นางหวังถามอย่างกราดเกรี้ยว “เป็นอย่างไร ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง! ไปค้นได้แล้วสินะ?!”ชีหยวนพยักหน้า พลางหลีกทางให้อย่างไม่ลังเล “ค้นเถิดเจ้าค่ะ”บนต้นพุทรามีโคมไฟแขวนไว้อยู่สองสามดวง ยามนี้มันกำลังกวัดแกว่งไปมาสีหน้าของชีหยวนถูกซ่อนอยู่ภายใต้แสงสลัวของโคมไฟ เห็นไม่ชัดว่านางมีสีหน้าอย่างไรกันแน่ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ชีเจิ้นมักจะรู้สึกว่านางไม่มีความกังวลใด ๆ อยู่เลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่อาจจะกำลังยิ้มอยู่ ในขณะที่กำลังรอแม่นมจางค้นหาเสียด้วยซ้ำเขาเบนสายตาไปมองไปที่แม่นมจางแม่นมจางนำบ่าวรับใช้สองสามคนมาเริ่มขุดที่ด้านหน้าต้นพุทราอย่างกระตือรือร้นเป็นอย่างมากทว่าไม่ว่าจะกี่จอบที่ฟันลงไป ดินก็ยังคงเป็นดิน นอกจากรากของต้นพุทราไม่กี่รากที่โผล่ออกมาแล้ว ก็มองไม่เห็นอันใดทั้งสิ้นแม่นมจางสับสนเล็กน้อย หรือว่าตนเองฝังไว้ลึกเกินไปกระนั้นหรือ?นางขุดลงไปอีกหลายครั้ง ทันใดนั้นเหงื่อเย็น ๆ ก็เริ่มไหลออกมายังไม่มีอันใดอยู่อีกงั้นหรือ!เป็นไปได้อย่างไรกัน?!นางเป็นคนเอาตุ๊กตามาวางไว้กับมือชัด ๆ!และสถานที่ก็ไม่ได้ผิด!สัญลักษณ์ล้วนยังอยู่!ไยของถึงหายไปได้เล่า?ผ่านไปไม่นาน นาง
นางโกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว “ท่านโหว! จะต้องเป็นคุณหนูใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่เป็นคนขุดตุ๊กตาออกไป แล้วเอาไปซ่อนไว้ที่อื่นเป็นแน่เจ้าค่ะ! จะต้องเป็นคุณหนูใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ!”นางหวังหันหน้าไปมองชีหยวนชีหยวนมีสีหน้าเย้ยหยัน พลางถามนางหวังด้วยสีหน้าประชดประชัน “ท่านแม่คงจะไม่ฟังคำที่นางพูดอีกแล้วกระมัง? ข้าเพิ่งจะมาที่นี่ แม้แต่ชื่อของบ่าวรับใช้พวกนี้ยังจำไม่ได้เลย และข้าก็ไม่รู้ว่าพวกท่านจะมาค้นที่นี่ด้วย ข้าจะเอาของไปซ่อนไว้ที่ใดได้เล่า?” คำพูดนี้ทำให้นางหวังละอายใจอยู่บ้างจริง ๆ นางทำเช่นนี้กับบุตรสาวแท้ ๆ ฟังดูแล้วไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ชีเจิ้นก็ถูกคำพูดของชีหยวนทำให้เสียหน้าไปบ้างเช่นกันด้วยความโกรธแค้น เขาจึงยกเท้าขึ้นแล้วถีบไปที่หน้าอกของแม่นมจางเขาเกิดมาในกองทัพ เคยไปออกรบเข่นฆ่าศัตรู การถีบในครั้งนี้ ทำให้แม่นมจางกระอักเลือดออกมาในทันที และเกือบจะสิ้นสติชีเจิ้นถามอย่างกราดเกรี้ยว “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เกิดอันใดขึ้นกันแน่?!”สมองของแม่นมจางงุนงงสับสนไปหมดทว่าแม้จะสับสนสักเพียงใด นางก็รู้ตนเองดีว่าเวลานี้จะต้องไม่ยอมรับเป็นอันขาดว่าตนเองใส่ร้ายชีหยวนมิเช่นนั้น
สีหน้าของชีเจิ้นมืดมนลงอย่างฉับพลันนางหวังตวาดในทันที “เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใดกัน?!”แม่นมจางร่ำไห้พลางคลานอยู่บนพื้น “ฮูหยิน เป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ คุญชายใหญ่เป็นคนสั่งให้บ่าวทำ! ทั้งหมดนี้คุณชายใหญ่เป็นคนสั่งให้บ่าวทำเจ้าค่ะ!”ชีหยวนค่อย ๆ ยิ้มให้กับชีเจิ้น “ท่านพ่อ ดูเหมือนว่าท่านคงต้องสืบสวนคนข้างกายของท่านพี่ให้ดีเสียหน่อยแล้วนะเจ้าคะ”ในขณะนั้นนางหวังจิตใจสับสนเป็นอย่างมากหมายความว่ากระไร?หมายความว่า อาการป่วยของชีอวิ๋นถิงทั้งหมด เป็นการเสแสร้งอย่างนั้นหรือ?เป็นเพราะจงใจจะใส่ความชีหยวนอย่างนั้นหรือ?!เขา เขาเสียสติไปแล้วหรือไร!ชีเจิ้นรีบสั่งการหลิวจงโดยไม่รอช้า “เอาตัวแม่นมจางไปมัดไว้ แล้วพาตัวไปที่อุทยานฉางชิง!”หลิวจงเหลือบมองไปที่ชีหยวนอย่างไม่รู้ตัว ตัดสินใจแล้วว่า ในภายภาคหน้าจะต้องไม่ทำให้คุณหนูใหญ่ต้องอึดอัดใจเป็นอันขาด!คนผู้นี้มิอาจล่วงเกินได้เมื่อกำชับหลิวจงเสร็จ ชีเจิ้นก็กล่าวกับชีหยวนว่า “ข้าจะให้คำอธิบายแก่เจ้า!”หลังพูดจบ ก็มุ่งตรงไปที่อุทยานฉางชิงในทันทีนางหวังอยากจะตำหนิชีหยวนอีกหลายประโยค แต่เมื่อเห็นท่าทางของสามีเป็นเช่นนี้แล้ว ก็กลัวว่าสามีจะค
ชีเจิ้นโกรธเกรี้ยวราวกับถูกไฟเผาก่อนหน้านี้เขามักจะคิดว่าชีอวิ๋นถิงเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญอยู่บ้างเท่านั้น ทว่าก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรมากนักมีชายหนุ่มคนใดที่ไม่มีจิตใจเร่าร้อนฮึกเหิมบ้างเล่า? เมื่อความสับสนกับพละกำลังผ่านพ้นไป ย่อมสามารถกลับมายืนบนทางที่ถูกที่ควรได้ทว่าผู้ใดจะคิดว่าชีอวิ๋นถิงจะสารเลวถึงเพียงนี้!กินยาพิษด้วยตนเอง แล้วใช้วิชาคาถามาใส่ความน้องสาวแท้ ๆ ของตน! ช่างคิดขึ้นมาได้เสียเหลือเกิน!หากว่าเรื่องนี้รั่วไหลออกไป ชื่อเสียงของชีอวิ๋นถิงคงจะต้องย่อยยับ! ความไม่กตัญญูและไม่ซื่อสัตย์จะถูกตีตราให้กับเขาเป็นที่เรียบร้อย!โง่เง่า!เขาจับจ้องไปที่บุตรชายผู้นี้ของตนด้วยสายตาที่น่ากลัว “พูด! ผู้ใดให้เจ้าทำเช่นนี้?!”เขารู้ดีว่าชีอวิ๋นถิงเป็นคนที่มีความประพฤติเช่นไร ถึงเจ้าโง่นี่จะหุนหันพลันแล่นไปบ้าง แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะทำเรื่องเลว ๆ ความคิดที่คดเคี้ยวเช่นนี้ เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีใครคอยยุยงอยู่เบื้องหลังตอนที่ถามคำถามนี้ เขายังจงใจเหลือบมองไปชีจิ่นด้วยชั่วขณะนั้นทำให้ชีจิ่นรู้สึกหนาวไปทั่วร่าง หัวใจสั่นสะท้านนางกัดริมฝีปาก จนแทบจะได้กลิ่นเลือดที่อยู่ในปา
เรื่องในครั้งนี้ แม้ชีอวิ๋นถิงจะออกตัวรับผิดชอบทั้งหมด หัวเด็ดตีนขาดก็บอกว่าเขาทำเอง แต่ในความคิดของนางหวัง เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับชีจิ่นเป็นแน่ เพราะสองคนนี้ ตั้งแต่เด็กก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าชีจิ่นต้องการสิ่งใด แต่ไรมาก็ไม่เคยพูดออกมาตรงๆ ล้วนเป็นชีอวิ๋นถิงช่วยออกหน้าแทนนางตลอด ไม่ว่าจะถูกตำหนิหรือลงโทษ ชีอวิ๋นถิงก็พุ่งออกไปรับแทนนางทั้งหมด เมื่อก่อนไม่เคยก่อปัญหาใหญ่ ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็ก นางหวังจึงถือว่าเป็นความสนิทสนมระหว่างเด็กๆ ได้ หลับตาข้างลืมตาข้าง ทำเป็นไม่เห็นอย่างเป็นสุข แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน! ครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงอนาคตและชะตาชีวิตของชีอวิ๋นถิง! ชีจิ่นไม่อยากเชื่อ มองตนเองที่ถูกสะบัดออก ร้องเรียกออกมาอย่างตกตะลึง “ท่านแม่…” จากนั้น น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูลงมา ชีอวิ๋นถิงเห็นแล้วก็ปวดใจอย่างที่สุด รู้สึกขุ่นเคืองและไม่ยอมรับ “ท่านแม่! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอาจิ่น ท่านจะตีจะว่าก็มาลงที่ข้าสิขอรับ…” นางหวังโกรธจัด ถลึงตาใส่ชีอวิ๋นถิงเขม็ง “หุบปาก! หากเจ้ายังพูดอีกคำ ก็ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าแม่อีก ข้าจะถือเสียว่าเจ้าตายไปแล้ว!” บางทีอา
หลังจากจัดการข้ารับใช้แล้ว ต่อมาก็คือคนในเรื่องแล้ว ชีเจิ้นมองนางหวัง “ต่อจากนี้ไป ต้องอบรมชีอวิ๋นถิงอย่างเข้มงวดแล้ว! หากปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจไร้ความกริ่งเกรงเช่นนี้อีก จะเป็นการทำร้ายเขาแล้ว!” คำพูดเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่นางหวังคิดจะพูดเช่นกัน ตัวนางเองก็พูดสนับสนุนว่า “ใช่เจ้าค่ะ เขาใช้ไม่ได้เกินไปแล้วจริงๆ…” “ส่วนซีจิ่น ก็ส่งไปที่บ้านพักชานเมืองเถอะ” ชีเจิ้นไม่รอให้นางหวังพูดจบ เขาตัดบทคำพูดของนาง ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ในชั่วขณะหนึ่ง นางหวังยังไม่ทันประมวลผลคำพูดเขา รอจนได้สติกลับมา จึงเบิกตากว้าง “ท่านโหว!” นางไม่อยากเชื่อ! พวกนางเลี้ยงดูชีจิ่นมานานหลายปีถึงเพียงนี้!ไม่ว่าจะเป็น พิณ หมากล้อม อักษร หรือภาพวาด ล้วนไม่มีเรื่องใดที่ชีจิ่นไม่ชำนาญ และยามพาออกไปข้างนอก ก็เป็นตัวแทนของหน้าตาและศักดิ์ศรีของจวนโหว จวนหย่งผิงโหวก็บอกกับบุคคลภายนอกว่า ในอดีตนั้น ที่คลอดออกมาเป็นฝาแฝด เพียงแต่ผู้เป็นพี่หายไปและหาพบแล้วเท่านั้น แต่เวลานี้กลับจะส่งตัวชีจิ่นออกไป? นางรู้สึกลังเลและตัดใจไม่ได้อยู่บ้าง “ท่านโหว เรื่องนี้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นอาจิ่นที่…” ชีเจิ้นมองนางอย่างผิดหวัง “ผู้
ทว่าชีหยวนที่รู้แต่แรก กลับไม่ยอมเปิดโปง แต่ใช้แผนซ้อนแผน ล่อเสือออกจากถ้ำ หลอกล่อแม่นมจางและชีอวิ๋นถิงให้ตกสู่กับดักทีละก้าว นางจงใจทำเช่นนั้น จงใจให้ชีเจิ้นได้เห็นว่า เพื่อชีจิ่นแล้ว ชีอวิ๋นถิงสามารถทำได้ถึงขั้นใด และก็จงใจให้ชีเจิ้นได้เห็นว่า ชีอวิ๋นถิงซึ่งเป็นบุตรชายคนโตผู้ถือกำเนิดจากภริยาเอก ที่จะกลายเป็นผู้สืบทอดจวนโหวในอนาคตนั้น ขาดคุณสมบัติอันเหมาะสมเพียงใด นี่มัน… จิตใจเย็นชาเกินไปแล้วจริงๆ! ทว่ายามนี้ เมื่อชีเจิ้นพูดถึงชีหยวน ก็เต็มไปด้วยคำชื่นชมและความชอบใจ ทำให้นางหวังไม่อาจพูดสิ่งใดได้มากนัก ได้แต่พยักหน้าด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยว่า “เจ้าค่ะ ท่านโหววางใจเถอะ ข้ารู้แล้ว” จากนั้น ชีเจิ้นก็แยกจากนางหวังและตรงไปที่หอหมิงเยว่ ที่หอหมิงเยว่ ไป๋เจ๋อวิ่งร่างกายสั่นสะท้านเข้ามา คุกเข่าผลุบลงเบื้องหน้าชีหยวน น้ำเสียงยังคงสั่นเทาด้วยความประหม่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เมื่อครู่ข้าเห็นคนลากแม่นมจางไปแล้วเจ้าค่ะ แม่นมจางแม้แต่พูดก็พูดไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ!” ชีหยวนกำลังอ่านหนังสือ นางราวกับคาดเดาได้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋จื่อ ก็ทำเพียงหัวเราะเท่านั้น
ท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล ในที่สุด จวนหย่งผิงโหวที่วุ่นวายมาค่อนคืน ก็เข้าสู่ความสงบในช่วงสั้นๆ สรรพสิ่งรอบกายเงียบสงัด แม้แต่หญิงรับใช้ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูยังหลับสัปหงกอยู่บนโต๊ะ และยังหาวออกมาเป็นระยะ ในขณะที่กำลังสะลึมสะลือนั่นเอง นางพลันได้ยินเสียงทุบประตูดัง ‘ปังปังปัง’ อย่างเร่งร้อน เสียงนี้ทำให้นางสะดุ้งขึ้นมา ตอนแรกยังคิดว่าตนเองกำลังฝันไป รอจนเสียงยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จึงรีบปาดน้ำลายทีหนึ่ง จากนั้นวิ่งมาเปิดประตูเรือน เมื่อประตูเรือนถูกเปิดออก เกาเจียที่กำลังขมวดคิ้วอยู่ก็ตำหนิออกมาว่า “ทำอะไรอยู่ฮึ? เปิดประตูแค่นี้ก็ยังอืดอาดชักช้า!” หญิงรับใช้หวาดหวั่นจนสีหน้าซีดขาว รีบอธิบายว่า “ลมแรงเกินไปน่ะเจ้าค่ะ เลยคิดไม่ถึงว่าท่านจะมาในเวลานี้…” นางหวังที่อยู่ข้างหลังกระแอมขึ้นมาทีหนึ่งอย่างหมดความอดทน “อย่าได้พูดมาก เข้าไปแล้วค่อยว่ากัน!” เกาเจียรีบรับคำ ดันหญิงรับใช้ที่เฝ้าประตูออก จากนั้นประคองนางหวังเดินเข้าไป ภายในห้อง บรรดาสาวใช้ทั้งหลายล้วนยังไม่เข้านอน ต่างก็อยู่เป็นเพื่อนชีจิ่นอย่างระมัดระวัง วันนี้พวกนางก็มองออกแล้วว่า เกรงว่าท่านโหวคงโมโหคุณหนูของพว
นายท่านผู้เฒ่ารองโจวรู้สึกจนใจ เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้ให้ฟังเมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าโจวโกรธจนแทบกระอักเลือด นายท่านผู้เฒ่ารองก็กลั้นใจพูดว่า “คำเล่าลือพูดต่อ ๆ กันไปมากเข้าจะกลายเป็นจริง หากปล่อยให้แพร่กระจายออกไป ย่อมไม่เป็นผลดีกับตระกูลเรา เกรงว่าคงต้องขอให้ท่านและโจวผิงอดทนอดกลั้นสักหน่อย รีบไปรับภรรยาของโจวผิงกลับมา เรื่องนี้ถึงจะสงบลงได้”เรื่องภรรยาเอกเท่าเทียมนั้นก็อย่าได้คิดจะพูดถึงอีกต่อไปคงต้องหาวิธีประกาศต่อภายนอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความเข้าใจผิดไม่เช่นนั้น ซุ้มประกาศเกียรติคุณที่เหลืออยู่คงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้วโจวผิงที่มีความรู้กว้างขวางกว่าฮูหยินผู้เฒ่าโจวเล็กน้อย เมื่อได้รับสัญญาณจากนายท่านผู้เฒ่ารอง จึงได้แต่พยายามกล้ำกลืนความโกรธในใจ ช่วยพูดปลอบฮูหยินผู้เฒ่าโจวจนสงบลงได้ในที่สุดทั้งครอบครัวจึงนำของขวัญติดตัวไปยังจวนตระกูลชีในทันทีฮูหยินผู้เฒ่าชีและคนอื่น ๆ ต่างก็ทราบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วเมื่อได้ยินว่าชีหยวนไปหาโจวคุนและให้เขาทุบซุ้มประกาศเกียรติคุณของตระกูลโจว ทุกคนต่างมีสีหน้าแปลกใจโดยเฉพาะชีฟางอวิ๋น นางอ้าปากค้างพลางร้องออกมา
หลังจากขว้างหินเสร็จ ไป๋จื่อก็แอบย่องกลับไปข้างชีหยวน แต่ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “คุณหนูเจ้าคะ ท่านดูนั่นสิ!”นางชี้ไปที่ต้นไม้ข้าง ๆ ชีหยวนจึงหันไปมอง ก็เห็นว่าลิ่วจินกำลังนั่งอยู่บนยอดไม้โบกมือทักทายนางชัดเจนว่า คนที่เริ่มนำปาไข่ไก่เมื่อครู่ก็คือเขานั่นเองช่าง...ชีหยวนไอเบา ๆ หนึ่งครั้ง ก่อนหมุนตัวขึ้นไปบนรถม้าไป๋จื่อรีบตามขึ้นไป พลางมองชีหยวนด้วยความตื่นเต้นดีใจ “คุณหนูเจ้าคะ แล้วเราจะทำอะไรต่อดี?”ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณหนูถึงบอกว่าชอบจัดการเรื่องแบบนี้ที่แท้ การได้เห็นผู้ชายเลว ๆ ต้องขายหน้ามันทำให้มีความสุขถึงเพียงนี้นี่เอง!ใช่แล้ว ทำไมความทุกข์ยากลำบากต้องตกอยู่กับผู้หญิง แต่ผู้ชายกลับได้ประโยชน์!ควรจะให้พวกผู้ชายเลว ๆ เหล่านี้ได้รับบทเรียนอย่างสาสมเสียบ้าง!ชีหยวนเอนตัวพิงไปด้านหลัง พร้อมยิ้มบาง ๆ “ต่อจากนี้ ก็รอให้คนมาขอร้องเราเอง”บนต้นไม้ เมื่อเห็นชีหยวนขึ้นรถม้าจากไป ลิ่วจินก็ลูบคอตัวเองเบา ๆ ก่อนหันไปมองปาเป่า “ไม่รู้ทำไม ข้ารู้สึกว่าคอมันเย็นวูบวาบยังไงไม่รู้”ปาเป่ากลอกตา “เพราะมือเจ้ามันซุกซนเอง! องค์ชายสั่งให้เราคุ้มครองคุณหนูให
ชื่อเสียงของตระกูลโจวเลื่องลือไปทั่วเพราะเรื่องนี้เมื่อก่อนตอนที่ผู้คนได้ยินเรื่องราวนี้ ล้วนทอดถอนใจเป็นเสียงเดียวกันว่าบุตรีตระกูลโจวนั้นเปี่ยมด้วยคุณธรรมและจงรักภักดี และตระกูลโจวก็เป็นคนรักษาสัจจะแต่ตอนนี้ เมื่อคำพูดของโจวคุนดังออกมา เกรงว่าในอนาคต หญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวงคงพากันเกลียดชังโจวผิงเข้ากระดูกดำก็จริงไม่ใช่หรือ?สตรีตระกูลโจวยอมเสียชีวิตไปเพื่ออะไร? เพื่อแลกมากับการที่บุรุษในตระกูลจะใช้ชีวิตเหลวแหลกโดยไร้ความยับยั้งชั่งใจอย่างนั้นหรือ?เดิมที การมีเล็กมีน้อยไม่ใช่เรื่องผิดอะไรสำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มักเป็นเรื่องปกติในยามที่ยังไม่ได้แต่งภรรยาก็ติดพันสถานเริงรมย์ พอแต่งงานแล้วก็มักมีสามภรรยาสี่อนุสิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นเรื่องแสนธรรมดาแต่มีเพียงตระกูลธรรมดาเท่านั้นที่เป็นเช่นนั้นทว่าสำหรับตระกูลโจว ในเมื่อตระกูลโจวยึดถือชื่อเสียงอันดีงามเช่นนี้ ก็ควรให้ทั้งชายและหญิงได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันมิใช่หรือ?ไป๋จื่อที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลถึงกับถ่มน้ำลายออกมาอย่างอดไม่ไหว “คนบ้าอะไร! สตรีต้องแต่งงานกับป้ายวิญญาณหลังคู่หมั้นตาย แต่บุรุษกลับเสเพลเลี
ตระกูลโจวนั้น แม้จะเป็นขุนนางแต่ก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก สิ่งที่ทำให้ตระกูลโจวเป็นที่รู้จักอย่างแท้จริง ก็คือซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ที่ตั้งอยู่หน้าศาลบรรพบุรุษตระกูลโจว!ห่างออกไปเพียงหนึ่งหรือสองจั้ง ก็จะเห็นซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ตั้งตระหง่านอยู่สูงส่ง ตามแนวถนนรอบศาลบรรพบุรุษตระกูลโจว มีซุ้มประกาศเกียรติคุณเรียงรายถึงสิบสองถึงสิบสามซุ้มดังนั้น ถนนสายนี้จึงถูกเรียกว่าถนนซุ้มประกาศเกียรติคุณโจวผิงริมฝีปากสั่นระริก เมื่อเห็นผู้คนกลุ่มใหญ่มากมายมุงล้อมถนนซุ้มประกาศเกียรติคุณอยู่ไกล ๆ เขาควบม้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกระโดดลงจากหลังม้า พลางตะโกนเสียงดังลั่น “ใครทำ?! ใครกล้ามาแตะต้องซุ้มประกาศเกียรติคุณของตระกูลโจวข้า?!”แน่นอนว่าทุกคนในตระกูลโจวไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนเดียวกันทั้งหมดดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องขึ้น คนในตระกูลที่อยู่ใกล้ศาลบรรพบุรุษก็รีบมาดูสถานการณ์ทันทีในเวลานี้ นายท่านผู้เฒ่ารองโจวที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่สุดในตระกูลคนหนึ่ง ได้จับแขนโจวผิงไว้ พลางขมวดคิ้วแน่นและถามว่า “พวกเจ้าทำอะไรลงไป!”......โจวผิงทำหน้าตางุนงง ซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ถูกทุบ
นางร้องไห้พลางพูดว่า “ไม่ได้ ข้าต้องกลับไป! หรูอี้สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้ว หากข้าไม่อยู่ที่จวน ไม่รู้ว่าแม่สามีจะทำอย่างไรกับนางบ้าง!”ฮูหยินผู้เฒ่าชีโกรธจนมือสั่นเพิ่งจะกลับมาบ้านเดิมไม่ทันไร เด็กก็ป่วยเสียแล้ว ไหนเลยจะบังเอิญเช่นนี้?นี่มันชัดเจนว่ากำลังใช้ลูกมาเป็นเครื่องมือบีบคั้นตระกูลชี คิดว่าตนเองเหนือกว่าจึงไม่หวาดกลัว พวกเขามั่นใจว่าชีฟางอวิ๋นไม่อาจทิ้งลูกได้ฮูหยินผู้เฒ่าชีอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วมองไปที่ชีหยวน “อาหยวน เจ้ามีวิธีอะไรบ้างหรือไม่?”“วิธีมีมากมายเจ้าค่ะ” ชีหยวนยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบ “เพียงแค่ต้องดูว่าท่านป้าจะยอมเสียสละอะไรหรือไม่เท่านั้น”ฮูหยินผู้เฒ่าชีตัดสินใจแทนบุตรสาวทันที “ยอม! หากพวกเขากล้าก่อเรื่อง เราก็จะตอบโต้ด้วยเรื่องที่ใหญ่กว่า! เจ้าลงมือจัดการไปได้เลย!”พอเห็นชีหยวนเดินออกไป ชีฟางอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองคนทั้งสามในห้อง “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไรกัน? ทำไมพวกท่านถึงให้ชีหยวนเป็นคนจัดการเรื่องนี้เล่าเจ้าคะ?”ชีเจิ้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยแต่ฮูหยินผู้เฒ่าชีกลับยิ้มบาง ๆ “เพราะไม่มีใครเหมาะที่จะช่วยเจ้าแก้แค้นไ
นางฟังผิดไปหรือไม่?เรื่องแบบนี้ ไฉนจึงไปถามเด็กสาวผู้ยังมิได้ออกเรือน?จริงสิ ตั้งแต่นางมาถึงก็ไม่เห็นสะใภ้ใหญ่ หวังซื่อ เลยสักครั้ง!ตามปกติแล้ว หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่ใช่ว่าควรที่จะเรียกสะใภ้ใหญ่มาคิดหาวิธี แล้วจึงเอ่ยปลอบหรอกหรือ?หรือว่าในจวนนี้มีเรื่องใดเกิดขึ้น?สุนัขที่ฮูหยินผู้เฒ่าชีเลี้ยงไว้เดินวนเวียนอยู่รอบปลายเท้าของชีหยวน นางจึงอุ้มมันขึ้นมาลูบเล่นเบา ๆ ครั้นได้ยินคำถามของฮูหยินผู้เฒ่าชี นางจึงหันไปมองชีฟางอวิ๋น และกล่าวด้วยเสียงทุ้มว่า “ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านป้าอยากให้เป็นเช่นไร?”......ชีฟางอวิ๋นกล่าวด้วยความขมขื่นเต็มอกว่า “ข้าจะทำอะไรได้เล่า? บ้านพวกเขาก็แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการบีบคั้นข้า เห็นว่าตอนนี้ลูกของข้าก็โตจนถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ จะทะเลาะกับพวกเขาก็ทำไม่ได้!”ฮูหยินผู้เฒ่าชีก็อดกลั้นความโกรธไว้อย่างสุดกำลัง “เรื่องภรรยาเท่าเทียมนี้มันไร้สาระสิ้นดี! ภรรยาเท่าเทียมอะไร ตระกูลที่มีกฎเกณฑ์ไม่เคยยอมรับเรื่องเหล่านี้ มีแต่พวกพ่อค้าต่ำศักดิ์เท่านั้นที่ทำกัน พูดว่าเท่าเทียมกัน แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็แค่ปัญหายุ่งเหย
แต่ก่อนไม่มีการเปรียบเทียบ ดังนั้นท่านโหวผู้เฒ่าจึงรู้สึกว่าแม้บุตรชายจะไม่มีความสามารถมากนัก แต่อย่างน้อยก็สามารถรักษาสิ่งที่มีไว้ได้แต่ตอนมีชีหยวน หลานสาวที่เด็ดขาดและเฉียบขาดเป็นตัวเปรียบเทียบ เขาจึงรู้สึกว่าบุตรชายช่างลังเลและไม่มีความกล้าหาญเช่นบุรุษเสียเลยเขาจึงไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป พูดตรงไปตรงมาว่า “บุตรสาวของเจ้าได้เลือกทางเดินให้เจ้าแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ เจ้ากำลังเพ้อฝันอยู่หรือไง?”ชีเจิ้นยิ้มขมขื่นใช่แล้ว เหตุผลที่ชีหยวนยอมลดตัวกลับมา ท้ายที่สุดก็คงเป็นเพราะข่าวของพระชายาหลิ่วที่เขามีอยู่ในมือเขาถอนหายใจช้า ๆ “เช่นนั้นลูกจะไปหานาง...”ก่อนที่คำพูดจะจบ หลิวจงเคาะประตูพลางหอบหายใจ “ท่านโหวผู้เฒ่า ท่านโหว! เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”......ไยถึงมีเรื่องอีกแล้ว?ชีเจิ้นนวดหัวคิ้วตัวเอง มองไปทางผู้เป็นบิดาอย่างอ่อนใจ แล้วตะโกนเสียงต่ำ “เข้ามา!”เมื่อหลิวจงเข้ามา เขาก็รีบถามทันที “คุณหนูใหญ่ทำอะไรอีกหรือ?”หลิวจงอุทานอย่างสงสัยออกมาหนึ่งที ก่อนจะเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตน “คุณหนูใหญ่? ท่านโหว ไม่ใช่คุณหนูใหญ่หรอกขอรับ!”โหวผู้เฒ่ากระแอมไอออกมาเบา ๆ หน
อ๋องฉีไม่รู้สึกว่านี่เป็นความโชคดี เมื่อเซี่ยกงกงยิ้มแย้มอีกครั้งและนำพระราชโองการมา เขาก็รู้สึกว่าโลหิตในร่างกายไม่ไหลเวียนตั้งแต่ยังเยาว์วัย อ๋องฉีได้รับความรักความเอ็นดูมากที่สุด ความยากลำบากที่สุดที่อ๋องฉีเคยได้ประสบคือสมรสพระราชทานที่ให้เขาแต่งหญิงกำพร้าเป็นพระชายาแต่เรื่องนั้นก็ถูกเขาจัดการได้ในทันที เขาก็เป็นคนแบบนี้ เห็นอะไรที่ไม่ถูกใจก็ไม่ทนแต่ครั้งนี้ เขาถึงกับถูกลดบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง!จวิ้นอ๋องกับชินอ๋อง ต่างกันเพียงตัวอักษรเดียว แต่สิ่งที่ได้รับห่างไกลกันมาก สิ่งที่เขาต้องเสียไปไม่ใช่เพียงแต่เงินทองปีละน้อยนิดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองครักษ์ด้วยตามปกติ ชินอ๋องที่ไปเขตปกครองมักจะมีกองทหารองครักษ์ตั้งแต่สามถึงห้าหมื่นนาย ซึ่งเป็นกองทหารองครักษ์ส่วนตัวและเป็นรากฐานความปลอดภัยในชีวิตของอ๋องผู้นั้นแต่หากเป็นจวิ้นอ๋อง ไม่เพียงจำนวนกองกำลังจะต้องลดลงกว่าครึ่งหนึ่งเท่านั้น ยังมีผลประโยชน์อื่น ๆ ที่ได้รับน้อยลงทั้งหมดอีกด้วยเขากัดฟันขอบพระทัย พอกลับเข้ามาก็ทำลายทุกสิ่งที่สามารถทุบทำลายได้ในห้องหนังสือในราชวงศ์ต้าโจว อ๋องฉีผู้ซึ่งเคยได้รับเกียรติเหนือกว่ารัชทายาท พลั
จวนอ๋องนั้นถูกสร้างเสร็จสิ้นหลังจากผ่านไปสามปีพวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ร่วมทุกข์สุขด้วยกันจริง ๆ ได้ไปยังจางโจวแดนดินที่แสนจะทุรกันดาร ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครอง ร่วมกันสร้างจวนอ๋องจากที่ไม่มีอะไรเลย ให้ความรู้ชาวบ้านและสร้างท่าเรือรอคอยจนกระทั่งสถานการณ์พลิกผัน เขาได้เข้าเมืองหลวงขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่พระชายาหลิ่วกลับเป็นแค่พระชายาเอกในอ๋องตลอดไปถึงแม้ทุกวันนี้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางยังคงรู้สึกเจ็บปวดหลังจากที่อ๋องฉีประสูติ จำนวนครั้งที่เขาฝันถึงพระชายาหลิ่วก็ค่อย ๆ ลดลงด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงรู้สึกยิ่งว่าอ๋องฉีคือพระโอรสที่เขาและพระชายาหลิ่วสูญเสียไป และเด็กคนนั้นได้กลับมาเกิดใหม่เพื่อเป็นพระโอรสของเขาอ๋องฉีคือพระโอรสที่เขาได้อุ้มบ่อยมากที่สุดความรู้สึกผิดที่ยากจะบรรยายเหล่านั้นกลายเป็นความรักที่เขามีต่อพระโอรสผู้นี้หลิ่วกุ้ยเฟยทราบดีถึงพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางในเวลานี้สิ่งที่นางเพียรพยายามทำมาโดยตลอด ในที่สุดบัดนี้ก็ได้ผลแล้วนี่ก็คือเหตุผลที่นางใช้วิธีต่าง ๆ ทุกวิถีทาง เพื่อให้ฮ่องเต้หย่งชางมีส่วนร่วมในการเติบโตของอ๋องฉีความรู้สึกนั้นเกิดขึ