่าองค์หญิงหมิงเฉิงและหย่งหรงเสียอีก ไม่เข้าใจการสังเกตสีหน้าผู้คนแม้แต่น้อยขณะนี้พระชายาหลิ่วเห็นว่าท้ายที่สุดก็ไม่อาจสังหารเป่าหรงได้ อีกทั้งอ๋องฉี องค์หญิงหมิงเฉิง และหย่งหรงก็มากันครบ พลันรู้สึกเบื่อหน่ายถึงขีดสุดนางมองไปที่ฮ่องเต้หย่งชางแล้วกล่าวว่า “พวกท่านกลับไปเถิด ขอให้พวกข้าแม่ลูกได้อยู่อย่างสงบเสียที”แต่การที่ฮ่องเต้หย่งชางเสด็จมาครั้งนี้ เดิมทีเป็นเพราะตั้งใจจะพาพระชายาหลิ่วกลับไปร่วมฉลองคืนวันส่งท้ายปีเก่าทว่าตอนนี้กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ปัญหาตามกันออกมาเป็นระลอกจนเรื่องราวยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก อยากจะพาพระชายาหลิ่วกลับไปยิ่งยากกว่าเดิมเสียแล้วฮ่องเต้หย่งชางสะกดกลั้นอารมณ์ ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หว่านหยิน เ
เหนือชั้นจริง ๆ! ในใจของเขาพลันรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาอีกครั้งเพราะอุบายอันแยบยลของชีหยวน นี่คือการเดิมพันที่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีวันตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ผู่อู๋ย่งใช้กำลังภายใต้อิทธิพลของตนเองแจ้งข่าวให้อ๋องฉีรีบมาปกป้ององค์หญิง เช่นนั้นก็หมายความว่า กองกำลังที่ดูแลมาหลายปีของอ๋องฉีจะถูกเปิดโปงต่อหน้าผู้คน หากว่าไม่แจ้งให้อ๋องฉีมา เช่นนั้นเป่าหรงจะต้องเลือกผ้าแพรขาวหนึ่งผืน หรือไม่ก็สุราพิษหนึ่งจอก และจบชีวิตลงเช่นนี้ไปแล้ว สตรีคนนี้ น่ากลัวเกินไปแล้วจริง ๆ! นางแทบจะคำนวณหมากทั้งหมดของอ๋องฉีได้อย่างแม่นยำ ไม่พลาดแม้แต่เบี้ยตัวเดียว! อ๋องฉีถูกถามคาดคั้นเช่นนั้นเพียงเสี้ยวพริบตาเหงื่อเย็นก็ไหลพลั่ก ๆ ในฐานะองค์ชายที่จดจ้องบัลลังก์จักรพรรดิตาเป็นมัน เขาย่อมรู้ตัวดีว่าบัดนี้ได้ละเมิดข้อห้ามอันใหญ่หลวงไปแล้ว ทันใดนั้นทั้งแผ่นหลังพลันเปียกชุ่ม แต่ในเวลานี้ เขาพูดชื่อผู่อู๋ย่งออกมาไม่ได้อย่างเด็ดขาด! ไม่ได้ ผู่อู๋ย่งเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของเขาในตอนนี้แล้ว! เช่นนั้น เช่นนั้นแล้ว… อ๋องฉีหายใจถี่กระชั้น ความเจ็บปวดบีบรัดไปถึงช่องท้อง แม้แต่บาดแผลที่ขาซึ่งอาการทุเลาลงไปมากแล้
เดิมทีนางก็มิได้ตึงเครียดและสิ้นหวังมากถึงเหมือนที่เห็นเมื่อครู่แล้ว! จากอีกฟากหนึ่งของฝูงชน องค์หญิงเป่าหรงสบสายตาชีหยวนจากไกล ๆ เมื่อสายตาของสองคนสบประสาน ใบหน้าของเป่าหรงกลับไม่มีความอาฆาตแค้นไม่มีความบ้าคลั่งและยิ่งไม่มีความใจร้อนปรากฏ สิ่งเดียวที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคือความเย้ยหยันและความเกลียดชังที่ลึกซึ้ง…เจ้าดูสิ เจ้าคิดว่าตัวเจ้าวางแผนรอบคอบไร้ที่ติ แต่ข้าก็ยังรอดปลอดภัยดี! ไล่เฉิงหลงเห็นชัดเจนทุกอย่าง ก็ทอดถอนใจนึกปลงตกในใจอย่างอดไม่ได้ พลาดท่าแล้วจริง ๆ เขาเหลือบสายตาอย่างพะว้าพะวังมองไปยังผู่อู๋ย่งซึ่งก้มหน้าก้มตาทำราวกับไร้ตัวตนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ทันใดนั้นหัวใจก็เย็นยะเยือกขึ้นมา ขันทีเฒ่าใกล้ตายคนนี้ถือครองอำนาจมานานหลายปี มีอิทธิพลสูงสุดในหมู่องครักษ์เสื้อแพร ส่วนตนเองที่ต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิตมานานหลายปีเพียงนี้ กลับยังต้องพึ่งพิงมิตรภาพระหว่างบิดาของตนเองและฮ่องเต้ ถึงจะสามารถตั้งหลักอย่างมั่นคงได้ในหน่วยองครักษ์เสื้อแพร แต่ครั้งนี้หากเลือกยืนผิดฝ่ายเพียงครั้งเดียว เกรงว่าหลังจากนี้จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว ขณะไล่เฉิงหลงคิดสะระตะอยู่ในใจ ทว่าชีหยวนกลับไม่มีท่าที
ตีงูไม่ตาย หายนะไม่สิ้นสุด หลังจากนี้ชีวิตของชีหยวน… ไม่สิ ชีหยวนไม่มีหลังจากนี้อีกต่อไปแล้ว องค์หญิงหมิงเฉิงเบะปาก ก่อนจะร้องไห้โยเยออกมา พลางเช็ดเลือดบนใบหน้า พลางร่ำไห้สะอึกสะอื้น: “ลูกได้ยินว่าเสด็จแม่ตายแล้ว เสด็จพ่อเป็นความจริงหรือเพคะ?” ดรุณีตัวน้อยยิ่งเลื่อนมือไปเช็ด คราบเลือดบนใบหน้ายิ่งปรากฏความน่าสะพรึงกลัวชัดเจนขึ้น แม้แต่ฮ่องเต้หย่งชางยังเกือบมีน้ำตาออกมา ไม่ว่าเมื่อใด ความไร้เดียงสาและความอ่อนโยนของเด็กน้อยก็มักจะกระทบจิตใจของผู้คนให้แสบสะท้านได้มากที่สุด แน่นอนว่าเซียวโม่มิใช่ว่าไม่น่าสงสาร และมิใช่ว่าจะไม่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทว่าเมื่อได้เทียบกับธิดามังกรข้างกายพระโพธิสัตว์ผู้งามเพริศพริ้งน่าเอ็นดูตรงหน้า ก็ดูจะขัดตาอยู่ชัดเจนไม่น้อย หัวใจคนย่อมลำเอียงเสมอ สายตาที่ใช้มองสิ่งของก็ลำเอียงเช่นกัน เขาลูบศีรษะขององค์หญิงหมิงเฉิง เงียบมิได้เอ่ยวาจา ทว่าท่าทีกลับผ่อนคลายลงแล้วเล็กน้อย ทันใดนั้นก็หมุนศีรษะมาแล้วตะโกนว่า: “เหล่าเซี่ย นี่เจ้าตายไปแล้วหรือ? โลหิตบนใบหน้าขององค์หญิง…” ทว่าทันใดนั้นก็ชะงักงันไปอีกครั้ง ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ชีหยวน: “เจ้ามาดูแลองค์หญิง