อันที่จริงหากเป็นแค่การเล่นสนุกกับสตรีสักคน เรื่องก็คงไม่บานปลายกลายเป็นคลื่นพายุที่ใหญ่โตเพียงนี้ เพราะถึงอย่างไรเรื่องที่ภรรยาคนก่อนของอ๋องเฉิงเสียชีวิตอย่างประหลาด ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจว่าเรื่องราวไม่ธรรมดา ทว่าตราบใดที่เรื่องราวไม่บานปลายใหญ่โต ไม่บานปลายถึงขั้นทำให้สวรรค์โกรธกริ้วมนุษย์ขุ่นเคือง จนนำมาซึ่งเสียงวิจารณ์และความโกรธแค้นของมวลชน ทุกอย่างก็พอจะหารือกันได้ ทว่าครั้งนี้กลับพิเศษเกินไป อ๋องเฉิงและคุณชายรองหลิ่วลักลอบล่วงประเวณี มิหนำซ้ำยังฆ่าคนตาย ขณะเดียวกันก็เกิดความขัดแย้งภายในขึ้นจนต้องเข่นฆ่ากันเอง สุดท้ายก็ตายอย่างน่าอัปยศ อย่าว่าแต่บรรดาผู้ตรวจการทั้งหลายพากันมาร้องโวยว่าศีลธรรมเสื่อมทรามจิตใจผู้คนสูญสิ้นความดี จนถึงขั้นมาคุกเข่าหน้าพระตำหนักไท่จี๋เพื่อเรียกร้องขอให้ฮ่องเต้หย่งชางทรงถอดยศของอ๋องเฉิงและลงโทษทัณฑ์จวนฉู่กั๋วกงอย่างหนักเลย แม้แต่ตัวฮ่องเต้หย่งชางเองก็ทรงโกรธกริ้วมิต่างกัน ฉู่กั๋วกงได้ฟังถ้อยคำที่แฝงด้วยความนัยของเซี่ยกงกง หัวใจพลันกระตุกวูบ แน่นอนว่าเขาย่อมเข้าใจว่าเซี่ยกงกงต้องการจะสื่ออะไร เซี่ยกงกงเป็นคนสนิทของฮ่องเต้หย่งชาง สามารถกล่
จะปลดผู้ใดออกจากตระกูล? นายท่านผู้เฒ่ารองเป็นคนแรกที่โวยวายขึ้นมาก่อน: “พี่ใหญ่ ใช่ว่าข้าอยากจะตำหนิหลานชายตนเองว่าไม่ดี ทว่าเรื่องนี้มันน่าอับอายขายหน้าเกินไปจริง ๆ! ศักดิ์ศรีเกียรติยศทั้งหมดของตระกูลเรา ให้เจ้ารองทำเสื่อมเสียหมดแล้ว!” เขาโกรธจนทนไม่ไหว กระทืบเท้าระบายโทสะออกมาไม่หยุด: “อยากจะทำเรื่องต่ำช้านัก ก็หัดเลือกสถานที่เงียบ ๆ ลับตาคนสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ?” เหตุใดถึงได้กล้าทำเรื่องเลวทรามได้เอิกเกริกไม่มีเกรงกลัวกันได้ขนาดนี้?! นี่มันใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจนักหรืออย่างไร? ถึงขั้นต้องถ่อไปทำเรื่องพรรค์นี้ในงานฉลองครบรอบวันเกิดของผู้อื่น! นายท่านสามแม้จะเห็นแล้วว่าสีหน้าของพี่ใหญ่ตนเองดูย่ำแย่ยิ่งนัก แต่กระนั้นก็ยังผงกศีรษะพลางเอ่ยอย่างเห็นด้วย: “เจ้ารองเหลวแหลกเกินไปแล้วจริง ๆ! สมควรเป็นคนสกุลหลิ่วเราเสียที่ไหน? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ลำพังแค่พระเกียรติยศของกุ้ยเฟยและจวิ้นอ๋องก็ถูกเขาทำให้มัวหมองไปด้วยแล้ว!” อารมณ์ของฉู่กั๋วกงที่เพิ่งสงบลงได้ไม่นานพริบตาเดียวก็กลับมาเลวร้ายลงอีกครั้ง ทั้งที่บุตรชายของเขาบริสุทธิ์ ทว่าบัดนี้กลับถูกตำหนิจากทั่วสารทิศ และบิดา
ต่อให้เป็นเช่นนี้ แต่อันที่จริงฮ่องเต้หย่งชางก็ยังรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของไทเฮาและตวนกุ้ยไท่เฟยเสมอมา มิเช่นนั้นแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่อ๋องเฉิงเคยก่อเรื่องวุ่นวายไม่เข้าท่าไปมากมายเพียงนั้น ถึงขั้นจับสาวใช้ในจวนมาทำเป็นเป้ายิงธนู เขาก็คงไม่ทำเป็นหลับตาข้างเดียวและมองข้ามไปหรอก แต่ทุกเรื่องล้วนมีความหนักเบาต่างกันออกไป และเรื่องเมื่อปีก่อนนั้นของอ๋องฉี ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครสามารถหาหลักฐานมาได้ ทุกคนล้วนทราบดีว่าเขาเป็นคนเลว ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถพูดออกมาได้ว่าแท้จริงแล้วเขาเลวอย่างไร ทว่าครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป ฮ่องเต้หย่งชางชี้นิ้วไปด้านนอก: “ก่อนเสด็จแม่จะเข้ามา คงเห็นแล้วว่าผู้ตรวจการเถี่ยได้นำเหล่าขุนนางประจำสำนักตรวจการพากันมาคุกเข่าอยู่ด้านนอก เสด็จแม่ ลูกมิประสงค์จะเป็นฮ่องเต้ทรราช และมิได้ต้องการให้เสด็จแม่กลายเป็นไทเฮาปีศาจ หวังว่าท่านจะเข้าใจในความรู้สึกของลูก!” ถึงอย่างไรนั่นก็มิใช่แม่ลูกกันโดยสายโลหิต ไทเฮาเองย่อมทราบลำดับความสำคัญดี ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้หย่งชางเองก็ตรัสถึงขั้นนี้แล้ว สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปทันที สุดท้ายก็ยอมผงกศีรษะและเอ่ยขึ้นว่า: “ข
ชีหยวนชำเลืองมองเขาอย่างเฉยชา ก่อนยกมุมปากขึ้นเอ่ย: “ข้าน้อยพูดผิดไปหรือท่านอ๋อง? ก่อนหน้านี้ท่านเห็นข้าน้อยสังหารอ๋องเฉิงแล้ว การตอบสนองแรกสุดของท่านก็คือบอกกับข้าน้อยว่า ท่านเตรียมหนทางรับมือเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่อยู่ด้วยกันทั้งชาตินี้และในชาติก่อน ชีหยวนพอจะเข้าใจเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงของเซียวอวิ๋นถิงอยู่บ้าง นางเอียงศีรษะถาม: “วิธีของท่านอ๋อง ก็คงไม่ต่างจากสิ่งที่ข้าคิดไว้เท่าใดนัก?” มิเช่นนั้นจะตอบสนองได้รวดเร็วเพียงนั้นได้อย่างไร คุณชายรองหลิ่วก็กำลังดื่มสุราอยู่ดี ๆ ที่เรือนหน้า มีหรือจะบังเอิญถูกเซียวอวิ๋นถิงหลอกพาตัวมาได้ในจังหวะเวลาที่ประจวบเหมาะเช่นนั้น แต่จะมาเถียงเรื่องเหล่านี้ในตอนนี้ไป ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ครู่เดียวนางก็เปลี่ยนประเด็นสนทนาทันใด: “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ตอนที่ข้าสังหารอ๋องเฉิง ยังมีคนของอ๋องฉีและสกุลหลิ่วซ่อนตัวอยู่ในสวน!” แม้นางจะไม่ทราบว่าเหตุผลใดบุคคลผู้นั้นถึงไม่ได้โต้ตอบอะไรออกมาในตอนนั้น และมิได้ออกมาขัดขวางนางตอนสังหารอีกคน ทว่าบุคคลผู้นั้นก็หนีไปแล้ว ถึงอย่างไรก็นับเป็นอันตรายที่แฝงเร้นไว้อยู่ดี เซียวอวิ๋นถิงเปล
แต่ใครเล่าจะทราบท่านอ๋องกลับไม่มีท่าทีตอบสนองแม้เพียงสักนิด แบบนี้ยิ่งน่ากลัวกว่าเดิมเสียอีก! คนหากได้รับแรงกระทบกระเทือน แม้จะคลุ้มคลั่งเสียสติไปก็ยังบ่งบอกได้ว่าสมองของเขายังคงรู้สึกตัวดีอยู่ ทว่าบัดนี้… ครั้นประตูปิดลง ชีจิ่นพลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นก็ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นอย่างหนัก ก่อนจะโขกศีรษะต่ออ๋องฉีอย่างสุดแรง: “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีความผิด หม่อมฉันมีความผิดเพคะ!” สภาพจิตใจของอ๋องฉีบัดนี้ย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด ลำพังแค่ขาของเขาจนถึงตอนนี้ยังไม่ฟื้นตัวหายดี ก็น่าหงุดหงิดมากพออยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าหลังกลับมาจะยังคงพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่แบบนี้! ผิดกับชีหยวนนางหญิงแพศยาคนนั้น กลับได้ทุกสิ่งที่นางต้องการไปหมดแล้ว ทั้งปกป้องสกุลเซี่ยไว้ได้ และยังปลิดชีพหลิ่วจิงหงไป มิหนำซ้ำยังทำลายองครักษ์ลับที่เขาเพียรสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบากไปด้วยอีก บัดนี้แม้แต่อ๋องเฉิงและคุณชายรองหลิ่วก็ยังถูกนางฆ่าตายจนหมดสิ้น! มีสิทธิ์อะไร? นางก็เป็นแค่อิสตรีคนหนึ่งก็เท่านั้น! สตรีคืออะไร? คือของขาดทุนมาแต่กำเนิด แค่เกิดมาก็อยู่ต่ำกว่าบุรุษเพศอยู่หนึ่งขั้นแล้ว พ
เสี้ยวพริบตาเดียวนั้น ขนทั่วทั้งร่างของชีจิ่นพลันลุกชันขึ้นมา นางย่อมรู้ดีหากตนเองถูกลากออกไปจากห้องนี้ นั่นหมายถึงต้องตายอย่างแน่นอน ทว่านางไม่อยากตาย ตอนแรกชีเจิ้นสั่งให้นางหวังสังหารนาง นางไม่อยาก บัดนี้นางยิ่งไม่อยาก หลังจากได้สัมผัสวิถีชีวิตของชีหยวนด้วยตนเองแล้ว นางยิ่งไม่อยากตาย มีสิทธิ์อะไรกัน?! ทั้งที่นางได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาดีกว่าชีหยวน ได้รับสิ่งต่าง ๆ ที่มากกว่าชีหยวนเป็นเท่าตัวมาตลอด ในเมื่อชีหยวนสามารถมีชีวิตที่ดีขนาดนี้ได้ นางก็ต้องมีได้เหมือนกัน! นางก็แค่ยังมีจิตใจโหดเหี้ยมไม่พอ ขอเพียงแค่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตมากพอ ไร้ยางอายมากพอ และกล้าได้กล้าเสียมากพอ นางก็จะมีชีวิตที่ดียิ่งกว่านี้ได้แล้ว! ความรู้สึกอยากเอาชนะและความหวาดกลัวอันมหาศาลนี้ ได้ปลุกความมุ่งมาดปรารถนาอยากมีชีวิตรอดที่แข็งแกร่งที่สุดของนางออกมา นางเบิกตากว้างจ้องมองอ๋องฉีอย่างไม่วางตา: “ท่านอ๋อง สกุลชี! ไม่มีผู้ใดเข้าใจสกุลชีไปมากกว่าหม่อมฉันแล้วเพคะ! หม่อมฉันแค่ยังเข้มแข็งไม่พอ ทว่าหม่อมฉันสามารถยืมแรงผู้อื่นสังหารอีกฝ่ายได้แน่ ในสกุลชีหม่อมฉันมีมีดเล่มหนึ่งน่าใช้งานที่สุด!” ค่อยน
หลายครั้งเหลือเกินที่นางลืมไปแล้วว่าตนเองยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่ ครั้งสุดท้ายที่ได้นั่งละเลียดน้ำชาอยู่ในเรือนแบบนี้ ราวกับว่าเป็นเรื่องของชาติที่แล้วอย่างไรอย่างนั้น นางค่อย ๆ หลับตาลง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา: “จวนจะถึงวันปีใหม่แล้วสินะ” สาวใช้ข้างกายหัวเราะออกมา พลางก้าวขึ้นมาและรินน้ำชาให้นาง “ใช่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู จวนจะถึงวันปีใหม่แล้ว แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวต่างก็เริ่มแขวนโคมไฟ ทำความสะอาดสิ่งของกันแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูดูสิเจ้าคะหลายวันมานี้ บนหน้าต่างตามท้องถนนมีกุนเชียงกับเนื้อตากแห้งแขวนเอาไว้ทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ” ชีจิ่นลูบถ้วยน้ำชา ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงจะเปล่งเสียงรับคำออกมา นางไม่มีครอบครัวให้ฉลองวันปีใหม่ร่วมกันอีกแล้ว แต่ก็ช่างปะไร อีกไม่นานชีหยวนก็จะไม่มีเหมือนกัน สกุลชีเองก็จะไม่มีอีกแล้วเช่นกัน นางจะทำให้คนเหล่านี้ที่เคยทอดทิ้งนางคุกเข่าลง คุกเข่าลงต่อหน้านางอ้อนวอนร้องขอให้นางยอมให้อภัย หลังจากดื่มน้ำชาคำสุดท้าย นางก็เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า: “จงไปเก็บข้าวของ และทำตามที่ข้าสั่ง ปล่อยข่าวลือออกไปล่วงหน้า” สาวใช้ขานรับคำสั่งทันที ขณะเดียวกัน สกุลชีทั้งนา
อันที่จริงตอนแรกโหวผู้เฒ่าชีก็มิได้ชอบสุนัขตัวนี้มากนัก และมันก็มิใช่สายพันธุ์เลอค่าอะไร หากจะพูดถึงความงดงามแล้วยังเทียบกับสุนัขสิงโตสีขาวปลอดที่ฮูหยินผู้เฒ่าเลี้ยงไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป ทว่าทุกสิ่งย่อมมีข้อยกเว้น ใครขอให้เจ้าสุนัขตัวนี้เป็นสุนัขของชีหยวนกัน ในเมื่อชีหยวนสามารถเดินอย่างผึ่งผายอยู่ในจวนโหวแห่งนี้ได้ ก็เป็นธรรมดาที่สุนัขของนางจะไม่เหมือนสุนัขตัวอื่นในจวน หลังจากโหวผู้เฒ่ากลับไปก็กำชับห้องครัวว่า อาหารของเจ้าสุนัขตัวนี้จะต้องเหมือนกับสุนัขสิงโตของฮูหยินผู้เฒ่า หรืออาจจะต้องดีกว่าด้วย! ไม่เพียงเท่านั้น ยังสั่งให้คนไปหาบ่าวรับใช้ส่งไปช่วยชีหยวนเลี้ยงสุนัขตัวนั้นโดยเฉพาะ การกระทำที่ยิ่งใหญ่เกินหน้าเกินตาของเขา ทำให้นางหวังอดถามด้วยความสงสัยออกมาไม่ได้: “เจ้าว่าอย่างไรนะ? จะสร้างเรือนให้ผู้ใดหรือ?” แม่นมสวีแสดงสีหน้าท่าทางใหญ่โตเป็นที่สุด น้ำเสียงยังเจือด้วยความริษยา: “จะใครเสียอีกเจ้าคะฮูหยิน? บัดนี้ในจวนของเรา ทั้งนายบ่าวรวมกัน ใครที่ไหนเล่าจะได้รับความรักความเอ็นดูมากไปกว่าคุณหนูใหญ่?” พูดถึงชีหยวน สีหน้าของนางหวังก็ดูปรวนแปรจนมิอาจคาดเดา ถูกต้องแล้ว ในจวนยามน
ชีอวิ๋นถิงรินน้ำชาให้ชีหยวนอย่างเป็นธรรมชาติ: “นี่คือชาอิ๋นเจินของหอไท่ไป๋ ออกรสไว มีรสชาติค้างอวลอยู่ในปาก เจ้าลองดูสิ”ชีหยวนดูเหมือนจะสนใจทิวทัศน์ภายนอกเป็นอย่างมาก มิได้ระแวดระวังอะไร ดื่มน้ำชาในถ้วยชารวดเดียวหมดจากนั้นจึงหันไปมองชีอวิ๋นถิงก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า: “พูดมาตรงๆ เถอะ เรียกข้าออกมาทำไมกันแน่? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะมีน้ำใจดีขนาดนี้ เพียงเพื่อต้องการแสดงละครฉากพี่น้องปรองดองให้ท่านยายดู”ชีอวิ๋นถิงถอดสีหน้า: “เจ้าช่างเดาเก่งนักนะ”ชีหยวนเอนตัวพิงเก้าอี้เชียนหยี่ พูดอย่างตรงไปตรงมา: “ไม่ใช่เดาหรอก แค่เพราะเจ้าเป็นคนที่ไม่เคยทำเรื่องดีๆ มาก่อนเท่านั้นเอง”จะตายอยู่รอมร่อแล้วยังปากดีอีก!ชีอวิ๋นถิงแสยะยิ้มเย็นชา พูดโต้กลับอย่างไม่เกรงใจ: “แล้วเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคนดีนักหรือ? ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ไหนมาสิงอยู่ในร่างอันต่ำต้อยนี้ แต่ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร ชีวิตดีๆ ของเจ้าก็ต้องจบลงแค่นี้แล้ว!”สีหน้าชีหยวนเปลี่ยนไปทันที: “เจ้าคิดจะทำอะไร?!”“ข้าคิดจะทำอะไรน่ะเหรอ?!” ชีอวิ๋นถิงที่อัดอั้นมานานหลายเดือน ในที่สุดวันนี้ก็ได้ระเบิดออกมาอย่างสะใจ: “ข้าจะฆ่าเจ้า
ตอนที่ชีอวิ๋นถิงหันหลังกลับ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็จางหายไปสิ้นนังสารเลว!ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!นางคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ ยังมาเล่นลูกไม้ ต้องให้เชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก!เขาโมโหจนหน้าอกแน่นไปหมด แต่ชีอวิ๋นถิงคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ก็รีบปลอบใจตัวเองปล่อยให้นางได้ใจสักหน่อยจะเป็นไรไป?ยังไงซะนางจะลำพองใจได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว?สีหน้าของเขาเย็นชา ภายในเรือนหอหมิงเยว่ สีหน้าของไป๋จื่อและเหลียนเฉียวก็เต็มไปด้วยความกังวลไม่แพ้กันเมื่อเห็นชีหยวนยังคงเล่นหยอกล้อกับอาหวง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไป๋จื่อก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา: “คุณหนูเจ้าคะ ท่านคงมิได้ตอบรับคำ จะไปซื้อของกับคุณชายใหญ่จริงๆ ใช่ไหมเจ้าคะ?”ที่ผ่านมา ชีอวิ๋นถิงไม่เคยมีคำพูดดีๆ ให้ชีหยวน ถ้าไม่ด่าทอให้นางไปตาย ก็เรียกว่านางเป็นนังสารเลวคนแบบนี้จะเปลี่ยนไปเพียงเพราะงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าหวังอย่างนั้นหรือ?พูดออกมาว่าอยากให้พี่น้องปรองดองนี่มันคำพูดของเขาจริงๆ หรือ?น่าจะแค่ทำดีกลบเกลื่อนเสียมากกว่า ไม่ได้มีเจตนาดีแต่อย่างใดขณะที่ไป๋จื่อคิดอยู่เนั้น เหลียนเฉียวก็พูดออกมาแล้วว่า: “
ชีอวิ๋นถิงหัวเราะเยาะอย่างไม่แยแส: “ข้าเป็นบุตรชายคนโตและหลานชายสายตรง! อีกอย่าง เมื่อนางตายไป ทุกคนในจวนย่อมรู้ว่าควรเลือกใคร”ต่อให้รักมากเพียงใด คนตายก็คือคนตาย หรือจะต้องฆ่าหลานชายอีกคนเพียงเพราะหลานสาวคนเดียว?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีนี้เป็นไปได้หัวใจของชีอวิ๋นถิงร้อนระอุ: “อาจิ่น เราฆ่านางเถอะ! ขอเพียงฆ่านาง ทุกปัญหาก็จะคลี่คลาย เมื่อนางตาย ข้าก็ยังเป็นคุณชายใหญ่เหมือนเดิม ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมท่านแม่อีกครั้ง ตอนนี้ท่านแม่เกลียดชังนางยิ่งขึ้นเพราะการตายของแม่นมสวี่…...”ชีจิ่นละล่ำละลักไม่อาจตัดสินใจได้: “ท่านพี่ จะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ?”ชีอวิ๋นถิงถึงกับเงียบไปหลายวันอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับการตายของแม่นมสวี่เป็นเพียงก้อนหินที่โยนลงทะเลสาบกว้างใหญ่ กระทั่งระลอกคลื่นก็ยังไม่เกิดไป๋จื่อยืนอยู่ใต้เฉลียง มองชีหยวนเล่นกับอาหวง แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกไม่สบายใจเลยสิ่งที่กลัวก็ดันเกิดขึ้นจริง สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนวิ่งเข้ามารายงานอย่างตื่นตระหนก: “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณชายใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ!”คุณชายใหญ่สามคำนี้เปรียบเสมือนยันต์อาญาแห่งความตาย คนในหอหมิงเยว่เมื่อได้ยินชื่อชีอ
ชีจิ่นร่ำไห่ดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝน ร้องไห้จนใครเห็นก็ต้องสงสารจับใจสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ มีท่าทีลังเล ไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ทว่าชีจิ่นไม่เคยสงสัยในเสน่ห์ของตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่นางจะพลาดเรื่องรับมือกับชีอวิ๋นถิง สิ่งใดที่นางต้องการให้ชีอวิ๋นถิงทำ ชีอวิ๋นถิงก็จะทำเสมอเช่นเดียวกับตอนนี้ นางสั่งให้สาวใช้รีบไปเก็บของ ต้องการจะออกจากเมืองหลวง ชีอวิ๋นถิงก็ลนลานขึ้นมาทันที จับข้อมือของชีจิ่นไว้แน่น: “อาจิ่น เจ้าออกไปจากที่นี่แล้วจะไปที่ไหนได้?! เจ้าเห็นหรือไม่ว่าหลังจากที่เจ้าออกจากบ้านไปแล้วเจ้าต้องใช้ชีวิตเช่นไร?"เขาเจ็บปวดใจนัก “นางก็เป็นแค่หนูสกปรกในท่อระบายน้ำ จะมาเทียบกับเจ้าได้อย่างไร?”น้ำตาของชีจิ่นไหลลงมาหนักยิ่งขึ้น: “ท่านพี่! จนป่านนี้แล้ว ท่านยังจะใช้คำพูดเช่นนี้มาหลอกข้าอีกหรือ? นางฆ่าแม่นมสวี แต่ท่านปู่ท่านย่ากลับบิดเบือนความจริง แถมยังตำหนิท่านแม่เพราะนาง! ท่านลองคิดดูเถิด นางเป็นเพียงหนูสกปรกในท่อจริงหรือ?”ใบหน้าของชีอวิ๋นถิงมืดมนเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่เขาจำความได้ ท่านปู่ท่านย่าไม่เคยตามใจลูกหลานคนไหนเช่นนี้มาก่อนยกเว้นชีหยวนคนเ
หลิวจงตกใจจนรีบโบกมือปฏิเสธเงินก้อนนี้ร้อนมือเกินไป!ชีหยวนยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองเขาหลิวจง “ทำไม หรือว่าพ่อบ้านหลิวคิดว่าให้น้อยไป?”......หลิวจงคว้าซองแดงไปถือไว้อย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าฟ้าแลบ ก่อนจะรีบกล่าวขอบคุณชีหยวนอย่างคล่องแคล่วชีหยวนเพียงยิ้มบาง ๆ “นี่เป็นสิ่งที่พ่อบ้านหลิวสมควรได้รับ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ”หลิวจงรีบถือซองเงินแล้วขอตัวออกไปทันที พอพ้นประตู ก็เผลอชั่งน้ำหนักซองแดงในมือโดยไม่รู้ตัวมันเบาหวิวเขาเปิดดูข้างใน ก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างตั๋วเงินห้าสิบตำลึง!คุณหนูใหญ่ของเขาแม้จะโหดไปบ้าง แต่ก็ใจกว้างยิ่งนัก!แต่ว่าเขาเข้าใจผิดไปเองแล้วชีหยวนเพียงแค่แบ่งเงินรางวัลสองร้อยตำลึงที่ตั้งไว้สำหรับตามหาสุนัขออกมาให้หลิวจงหนึ่งในสี่ส่วนและอีกหนึ่งในสี่ก็แบ่งให้ซุ่นจื่อชีหยวนยิ้มให้ซุ่นจื่อก่อนพยักหน้าเบา ๆ “เจ้าทำงานได้ดีมาก”ซุ่นจื่อหัวเราะแหะ ๆ พร้อมกับเกาหัว “บ่าวคนนั้นอยู่ห้องติดกับข้า พวกเราโตมาด้วยกัน ข้ารู้จักนิสัยของเขาดี! คุณหนูใหญ่ โชคดีที่พวกเราไปทันเวลา ไม่อย่างนั้นอาหวงคงถูกเชือดไปแล้วขอรับ”ตอนที่ไปถึงอาหวงถูกมัดไว้กับขาโต๊ะข้างเขียงแล้วห
เมื่อวานนางยังดี ๆ อยู่เลย ยังให้เงินเขาไป พร้อมกำชับให้เขาพยายามให้มากขึ้น และอย่าไปหาเรื่องชีหยวนให้มากความยิ่งไปกว่านั้น อาจิ่นยังอยากกินขนมที่แม่นมสวีทำอยู่เลยแล้วทำไมนางถึงตายไปกะทันหันแบบนี้?นางหวังราวกับจิตวิญญาณหลุดลอยไป นางมองลูกชายอย่างตั้งใจหนึ่งครั้ง พลันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วร้องไห้อีกครั้งนางสะอื้นพลางพูด “เป็นชีหยวน!”ชีหยวนอีกแล้วหรือ!?ชีอวิ๋นถิงเบิกตากว้าง ทันใดนั้นสีหน้าก็มืดครึ้มลง “นางคนนอกคอกนั้นอีกแล้ว! ข้ารู้แล้วว่าแค่มีนางอยู่ ในจวนจะต้องเกิดเรื่องแน่!”ตั้งแต่นางกลับมา จวนนี้ก็ไม่เคยมีวันสงบสุข มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวันเขาลุกพรวดขึ้น “เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่? แม่นมสวีไม่ได้ทำอะไรให้นางขุ่นเคือง แล้วนางจะฆ่าแม่นมสวีทำไม?”นางหวังเล่าเรื่องที่แม่นมสวีคิดจะฆ่าสุนัขของชีหยวนชีอวิ๋นถิงแค่นหัวเราะ “ไร้สาระ! ช่างไร้สาระจริง ๆ เพียงเพื่อสุนัขตัวเดียว นางก็ฆ่าคนงั้นหรือ?!”เขาอดไม่ไหว คิดจะพุ่งตัวออกไปทันทีแต่ขยับตัวไปแล้วกลับชะงักหยุดลงเองเพราะภาพที่ชีหยวนยัดถ้วยชาเข้าปากเขา จนทำให้เขาฟันหักไปหลายซี่ยังคงติดตาตอนนี้แค่คิดถึงเรื่องนั
แม่นมสวีจัดการกับอาหวง ก็เพื่อเป็นการตบหน้าชีหยวนจริง ๆแต่ท่านโหวผู้เฒ่าชีและฮูหยินผู้เฒ่าชีกลับไร้ความรู้สึกต่อการตายของแม่นมสวี ซ้ำยังโบ้ยความผิดกลับมาอีก แบบนี้ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้านางที่เป็นนายหญิงของจวนหรอกหรือ?!นางลุกขึ้นยืน ไม่สนใจว่าฮูหยินผู้เฒ่าชีจะยืนบังชีหยวนไว้ ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวจนมายืนตรงหน้าชีหยวน จ้องชีหยวนเขม็งแล้วเอ่ยถามเน้นย้ำทีละคำ “นี่คือท่าทีของเจ้าหรือ? ต่อให้ข้าที่เป็นแม่แท้ ๆ ของเจ้าคิดจะจัดการเจ้า เจ้าก็กล้าฆ่าข้าด้วยอย่างนั้นหรือ?”นี่มันคำพูดอะไรกัน?ท่านโหวผู้เฒ่าชีตวาดลั่น “นางหวัง เจ้าสติเลอะเลือนไปแล้วหรือ?!”ถามเช่นนี้ออกมา จะให้ชีหยวนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร?!แต่ชีหยวนกลับไม่หวาดหวั่นมารดาของนางได้ตายไปตั้งแต่ชาติที่แล้วชาติที่แล้ว นางถูกชีอวิ๋นถิงกระทืบจนขาหักแล้วโยนทิ้งกลางถนน นางหวังที่เป็นนายหญิงของจวนจะไม่รู้หรือ?ต่อมาก็ถูกส่งตัวไปยังหอนางโลม เกือบถูกขายให้แก่ชายแก่เพื่อรับแขก นางหวังจะไม่รู้หรือ?จนกระทั่งสุดท้าย เมื่อนางถูกโยนไปยังสุสานไร้ญาติ นางหวังรับรู้ทุกอย่างนางหวังรู้เรื่องทั้งหมด แต่ยังเลือกที่จะดูอยู่เฉย ๆ อย่างเลื
การที่ต้องเห็นแม่นมที่ไว้วางใจที่สุดตายลงต่อหน้าต่อตา สำหรับนางหวังแล้ว ความรู้สึกนั้นไม่ต่างจากสายฟ้าฟาดกลางวันแสก ๆนางเองก็เคยสั่งเฆี่ยนตีบ่าว หรือไม่ก็ส่งไปอยู่เรือนห่างไกลให้เผชิญชะตากรรมเอาเองแต่การลงมือฆ่าคนนั้น นางไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยจริง ๆที่สำคัญ ชีหยวนยังหักคอแม่นมสวีต่อหน้านาง ภาพเหตุการณ์เช่นนี้แทบทำให้ผู้คนเสียสติ!นางหวังร้องไห้คร่ำครวญ ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งพลางชี้นิ้วไปที่ชีหยวน “พวกท่านตามใจนางเกินไป สุดท้ายก็ตามใจจนเป็นฆาตกร! นางเพิ่งอายุสิบห้าปีก็กล้าฆ่าคนแล้ว!”ชีหยวนยังคงยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้าราวกับว่าการถูกมารดาชี้หน้ากล่าวหาว่าเป็นฆาตกร สำหรับนางแล้ว เป็นเรื่องเล็กน้อยเสียจนไม่แม้แต่จะทำให้คิ้วของนางขมวดเมื่อเทียบกับท่าทีของนางหวังที่แทบจะเป็นบ้า ไม่ว่าจะท่านโหวผู้เฒ่าชีหรือฮูหยินผู้เฒ่าชีต่างก็สงบนิ่งกว่ามากโดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่า นางรีบก้าวไปยืนขวางหน้าชีหยวน แล้วขมวดคิ้วมองนางหวัง ก่อนจะกล่าวตำหนิ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? ฆาตกรที่ไหนกัน เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”......ร่างของแม่นมสวีนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ดวงตา
สองข้างแก้มของแม่นมสวีปวดร้าวรุนแรง ชั่วพริบตานั้น แม่นมสวีเจ็บจนรู้สึกเหมือนหูแทบจะมีควันพวยพุ่งออกมานางมองชีหยวนด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความหวาดกลัวนางคนบ้าผู้นี้!นี่มันคนปกติที่ไหนกัน?!ชีหยวนค้อมกายลง สบตากับแม่นมสวีอย่างเชื่องช้า ก่อนจะใช้มือดันคางของนางกลับเข้าที่อีกครั้ง คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางเอ่ย “แม่นมสวี คิดให้ดีแล้วค่อยพูด เพราะข้าเองก็ไม่อาจควบคุมแรงได้ทุกครั้ง ถ้ายังไม่พูดความจริง บางทีอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกต่อไป”แม่นมสวีแทบสิ้นสตินางพบเจอผู้คนมามากมายจะใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือพูดใส่ไฟแบบใด ต่างก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแต่ไม่เคยเจอใครที่ไร้เหตุผลขนาดนี้เช่นชีหยวน!นางหวังโกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง “ในสายตาของเจ้ายังมีแม่คนนี้อยู่หรือไม่?! เจ้าเห็นที่นี่เป็นอะไรกันแน่?!”ชีหยวนคร้านจะหันไปมองนางหวังนางเพียงตบหน้าแม่นมสวีเบา ๆ “แม่นมสวี ความอดทนข้ามีจำกัด หนึ่ง สอง...”ยังไม่ทันนับถึงสาม แม่นมสวีก็ทนไม่ไหว “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว! ข้าสั่งให้บ่าวที่มีหน้าที่เก็บสิ่งปฏิกูลในจวน เอาสุนัขไปส่งที่ร้านขายเนื้อสุนัขแล้วเจ้าค่ะ!”ชีหยวนปล่อยแม่นมสวีล้มลงไปกองกับพื้น หันไปมองห