ต่อให้เป็นเช่นนี้ แต่อันที่จริงฮ่องเต้หย่งชางก็ยังรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของไทเฮาและตวนกุ้ยไท่เฟยเสมอมา มิเช่นนั้นแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่อ๋องเฉิงเคยก่อเรื่องวุ่นวายไม่เข้าท่าไปมากมายเพียงนั้น ถึงขั้นจับสาวใช้ในจวนมาทำเป็นเป้ายิงธนู เขาก็คงไม่ทำเป็นหลับตาข้างเดียวและมองข้ามไปหรอก แต่ทุกเรื่องล้วนมีความหนักเบาต่างกันออกไป และเรื่องเมื่อปีก่อนนั้นของอ๋องฉี ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครสามารถหาหลักฐานมาได้ ทุกคนล้วนทราบดีว่าเขาเป็นคนเลว ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถพูดออกมาได้ว่าแท้จริงแล้วเขาเลวอย่างไร ทว่าครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป ฮ่องเต้หย่งชางชี้นิ้วไปด้านนอก: “ก่อนเสด็จแม่จะเข้ามา คงเห็นแล้วว่าผู้ตรวจการเถี่ยได้นำเหล่าขุนนางประจำสำนักตรวจการพากันมาคุกเข่าอยู่ด้านนอก เสด็จแม่ ลูกมิประสงค์จะเป็นฮ่องเต้ทรราช และมิได้ต้องการให้เสด็จแม่กลายเป็นไทเฮาปีศาจ หวังว่าท่านจะเข้าใจในความรู้สึกของลูก!” ถึงอย่างไรนั่นก็มิใช่แม่ลูกกันโดยสายโลหิต ไทเฮาเองย่อมทราบลำดับความสำคัญดี ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้หย่งชางเองก็ตรัสถึงขั้นนี้แล้ว สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปทันที สุดท้ายก็ยอมผงกศีรษะและเอ่ยขึ้นว่า: “ข
ชีหยวนชำเลืองมองเขาอย่างเฉยชา ก่อนยกมุมปากขึ้นเอ่ย: “ข้าน้อยพูดผิดไปหรือท่านอ๋อง? ก่อนหน้านี้ท่านเห็นข้าน้อยสังหารอ๋องเฉิงแล้ว การตอบสนองแรกสุดของท่านก็คือบอกกับข้าน้อยว่า ท่านเตรียมหนทางรับมือเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่อยู่ด้วยกันทั้งชาตินี้และในชาติก่อน ชีหยวนพอจะเข้าใจเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงของเซียวอวิ๋นถิงอยู่บ้าง นางเอียงศีรษะถาม: “วิธีของท่านอ๋อง ก็คงไม่ต่างจากสิ่งที่ข้าคิดไว้เท่าใดนัก?” มิเช่นนั้นจะตอบสนองได้รวดเร็วเพียงนั้นได้อย่างไร คุณชายรองหลิ่วก็กำลังดื่มสุราอยู่ดี ๆ ที่เรือนหน้า มีหรือจะบังเอิญถูกเซียวอวิ๋นถิงหลอกพาตัวมาได้ในจังหวะเวลาที่ประจวบเหมาะเช่นนั้น แต่จะมาเถียงเรื่องเหล่านี้ในตอนนี้ไป ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ครู่เดียวนางก็เปลี่ยนประเด็นสนทนาทันใด: “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ตอนที่ข้าสังหารอ๋องเฉิง ยังมีคนของอ๋องฉีและสกุลหลิ่วซ่อนตัวอยู่ในสวน!” แม้นางจะไม่ทราบว่าเหตุผลใดบุคคลผู้นั้นถึงไม่ได้โต้ตอบอะไรออกมาในตอนนั้น และมิได้ออกมาขัดขวางนางตอนสังหารอีกคน ทว่าบุคคลผู้นั้นก็หนีไปแล้ว ถึงอย่างไรก็นับเป็นอันตรายที่แฝงเร้นไว้อยู่ดี เซียวอวิ๋นถิงเปล
แต่ใครเล่าจะทราบท่านอ๋องกลับไม่มีท่าทีตอบสนองแม้เพียงสักนิด แบบนี้ยิ่งน่ากลัวกว่าเดิมเสียอีก! คนหากได้รับแรงกระทบกระเทือน แม้จะคลุ้มคลั่งเสียสติไปก็ยังบ่งบอกได้ว่าสมองของเขายังคงรู้สึกตัวดีอยู่ ทว่าบัดนี้… ครั้นประตูปิดลง ชีจิ่นพลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นก็ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นอย่างหนัก ก่อนจะโขกศีรษะต่ออ๋องฉีอย่างสุดแรง: “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีความผิด หม่อมฉันมีความผิดเพคะ!” สภาพจิตใจของอ๋องฉีบัดนี้ย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด ลำพังแค่ขาของเขาจนถึงตอนนี้ยังไม่ฟื้นตัวหายดี ก็น่าหงุดหงิดมากพออยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าหลังกลับมาจะยังคงพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่แบบนี้! ผิดกับชีหยวนนางหญิงแพศยาคนนั้น กลับได้ทุกสิ่งที่นางต้องการไปหมดแล้ว ทั้งปกป้องสกุลเซี่ยไว้ได้ และยังปลิดชีพหลิ่วจิงหงไป มิหนำซ้ำยังทำลายองครักษ์ลับที่เขาเพียรสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบากไปด้วยอีก บัดนี้แม้แต่อ๋องเฉิงและคุณชายรองหลิ่วก็ยังถูกนางฆ่าตายจนหมดสิ้น! มีสิทธิ์อะไร? นางก็เป็นแค่อิสตรีคนหนึ่งก็เท่านั้น! สตรีคืออะไร? คือของขาดทุนมาแต่กำเนิด แค่เกิดมาก็อยู่ต่ำกว่าบุรุษเพศอยู่หนึ่งขั้นแล้ว พ
เสี้ยวพริบตาเดียวนั้น ขนทั่วทั้งร่างของชีจิ่นพลันลุกชันขึ้นมา นางย่อมรู้ดีหากตนเองถูกลากออกไปจากห้องนี้ นั่นหมายถึงต้องตายอย่างแน่นอน ทว่านางไม่อยากตาย ตอนแรกชีเจิ้นสั่งให้นางหวังสังหารนาง นางไม่อยาก บัดนี้นางยิ่งไม่อยาก หลังจากได้สัมผัสวิถีชีวิตของชีหยวนด้วยตนเองแล้ว นางยิ่งไม่อยากตาย มีสิทธิ์อะไรกัน?! ทั้งที่นางได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาดีกว่าชีหยวน ได้รับสิ่งต่าง ๆ ที่มากกว่าชีหยวนเป็นเท่าตัวมาตลอด ในเมื่อชีหยวนสามารถมีชีวิตที่ดีขนาดนี้ได้ นางก็ต้องมีได้เหมือนกัน! นางก็แค่ยังมีจิตใจโหดเหี้ยมไม่พอ ขอเพียงแค่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตมากพอ ไร้ยางอายมากพอ และกล้าได้กล้าเสียมากพอ นางก็จะมีชีวิตที่ดียิ่งกว่านี้ได้แล้ว! ความรู้สึกอยากเอาชนะและความหวาดกลัวอันมหาศาลนี้ ได้ปลุกความมุ่งมาดปรารถนาอยากมีชีวิตรอดที่แข็งแกร่งที่สุดของนางออกมา นางเบิกตากว้างจ้องมองอ๋องฉีอย่างไม่วางตา: “ท่านอ๋อง สกุลชี! ไม่มีผู้ใดเข้าใจสกุลชีไปมากกว่าหม่อมฉันแล้วเพคะ! หม่อมฉันแค่ยังเข้มแข็งไม่พอ ทว่าหม่อมฉันสามารถยืมแรงผู้อื่นสังหารอีกฝ่ายได้แน่ ในสกุลชีหม่อมฉันมีมีดเล่มหนึ่งน่าใช้งานที่สุด!” ค่อยน
หลายครั้งเหลือเกินที่นางลืมไปแล้วว่าตนเองยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่ ครั้งสุดท้ายที่ได้นั่งละเลียดน้ำชาอยู่ในเรือนแบบนี้ ราวกับว่าเป็นเรื่องของชาติที่แล้วอย่างไรอย่างนั้น นางค่อย ๆ หลับตาลง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา: “จวนจะถึงวันปีใหม่แล้วสินะ” สาวใช้ข้างกายหัวเราะออกมา พลางก้าวขึ้นมาและรินน้ำชาให้นาง “ใช่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู จวนจะถึงวันปีใหม่แล้ว แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวต่างก็เริ่มแขวนโคมไฟ ทำความสะอาดสิ่งของกันแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูดูสิเจ้าคะหลายวันมานี้ บนหน้าต่างตามท้องถนนมีกุนเชียงกับเนื้อตากแห้งแขวนเอาไว้ทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ” ชีจิ่นลูบถ้วยน้ำชา ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงจะเปล่งเสียงรับคำออกมา นางไม่มีครอบครัวให้ฉลองวันปีใหม่ร่วมกันอีกแล้ว แต่ก็ช่างปะไร อีกไม่นานชีหยวนก็จะไม่มีเหมือนกัน สกุลชีเองก็จะไม่มีอีกแล้วเช่นกัน นางจะทำให้คนเหล่านี้ที่เคยทอดทิ้งนางคุกเข่าลง คุกเข่าลงต่อหน้านางอ้อนวอนร้องขอให้นางยอมให้อภัย หลังจากดื่มน้ำชาคำสุดท้าย นางก็เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า: “จงไปเก็บข้าวของ และทำตามที่ข้าสั่ง ปล่อยข่าวลือออกไปล่วงหน้า” สาวใช้ขานรับคำสั่งทันที ขณะเดียวกัน สกุลชีทั้งนา
อันที่จริงตอนแรกโหวผู้เฒ่าชีก็มิได้ชอบสุนัขตัวนี้มากนัก และมันก็มิใช่สายพันธุ์เลอค่าอะไร หากจะพูดถึงความงดงามแล้วยังเทียบกับสุนัขสิงโตสีขาวปลอดที่ฮูหยินผู้เฒ่าเลี้ยงไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป ทว่าทุกสิ่งย่อมมีข้อยกเว้น ใครขอให้เจ้าสุนัขตัวนี้เป็นสุนัขของชีหยวนกัน ในเมื่อชีหยวนสามารถเดินอย่างผึ่งผายอยู่ในจวนโหวแห่งนี้ได้ ก็เป็นธรรมดาที่สุนัขของนางจะไม่เหมือนสุนัขตัวอื่นในจวน หลังจากโหวผู้เฒ่ากลับไปก็กำชับห้องครัวว่า อาหารของเจ้าสุนัขตัวนี้จะต้องเหมือนกับสุนัขสิงโตของฮูหยินผู้เฒ่า หรืออาจจะต้องดีกว่าด้วย! ไม่เพียงเท่านั้น ยังสั่งให้คนไปหาบ่าวรับใช้ส่งไปช่วยชีหยวนเลี้ยงสุนัขตัวนั้นโดยเฉพาะ การกระทำที่ยิ่งใหญ่เกินหน้าเกินตาของเขา ทำให้นางหวังอดถามด้วยความสงสัยออกมาไม่ได้: “เจ้าว่าอย่างไรนะ? จะสร้างเรือนให้ผู้ใดหรือ?” แม่นมสวีแสดงสีหน้าท่าทางใหญ่โตเป็นที่สุด น้ำเสียงยังเจือด้วยความริษยา: “จะใครเสียอีกเจ้าคะฮูหยิน? บัดนี้ในจวนของเรา ทั้งนายบ่าวรวมกัน ใครที่ไหนเล่าจะได้รับความรักความเอ็นดูมากไปกว่าคุณหนูใหญ่?” พูดถึงชีหยวน สีหน้าของนางหวังก็ดูปรวนแปรจนมิอาจคาดเดา ถูกต้องแล้ว ในจวนยามน
นางหวังเป็นเช่นนี้ แม่นมสวีเองก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ไม่ต่างกัน เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้นางรู้สึกไม่ถูกชะตากับชีหยวนก็คือการที่ชีหยวนไม่ให้ความเคารพต่อชีอวิ๋นถิง ทั้งที่คนป่วยคือนางหวัง ทว่าเมื่อสองคนยืนอยู่ด้วยกันแล้ว คนที่ดูป่วยหนักกว่าเหมือนจะเป็นชีอวิ๋นถิงเสียมากกว่า เขาซูบผอมลงไปมาก ดวงตาลึกโหล ดูซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงอย่างถึงที่สุด อย่าว่าแต่แม่นมสวีที่รู้สึกทุกข์ใจเลย ยิ่งนางหวังยิ่งเจ็บปวดหัวใจจนน้ำตาไหลพรากออกมา: “ไฉนเจ้าจึงทรมานตนเองจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?” ชีอวิ๋นถิงเม้มปาก ไม่อยากพูดอะไรกับนางหวังมากนัก เพียงแต่ยื่นมือออกไปและเอ่ยกับนางว่า: “ท่านแม่ ขอเงินหน่อย” นับแต่เกิดเรื่องเผาศาลบรรพบุรุษ เขาก็กลายเป็นสวะไร้ค่าของสกุลนี้ไป ไม่เพียงชีเจิ้นจะไม่เห็นเขาในสายตา แม้แต่พวกบ่าวรับใช้ก็เริ่มไม่แยแสเขาแล้ว หากเขาจะไปเอาเงินจากห้องบัญชี โดยที่เกินจากจำนวนที่กำหนดไว้ ไม่ว่าอย่างไรคนในห้องนั้นต้องไม่มีทางยอมมอบเงินให้เขาเด็ดขาด ได้ยินเขาเอ่ยปากขอเงิน นางหวังก็ซับน้ำตาพลางเอ่ยว่า: “ต้องการเท่าใดหรือ?” บุตรชายลำบากเกินไปแล้วจริง ๆ นางหวังส่งสายตาให้แม่นมสวี แม่
ชีอวิ๋นถิงรู้สึกว่าหัวใจเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกจากอกเขาเสาะหานางมาหลายเดือนแล้วนับแต่ชีจิ่นหายตัวไป เขาก็พลอยกินไม่ได้นอนไม่หลับ อยู่ไปวัน ๆ อย่างเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดทว่านานเพียงนี้แล้วกลับไร้ซึ่งข่าวคราว!ทุกครั้งที่ครุ่นคิดว่าอาจิ่นระหกระเหินอยู่ภายนอก ไม่รู้ว่าต้องทนตรากตรำเพียงใด เขาก็อยากจะบุกไปยังหอหมิงเยว่ แล้วปลิดชีพชีหยวนเสียแต่สตรีบ้าผู้นั้นกลับเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก เขาไม่อาจต่อกรกับนางได้เลย!โชคดีที่สวรรค์มีตาในที่สุดก็เมตตาให้เขาได้ล่วงรู้ที่อยู่ของอาจิ่นอาจิ่นเป็นคนที่ถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม อาหารการกินพิถีพิถัน แพรพรรณที่สวมใส่ก็เป็นของชั้นเลิศหลายเดือนที่อยู่ภายนอก เห็นทีจะลำบากไม่น้อย คงกินไม่ดี อยู่ไม่สบาย ต้องทนรับความลำบากเขาต้องชดเชยให้นางอย่างดีชีอวิ๋นถิงแลกเงินมาแล้ว ก้าวถัดไปคือไปยังร้านแพรพรรณที่ดีที่สุดในเมือง ซื้อผ้าไหมเฟิ่งหวงมาหลายพับ ล้วนแต่เป็นสีที่ชีจิ่นโปรดปรานจากนั้นก็ไปที่หอเจินเป่าเพื่อซื้อเครื่องประดับและอัญมณีมามากมายใช้เงินไปหมดแล้ว เงินสองพันตำลึงไม่เหลือแม้แต่อีแปะเดียว เงินส่วนตัวของเขากว่าห้าร้อยตำล
หลิวจงตกใจจนรีบโบกมือปฏิเสธเงินก้อนนี้ร้อนมือเกินไป!ชีหยวนยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองเขาหลิวจง “ทำไม หรือว่าพ่อบ้านหลิวคิดว่าให้น้อยไป?”......หลิวจงคว้าซองแดงไปถือไว้อย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าฟ้าแลบ ก่อนจะรีบกล่าวขอบคุณชีหยวนอย่างคล่องแคล่วชีหยวนเพียงยิ้มบาง ๆ “นี่เป็นสิ่งที่พ่อบ้านหลิวสมควรได้รับ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ”หลิวจงรีบถือซองเงินแล้วขอตัวออกไปทันที พอพ้นประตู ก็เผลอชั่งน้ำหนักซองแดงในมือโดยไม่รู้ตัวมันเบาหวิวเขาเปิดดูข้างใน ก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างตั๋วเงินห้าสิบตำลึง!คุณหนูใหญ่ของเขาแม้จะโหดไปบ้าง แต่ก็ใจกว้างยิ่งนัก!แต่ว่าเขาเข้าใจผิดไปเองแล้วชีหยวนเพียงแค่แบ่งเงินรางวัลสองร้อยตำลึงที่ตั้งไว้สำหรับตามหาสุนัขออกมาให้หลิวจงหนึ่งในสี่ส่วนและอีกหนึ่งในสี่ก็แบ่งให้ซุ่นจื่อชีหยวนยิ้มให้ซุ่นจื่อก่อนพยักหน้าเบา ๆ “เจ้าทำงานได้ดีมาก”ซุ่นจื่อหัวเราะแหะ ๆ พร้อมกับเกาหัว “บ่าวคนนั้นอยู่ห้องติดกับข้า พวกเราโตมาด้วยกัน ข้ารู้จักนิสัยของเขาดี! คุณหนูใหญ่ โชคดีที่พวกเราไปทันเวลา ไม่อย่างนั้นอาหวงคงถูกเชือดไปแล้วขอรับ”ตอนที่ไปถึงอาหวงถูกมัดไว้กับขาโต๊ะข้างเขียงแล้วห
เมื่อวานนางยังดี ๆ อยู่เลย ยังให้เงินเขาไป พร้อมกำชับให้เขาพยายามให้มากขึ้น และอย่าไปหาเรื่องชีหยวนให้มากความยิ่งไปกว่านั้น อาจิ่นยังอยากกินขนมที่แม่นมสวีทำอยู่เลยแล้วทำไมนางถึงตายไปกะทันหันแบบนี้?นางหวังราวกับจิตวิญญาณหลุดลอยไป นางมองลูกชายอย่างตั้งใจหนึ่งครั้ง พลันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วร้องไห้อีกครั้งนางสะอื้นพลางพูด “เป็นชีหยวน!”ชีหยวนอีกแล้วหรือ!?ชีอวิ๋นถิงเบิกตากว้าง ทันใดนั้นสีหน้าก็มืดครึ้มลง “นางคนนอกคอกนั้นอีกแล้ว! ข้ารู้แล้วว่าแค่มีนางอยู่ ในจวนจะต้องเกิดเรื่องแน่!”ตั้งแต่นางกลับมา จวนนี้ก็ไม่เคยมีวันสงบสุข มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวันเขาลุกพรวดขึ้น “เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่? แม่นมสวีไม่ได้ทำอะไรให้นางขุ่นเคือง แล้วนางจะฆ่าแม่นมสวีทำไม?”นางหวังเล่าเรื่องที่แม่นมสวีคิดจะฆ่าสุนัขของชีหยวนชีอวิ๋นถิงแค่นหัวเราะ “ไร้สาระ! ช่างไร้สาระจริง ๆ เพียงเพื่อสุนัขตัวเดียว นางก็ฆ่าคนงั้นหรือ?!”เขาอดไม่ไหว คิดจะพุ่งตัวออกไปทันทีแต่ขยับตัวไปแล้วกลับชะงักหยุดลงเองเพราะภาพที่ชีหยวนยัดถ้วยชาเข้าปากเขา จนทำให้เขาฟันหักไปหลายซี่ยังคงติดตาตอนนี้แค่คิดถึงเรื่องนั
แม่นมสวีจัดการกับอาหวง ก็เพื่อเป็นการตบหน้าชีหยวนจริง ๆแต่ท่านโหวผู้เฒ่าชีและฮูหยินผู้เฒ่าชีกลับไร้ความรู้สึกต่อการตายของแม่นมสวี ซ้ำยังโบ้ยความผิดกลับมาอีก แบบนี้ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้านางที่เป็นนายหญิงของจวนหรอกหรือ?!นางลุกขึ้นยืน ไม่สนใจว่าฮูหยินผู้เฒ่าชีจะยืนบังชีหยวนไว้ ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวจนมายืนตรงหน้าชีหยวน จ้องชีหยวนเขม็งแล้วเอ่ยถามเน้นย้ำทีละคำ “นี่คือท่าทีของเจ้าหรือ? ต่อให้ข้าที่เป็นแม่แท้ ๆ ของเจ้าคิดจะจัดการเจ้า เจ้าก็กล้าฆ่าข้าด้วยอย่างนั้นหรือ?”นี่มันคำพูดอะไรกัน?ท่านโหวผู้เฒ่าชีตวาดลั่น “นางหวัง เจ้าสติเลอะเลือนไปแล้วหรือ?!”ถามเช่นนี้ออกมา จะให้ชีหยวนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร?!แต่ชีหยวนกลับไม่หวาดหวั่นมารดาของนางได้ตายไปตั้งแต่ชาติที่แล้วชาติที่แล้ว นางถูกชีอวิ๋นถิงกระทืบจนขาหักแล้วโยนทิ้งกลางถนน นางหวังที่เป็นนายหญิงของจวนจะไม่รู้หรือ?ต่อมาก็ถูกส่งตัวไปยังหอนางโลม เกือบถูกขายให้แก่ชายแก่เพื่อรับแขก นางหวังจะไม่รู้หรือ?จนกระทั่งสุดท้าย เมื่อนางถูกโยนไปยังสุสานไร้ญาติ นางหวังรับรู้ทุกอย่างนางหวังรู้เรื่องทั้งหมด แต่ยังเลือกที่จะดูอยู่เฉย ๆ อย่างเลื
การที่ต้องเห็นแม่นมที่ไว้วางใจที่สุดตายลงต่อหน้าต่อตา สำหรับนางหวังแล้ว ความรู้สึกนั้นไม่ต่างจากสายฟ้าฟาดกลางวันแสก ๆนางเองก็เคยสั่งเฆี่ยนตีบ่าว หรือไม่ก็ส่งไปอยู่เรือนห่างไกลให้เผชิญชะตากรรมเอาเองแต่การลงมือฆ่าคนนั้น นางไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยจริง ๆที่สำคัญ ชีหยวนยังหักคอแม่นมสวีต่อหน้านาง ภาพเหตุการณ์เช่นนี้แทบทำให้ผู้คนเสียสติ!นางหวังร้องไห้คร่ำครวญ ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งพลางชี้นิ้วไปที่ชีหยวน “พวกท่านตามใจนางเกินไป สุดท้ายก็ตามใจจนเป็นฆาตกร! นางเพิ่งอายุสิบห้าปีก็กล้าฆ่าคนแล้ว!”ชีหยวนยังคงยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้าราวกับว่าการถูกมารดาชี้หน้ากล่าวหาว่าเป็นฆาตกร สำหรับนางแล้ว เป็นเรื่องเล็กน้อยเสียจนไม่แม้แต่จะทำให้คิ้วของนางขมวดเมื่อเทียบกับท่าทีของนางหวังที่แทบจะเป็นบ้า ไม่ว่าจะท่านโหวผู้เฒ่าชีหรือฮูหยินผู้เฒ่าชีต่างก็สงบนิ่งกว่ามากโดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่า นางรีบก้าวไปยืนขวางหน้าชีหยวน แล้วขมวดคิ้วมองนางหวัง ก่อนจะกล่าวตำหนิ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? ฆาตกรที่ไหนกัน เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”......ร่างของแม่นมสวีนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ดวงตา
สองข้างแก้มของแม่นมสวีปวดร้าวรุนแรง ชั่วพริบตานั้น แม่นมสวีเจ็บจนรู้สึกเหมือนหูแทบจะมีควันพวยพุ่งออกมานางมองชีหยวนด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความหวาดกลัวนางคนบ้าผู้นี้!นี่มันคนปกติที่ไหนกัน?!ชีหยวนค้อมกายลง สบตากับแม่นมสวีอย่างเชื่องช้า ก่อนจะใช้มือดันคางของนางกลับเข้าที่อีกครั้ง คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางเอ่ย “แม่นมสวี คิดให้ดีแล้วค่อยพูด เพราะข้าเองก็ไม่อาจควบคุมแรงได้ทุกครั้ง ถ้ายังไม่พูดความจริง บางทีอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกต่อไป”แม่นมสวีแทบสิ้นสตินางพบเจอผู้คนมามากมายจะใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือพูดใส่ไฟแบบใด ต่างก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแต่ไม่เคยเจอใครที่ไร้เหตุผลขนาดนี้เช่นชีหยวน!นางหวังโกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง “ในสายตาของเจ้ายังมีแม่คนนี้อยู่หรือไม่?! เจ้าเห็นที่นี่เป็นอะไรกันแน่?!”ชีหยวนคร้านจะหันไปมองนางหวังนางเพียงตบหน้าแม่นมสวีเบา ๆ “แม่นมสวี ความอดทนข้ามีจำกัด หนึ่ง สอง...”ยังไม่ทันนับถึงสาม แม่นมสวีก็ทนไม่ไหว “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว! ข้าสั่งให้บ่าวที่มีหน้าที่เก็บสิ่งปฏิกูลในจวน เอาสุนัขไปส่งที่ร้านขายเนื้อสุนัขแล้วเจ้าค่ะ!”ชีหยวนปล่อยแม่นมสวีล้มลงไปกองกับพื้น หันไปมองห
แม่นมสวียกมือกุมหน้า ใบหน้าปรากฏสีขาวสลับแดง แล้วเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ในใจทั้งอับอายและโกรธแค้นยิ่งนักในจวนโหวตลอดหลายปีมานี้ นางไม่เคยถูกใครหยามถึงเพียงนี้มาก่อน!นางดูถูกชีหยวนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!เด็กไร้มารยาทขาดการอบรมจากบ้านนอกคนนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชีจิ่นที่นางเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กถูกเบียดจนแทบไร้ที่ยืน แม้แต่ชีอวิ๋นถิงก็ยังถูกกดดันจนเกือบต้องกลับบ้านเกิดไปนางมีสิทธิ์อะไร?นางเป็นคนสนิทของนางหวัง นางหวังเป็นฮูหยินผู้ดูแลจวนโหว นางก็เป็นคนดูแลใหญ่โดยชอบธรรม!แต่เพราะการปรากฏตัวของคนนอกคอกอย่างชีหยวน นางเกือบต้องตามนางหวังกลับไปอยู่บ้านเกิด ปลีกวิเวกกินเจสวดมนต์!ทุกอย่างเป็นเพราะชีหยวน!ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด!ดังนั้น หลังจากที่ถูกตบ นางก็พุ่งเข้าหานางหวังพร้อมน้ำตานองหน้า “ฮูหยิน! บ่าว บ่าวไม่มีหน้าจะอยู่ต่อไปแล้วเจ้าค่ะ!”พูดจบ นางก็ทำท่าจะพุ่งกระแทกกำแพงนางหวังตกใจแทบสิ้นสติ รีบฟาดมือลงบนโต๊ะ “ชีหยวน เจ้าคนอกตัญญู! เจ้าเริ่มเหลิงใหญ่แล้ว เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? แม้แต่หมาแมวในเรือนของญาติผู้ใหญ่ พวกลูกหลานยังต้องให้ความเคารพ แล้วนางเป็นถึงแม่นมของข้
เขายังจำสีหน้าของชีหยวนตอนรับสุนัขตัวนั้นมาเลี้ยงได้ดีนางแสดงออกชัดเจนว่าชอบมันมากชีหยวนชอบ เขาก็ชอบฮูหยินผู้เฒ่าชีเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง “อยู่ดี ๆ ทำไมถึงหายไปได้? นางเพิ่งออกจากจวนไปแค่ประเดี๋ยวเดียวแท้ ๆ!”นางสั่งให้แม่นมข้างกายไปแจ้งบรรดาบ่าวที่เฝ้าประตูเล็กทางเข้าสวนดอกไม้และโรงเรือน ว่าหากพบสุนัขตัวนั้น นางจะให้รางวัลเพิ่มอีกหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ใดเป็นคนเจอสุนัขของชีหยวน นางจะเลื่อนตำแหน่งให้ด้วยเมื่อข่าวนี้ไปถึงหูนางหวัง นางก็ได้แต่ หลับตาแน่นพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไม่รู้ว่าชีหยวนให้ท่านโหวผู้เฒ่าชีและฮูหยินผู้เฒ่ากินยาเสน่ห์อะไรเข้าไป ถึงทำให้พวกเขาทั้งสองเชื่อฟังนางจนยอมทำตามทุกอย่างเรื่องไร้สาระแบบนี้ นางไม่เคยได้ยินมาก่อน!แม่นมสวียิ่งกล่าวประชดไม่น่าฟัง “ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย! สุนัขพันธุ์ทางตัวเดียว โยนไว้ข้างถนนยังไม่มีใครชายตาดู แต่พอเป็นตัวที่คุณหนูใหญ่เลี้ยง กลับมีค่าถึงสองร้อยตำลึง! ตอนนี้ทั้งจวนกำลังวุ่นวายกันเพราะหาสุนัข!”นางหวังกระแทกถ้วยชาลงกับโต๊ะ เสียงดังหนักแน่นกว่ายามปกติ “ปล่อยให้พวกเขาทำไป! พวกเขาอยากหา ก็ให้หาไป!”
ชีหยวนไม่มีนิสัยลงโทษคนอื่นโดยไร้เหตุผลบางทีอาจเป็นเพราะชาติก่อนนางเคยเป็นผู้อยู่ใต้บัญชาอยู่นาน จึงเข้าใจถึงความลำบากของคนรับใช้ได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกับตอนที่ชาติก่อนนางเป็นองครักษ์ของเฟิงไฉ่เว่ย คอยคุ้มกันคุณหนูผู้สูงศักดิ์คนนี้เฝิงไฉ่เวยเห็นกระรอกตัวหนึ่งพลัดตกลงมาบนพื้นได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถปีนกลับขึ้นต้นไม้ได้ นางน้ำตาคลอและบอกว่าจะนำกระรอกตัวนั้นกลับขึ้นต้นไม้ด้วยตนเองต้นไม้นั้นมีอายุนับร้อยปี ลำต้นใหญ่ขนาดที่หลายคนโอบยังไม่รอบ กิ่งก้านแผ่ขยายไปทั่ว ชีหยวนกังวลว่านางจะเป็นอันตราย จึงอาสาทำแทนแต่เฝิงไฉ่เวยกลับขมวดคิ้วและพูดเสียงเนิบว่า “จะได้อย่างไร? การทำความดีต้องลงมือเองถึงจะจริงใจ คนอย่างองครักษ์ชีที่ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน ย่อมไม่เข้าใจ”นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้เฝิงไฉ่เวยปีนต้นไม้ไปส่งกระรอกเองใครจะคาดคิดว่าเฝิงไฉ่เวยจะไม่ระวังแล้วพลัดตกลงมาผลคือข้อเท้าพลิก หมอบอกว่าเส้นเอ็นและกระดูกได้รับความเสียหาย ต้องพักฟื้นอย่างน้อยสี่ถึงห้าเดือนเซียวอวิ๋นถิงตำหนินางว่าปกป้องเจ้านายไม่ดีนางอธิบายด้วยรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย ว่านางพยายามห้ามเฝิงไฉ่เวยแล้วว่าไม่ให้ทำ
นางจึงถือโอกาสไปดูเรือนพักนอกเมืองด้วยตนเองชิงเถาและหลีฮวาอยู่ที่นั่นแม้ว่านางจะบอกว่าเรือนพักนอกเมืองนี้ใช้สำหรับให้พวกนางอยู่ แต่หากไม่ไปดูด้วยตนเอง นางก็ยังไม่วางใจเมื่อเห็นนาง ชิงเถาและหลีฮวาก็ดีใจจนทำอะไรไม่ถูกโดยเฉพาะหลีฮวา จับข้อมือชีหยวนไว้ ดวงตาก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา “ฮือ ๆ คุณหนู ข้าคิดว่าคุณหนูไม่ต้องการข้าแล้วเสียอีก!”เด็กน้อยจริง ๆชีหยวนอดขำไม่ได้ ยกมือขึ้นลูบศีรษะของนางก่อนจะยิ้มแล้วกล่าว “จะเป็นไปได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ข้าแค่ติดธุระจึงไม่มีเวลามา ตอนนี้พอมีเวลาว่างแล้วก็รีบมาดูพวกเจ้านี่ไง”กล่าวจบ นางก็ถามต่อ “อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง? มีใครรังแกพวกเจ้าหรือไม่”ชิงเถาและหลีฮวารีบส่ายหน้ามองดูดวงตาของพวกนางที่เป็นประกาย แก้มแดงระเรื่อ ชีหยวนก็รู้ว่าพวกนางปรับตัวอยู่เรือนพักนี้ได้ดี จึงยิ้มออกมาแล้วถามอีกว่าปกติพวกนางทำอะไรกันบ้างชิงเถาเป็นคนเงียบขรึม ส่วนหลีฮวานั้นร่าเริงกว่า “จริง ๆ แล้วพวกเราไม่ต้องทำอะไรเลยเจ้าค่ะ แม่นมเสิ่นไม่ให้พวกเราทำงานหนัก ที่เรือนนี้ พวกเราแค่ทำความสะอาดเรือนใหญ่ แล้วก็ดูแลดอกไม้ในสวน สบายมากเลยเจ้าค่ะ!”พูดแล้วเงียบไปครู่หน