วิทยายุทธ์ก็สอนไปทั้งหมดแล้วสุขภาพของซีอวิ๋นถิงนั้นดียิ่งนัก มีอาการปวดหัวและเป็นไข้น้อยมากเหตุใดถึงได้หมดสติไปกะทันหัน นางหวังตกใจจนอกสั่นขวัญหายชีเจิ้นก็รู้สึกตื่นตระหนกเช่นกัน แต่ว่ายังคงพยายามปลอบใจนาง “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก เจ้าวางใจเถิด พวกเราลองไปดูกันก่อน จะต้องไม่เป็นไรแน่”นางหวังร้องไห้สะอึกสะอื้น ตามชีเจิ้นไปที่เรือนของชีอวิ๋นถิงเมื่อพวกเขาไปถึง ชีจิ่นก็รีบเร่งมาถึงแล้วเช่นกันใบหน้าของชีจิ่นเต็มไปด้วยน้ำตา เสื้อคลุมอันงดงามที่มาจากผ้าไหมสูจิ่นเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนเมื่อพบนางหวัง ชีจิ่นก็เรียกมารดาอย่างสะอึกสะอื้นในทันที พลางคว้าแขนเสื้อของนางไว้ “ท่านแม่ข้าได้ยินว่าท่านพี่เป็นลมไป ข้าตกใจเหลือเกินเจ้าค่ะ……”ถึงอย่างไรก็เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัย ย่อมมีความมีผูกพันที่แตกต่างกันนางหวังคิดในใจ พลางแสดงสีหน้าอบอุ่น ปลอบโยนนางด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร บิดาของเจ้าให้คนไปเชิญหมอหลวงมาแล้ว จะต้องไม่เป็นไรแน่”สาวใช้ที่อยู่ข้างกายชีจิ่นรีบพูดขึ้นว่า “ใช่เจ้าค่ะ ดูตัวท่านเองสิเจ้าคะ พอได้ยินข่าวก็วิ่งมาที่นี่โดยไม่คำนึงอันใดเลย ทั้งยังล้มลงอีกด้วย เน
สีหน้าของชีเจิ้นเขียวคล้ำลงแล้วเปลี่ยนเป็นซีดขาวจากนั้นก็เขียวคล้ำลงอีกครั้ง หงุดหงิดอย่างที่สุดในฉับพลันนั่นก็ไม่ใช่นี่ก็ไม่ใช่ ตกลงแล้วเกิดอันใดขึ้นกันแน่?ชีอวิ๋นถิงกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงไม่หยุด ราวกับกุ้งฝอยที่ถูกโยนลงไปในหม้อที่มีน้ำเดือดอย่างไรอย่างนั้นนางหวังน้ำตาไหลพรั่งพรู “ท่านหมอหลวง ท่านรีบคิดหาวิธีเข้าเถิด คงจะปล่อยให้เขาต้องเจ็บปวดเช่นนี้ต่อไปใช่หรือไม่?”แม่ลูกเชื่อมใจถึงกัน ตอนนี้ชีอวิ๋นถิงกำลังทุกข์ทรมาน ก็ราวกับว่ามีคนเอามีดมากรีดเนื้อของนาง หากสามารถเจ็บปวดแทนชีอวิ๋นถิงได้ นางจะไม่ลังเลแม้แต่น้อยหมอหลวงลูบเคราของตนอย่างรู้สึกลำบากใจ “ข้าจะจ่ายยาสงบจิตให้เขาก่อน ลองดูว่าเขาดื่มไปแล้วจะสามารถดีขึ้นได้บ้างหรือไม่”หากหาต้นตอของปัญหาไม่เจอ ก็ไม่สามารถจ่ายยาที่ถูกต้องได้ หมอหลวงก็ไม่แน่ใจอยู่บ้างเช่นกันทว่าตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ชีเจิ้นตัดสินใจ “เช่นนั้นก็ดื่มยาก่อนเถิด”ทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการต้มยา เพื่อป้อนให้กับชีอวิ๋นถิงตอนนี้ดึกมากแล้ว ชีหยวนหาวขึ้นมาเบา ๆ เหลียนเฉียวรีบกระซิบเตือนนาง “คุณหนู ตอนนี้ดึกมากแล้ว ข้าจะคอยปรนนิบัติ ท่านไปพักผ่อนสัก
เขาตวาดอย่างรำคาญในทันที “ไม่พบ! มีเรื่องอันใดไว้ค่อยคุยกันในภายหลัง!”หลิวจงลำบากใจเล็กน้อย “ท่านโหว นางบอกว่า นางบอกว่ามาเพราะเรื่องคุณชายใหญ่ขอรับ”ชีเจิ้นขมวดคิ้ว ยังคงระงับความหงุดหงิดเอาไว้แล้วเรียกแม่นมจางเข้ามาพอแม่นมจางเข้ามาก็คุกเข่าอยู่ที่พื้น ชีเจิ้นไม่อยากพูดไร้สาระแม้แต่คำเดียว จึงกล่าวโดยไม่อ้อมค้อม “มีเรื่องอันใดถึงต้องมาดึกดื่นค่อนคืนขนาดนี้?”ชีอวิ๋นถิงดูเหมือนจะดีขึ้นแล้ว อยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงพลางหายใจหอบหนักนางหวังกำลังโอบกอดเขาไว้ ตบเบาๆ ที่หลังของเขาไม่หยุด อยากทำให้เขาสบายขึ้นมาบ้างอย่างสุดกำลังแม่นมจางไม่กล้ามองไปรอบ ๆ ก้มหน้ากำมือของตนไว้แน่นด้วยความประหม่า พลางกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านโหว ฮูหยิน บ่าว บ่าวมีเรื่องจะรายงานเจ้าค่ะ!”นางหวังจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ชีเจิ้นจิตใจว้าวุ่น ตำหนิออกมาตรง ๆ “มีอันใดจะพูดก็พูดมา!”แม่นมจางโขกศีรษะกระแทกกับพื้นอย่างแรง พลางกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “เรียนท่านโหว เรียนฮูหยิน บ่าวเห็น บ่าวเห็นคุณหนูใหญ่ใช้คาถาสาปแช่งคุณชายใหญ่อยู่ในจวนเจ้าค่ะ!”ทุกคนต่างก็ตะลึงงันเสียงต่าง ๆ ที่อยู่ภายในห้องเงียบสงั
ใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึก แต่นางหวังกลับตะโกนด้วยเสียงอันดัง “ช้าก่อน!”นางวางชีอวิ๋นถิงลงที่พื้นอย่างแผ่วเบา ให้แม่นมอู๋มาดูแลเขาอย่างดี ส่วนตนเองจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เม้มริมฝีปากพลางกล่าวว่า “ข้าจะไปกับท่าน!”มีคนกล้าทำร้ายบุตรชายของนาง นั่นก็หมายความว่าเป็นศัตรูของนางด้วย!ต่อให้คนผู้นั้นคือชีหยวน เป็นบุตรสาวที่นางเพิ่งจะพาตัวกลับมาก็เช่นเดียวกันความอดทนของนางที่มีต่อชีหยวนได้ถึงขีดจำกัดแล้ว เดิมทีหากว่าชีหยวนตรงไปตรงมาไร้เล่ห์เหลี่ยม ต่อให้นางจะไม่ชอบบุตรที่นางไม่คุ้นเคยผู้นี้สักเท่าใดนัก แต่ก็จะเลี้ยงดูนางต่อไปเพลานี้ เป็นชีหยวนเองที่มองข้ามความดีของผู้อื่น!หรือนางคิดอย่างไร้เดียงสาว่า จะอาศัยวิธีการสกปรกชั้นต่ำพวกนี้มาทำร้ายชีอวิ๋นถิงจนตาย แล้วตนเองจะได้เอ็นดูนางขึ้นมาบ้างอย่างนั้นหรือ? ฝันไปเสียเถิด!ชีเจิ้นไม่มีความเห็นใด ๆ รอจนนางหวังจัดที่จัดทางให้ชีอวิ๋นถิงเสร็จแล้ว ก็รีบพาพวกนางมุ่งหน้าไปที่หอหมิงเยว่ชีจิ่นกัดริมฝีปาก ราวกับว่าเพิ่งจะตระหนักได้ในภายหลังทว่าในใจของนางรู้ดี ว่านี่เป็นแผนการร้ายที่ชีอวิ๋นถิงมุ่งเป้าไปที่ชีหยวนก็เท่านั้นเล่ห์กลเช่นนี้ พ
ชีหยวนขมวดคิ้ว และยื่นมือออกมาคว้ามือของนางหวังเอาไว้นึกไม่ถึงว่าการตบของนางหวังจะล้มเหลว และในทางกลับกันข้อมือของนางยังถูกชีหยวนจับเอาไว้แน่นเสียจนรู้สึกเจ็บนางเด็กสารเลวคนนี้!นางหวังรู้สึกเจ็บปวดและอับอายจนเกิดโทสะ ไม่รู้ว่าเหตุใด ทันใดนั้นนางก็นึกถึงเรื่องตอนนั้นที่ชีอวิ๋นถิงจะตีชีหยวน แต่กลับถูกชีหยวนหลบได้ และกลับเป็นตนเองที่ล้มลงและบาดเจ็บไปทั่วร่างตอนนั้นชีอวิ๋นถิงบอกว่านางมีวรยุทธ์ มีพลังมหาศาลนางเริ่มรู้สึกว่าชีหยวนแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่านางเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของตน ต่อให้เป็นบุตรสาวแท้ ๆ แล้วอย่างไรเล่า?ถูกเลี้ยงดูจากภายนอกมาสิบกว่าปี ไม่รู้ไส้รู้พุง ขนาดนิสัยของนางยังไม่รู้เลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อในของนางเป็นเช่นไรกันแน่ก็ยิ่งไม่รู้เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงไม่มีความเมตตาอ่อนโยนต่อชีหยวนอีกต่อไป มีแค่เพียงความเกลียดชังเท่านั้นนางจับจ้องไปที่ชีหยวนอย่างขุ่นเคือง “พวกไม่มีผู้ใดสั่งสอน! มารดาของเจ้าตีเจ้า เจ้าถึงกลับกล้ากันเอาไว้เชียวหรือ!”เหลียนเฉียวที่อยู่ด้านข้างร้อนรนจนแทบจะร้องไห้ ทว่านางรู้ตัวเองดีว่าเป็นคนต่ำต้อย คำพูดย่อมไม่มีน
มีชีเจิ้นคอยออกคำสั่ง แม่นมจางก็ยิ้มอย่างแสแสร้งให้กับชีหยวน พลางพูดจาเหน็บแนม “คุณหนูใหญ่ ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านอย่าได้ดิ้นรนอีกเลยเจ้าค่ะ บ่าวเห็นมากับตา จะพลาดได้เช่นไรกันเจ้าคะ?”ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความพึงพอใจทำอันใดไม่ได้แล้ว นางยืนอยู่ฝั่งชีอวิ๋นถิงกับชีจิ่นในเมื่อเลือกข้างแล้ว ย่อมต้องหวังให้ชีหยวนไปให้พ้นยิ่งไกลเท่าใดยิ่งดีชีหยวนมองนางอย่างเย็นชา “ข้าไม่ได้พูดกับเจ้า! ไปให้พ้น!”แม่นมจางอับอายขายหน้าไปชั่วขณะ ยืดอกเข้าขวางด้วยความหุนหันพลันแล่น “คุณหนูใหญ่ บ่าวแค่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น ท่านอย่ามัวโต้เถียงกับบ่าวอยู่ที่นี่อีกเลยเจ้าค่ะ… ”นางถึงขั้นเตรียมเอื้อมมือจะไปดึงชุดของชีหยวนเสียด้วยซ้ำชีเจิ้นกับนางหวังไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อยชีหยวนสีหน้าไร้ความรู้สึก ยกมือขึ้นทั้งซ้ายและขวา แล้วตบเข้าไปที่ใบหน้าของแม่นมจางทั้งสองข้างกลางดึกอันเงียบสงัด เสียงตบทั้งสองครั้งดังชัดเจนเป็นพิเศษแม่นมจางถูกตบจนมึนงง ไม่คิดไม่ฝันว่าชีหยวนจะหยาบคายได้ถึงเพียงนี้!นางเด็กบ้านนอกสมควรตายผู้นี้!มิน่าเล่าทั้งตระกูลถึงไม่มีใครชื่นชอบนางแม้แต่คนเดียว!ไม่มีความเป็นกุ
นางหวังถามอย่างกราดเกรี้ยว “เป็นอย่างไร ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง! ไปค้นได้แล้วสินะ?!”ชีหยวนพยักหน้า พลางหลีกทางให้อย่างไม่ลังเล “ค้นเถิดเจ้าค่ะ”บนต้นพุทรามีโคมไฟแขวนไว้อยู่สองสามดวง ยามนี้มันกำลังกวัดแกว่งไปมาสีหน้าของชีหยวนถูกซ่อนอยู่ภายใต้แสงสลัวของโคมไฟ เห็นไม่ชัดว่านางมีสีหน้าอย่างไรกันแน่ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ชีเจิ้นมักจะรู้สึกว่านางไม่มีความกังวลใด ๆ อยู่เลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่อาจจะกำลังยิ้มอยู่ ในขณะที่กำลังรอแม่นมจางค้นหาเสียด้วยซ้ำเขาเบนสายตาไปมองไปที่แม่นมจางแม่นมจางนำบ่าวรับใช้สองสามคนมาเริ่มขุดที่ด้านหน้าต้นพุทราอย่างกระตือรือร้นเป็นอย่างมากทว่าไม่ว่าจะกี่จอบที่ฟันลงไป ดินก็ยังคงเป็นดิน นอกจากรากของต้นพุทราไม่กี่รากที่โผล่ออกมาแล้ว ก็มองไม่เห็นอันใดทั้งสิ้นแม่นมจางสับสนเล็กน้อย หรือว่าตนเองฝังไว้ลึกเกินไปกระนั้นหรือ?นางขุดลงไปอีกหลายครั้ง ทันใดนั้นเหงื่อเย็น ๆ ก็เริ่มไหลออกมายังไม่มีอันใดอยู่อีกงั้นหรือ!เป็นไปได้อย่างไรกัน?!นางเป็นคนเอาตุ๊กตามาวางไว้กับมือชัด ๆ!และสถานที่ก็ไม่ได้ผิด!สัญลักษณ์ล้วนยังอยู่!ไยของถึงหายไปได้เล่า?ผ่านไปไม่นาน นาง
นางโกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว “ท่านโหว! จะต้องเป็นคุณหนูใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่เป็นคนขุดตุ๊กตาออกไป แล้วเอาไปซ่อนไว้ที่อื่นเป็นแน่เจ้าค่ะ! จะต้องเป็นคุณหนูใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ!”นางหวังหันหน้าไปมองชีหยวนชีหยวนมีสีหน้าเย้ยหยัน พลางถามนางหวังด้วยสีหน้าประชดประชัน “ท่านแม่คงจะไม่ฟังคำที่นางพูดอีกแล้วกระมัง? ข้าเพิ่งจะมาที่นี่ แม้แต่ชื่อของบ่าวรับใช้พวกนี้ยังจำไม่ได้เลย และข้าก็ไม่รู้ว่าพวกท่านจะมาค้นที่นี่ด้วย ข้าจะเอาของไปซ่อนไว้ที่ใดได้เล่า?” คำพูดนี้ทำให้นางหวังละอายใจอยู่บ้างจริง ๆ นางทำเช่นนี้กับบุตรสาวแท้ ๆ ฟังดูแล้วไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ชีเจิ้นก็ถูกคำพูดของชีหยวนทำให้เสียหน้าไปบ้างเช่นกันด้วยความโกรธแค้น เขาจึงยกเท้าขึ้นแล้วถีบไปที่หน้าอกของแม่นมจางเขาเกิดมาในกองทัพ เคยไปออกรบเข่นฆ่าศัตรู การถีบในครั้งนี้ ทำให้แม่นมจางกระอักเลือดออกมาในทันที และเกือบจะสิ้นสติชีเจิ้นถามอย่างกราดเกรี้ยว “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เกิดอันใดขึ้นกันแน่?!”สมองของแม่นมจางงุนงงสับสนไปหมดทว่าแม้จะสับสนสักเพียงใด นางก็รู้ตนเองดีว่าเวลานี้จะต้องไม่ยอมรับเป็นอันขาดว่าตนเองใส่ร้ายชีหยวนมิเช่นนั้น
นายท่านผู้เฒ่ารองโจวรู้สึกจนใจ เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้ให้ฟังเมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าโจวโกรธจนแทบกระอักเลือด นายท่านผู้เฒ่ารองก็กลั้นใจพูดว่า “คำเล่าลือพูดต่อ ๆ กันไปมากเข้าจะกลายเป็นจริง หากปล่อยให้แพร่กระจายออกไป ย่อมไม่เป็นผลดีกับตระกูลเรา เกรงว่าคงต้องขอให้ท่านและโจวผิงอดทนอดกลั้นสักหน่อย รีบไปรับภรรยาของโจวผิงกลับมา เรื่องนี้ถึงจะสงบลงได้”เรื่องภรรยาเอกเท่าเทียมนั้นก็อย่าได้คิดจะพูดถึงอีกต่อไปคงต้องหาวิธีประกาศต่อภายนอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความเข้าใจผิดไม่เช่นนั้น ซุ้มประกาศเกียรติคุณที่เหลืออยู่คงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้วโจวผิงที่มีความรู้กว้างขวางกว่าฮูหยินผู้เฒ่าโจวเล็กน้อย เมื่อได้รับสัญญาณจากนายท่านผู้เฒ่ารอง จึงได้แต่พยายามกล้ำกลืนความโกรธในใจ ช่วยพูดปลอบฮูหยินผู้เฒ่าโจวจนสงบลงได้ในที่สุดทั้งครอบครัวจึงนำของขวัญติดตัวไปยังจวนตระกูลชีในทันทีฮูหยินผู้เฒ่าชีและคนอื่น ๆ ต่างก็ทราบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วเมื่อได้ยินว่าชีหยวนไปหาโจวคุนและให้เขาทุบซุ้มประกาศเกียรติคุณของตระกูลโจว ทุกคนต่างมีสีหน้าแปลกใจโดยเฉพาะชีฟางอวิ๋น นางอ้าปากค้างพลางร้องออกมา
หลังจากขว้างหินเสร็จ ไป๋จื่อก็แอบย่องกลับไปข้างชีหยวน แต่ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “คุณหนูเจ้าคะ ท่านดูนั่นสิ!”นางชี้ไปที่ต้นไม้ข้าง ๆ ชีหยวนจึงหันไปมอง ก็เห็นว่าลิ่วจินกำลังนั่งอยู่บนยอดไม้โบกมือทักทายนางชัดเจนว่า คนที่เริ่มนำปาไข่ไก่เมื่อครู่ก็คือเขานั่นเองช่าง...ชีหยวนไอเบา ๆ หนึ่งครั้ง ก่อนหมุนตัวขึ้นไปบนรถม้าไป๋จื่อรีบตามขึ้นไป พลางมองชีหยวนด้วยความตื่นเต้นดีใจ “คุณหนูเจ้าคะ แล้วเราจะทำอะไรต่อดี?”ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณหนูถึงบอกว่าชอบจัดการเรื่องแบบนี้ที่แท้ การได้เห็นผู้ชายเลว ๆ ต้องขายหน้ามันทำให้มีความสุขถึงเพียงนี้นี่เอง!ใช่แล้ว ทำไมความทุกข์ยากลำบากต้องตกอยู่กับผู้หญิง แต่ผู้ชายกลับได้ประโยชน์!ควรจะให้พวกผู้ชายเลว ๆ เหล่านี้ได้รับบทเรียนอย่างสาสมเสียบ้าง!ชีหยวนเอนตัวพิงไปด้านหลัง พร้อมยิ้มบาง ๆ “ต่อจากนี้ ก็รอให้คนมาขอร้องเราเอง”บนต้นไม้ เมื่อเห็นชีหยวนขึ้นรถม้าจากไป ลิ่วจินก็ลูบคอตัวเองเบา ๆ ก่อนหันไปมองปาเป่า “ไม่รู้ทำไม ข้ารู้สึกว่าคอมันเย็นวูบวาบยังไงไม่รู้”ปาเป่ากลอกตา “เพราะมือเจ้ามันซุกซนเอง! องค์ชายสั่งให้เราคุ้มครองคุณหนูให
ชื่อเสียงของตระกูลโจวเลื่องลือไปทั่วเพราะเรื่องนี้เมื่อก่อนตอนที่ผู้คนได้ยินเรื่องราวนี้ ล้วนทอดถอนใจเป็นเสียงเดียวกันว่าบุตรีตระกูลโจวนั้นเปี่ยมด้วยคุณธรรมและจงรักภักดี และตระกูลโจวก็เป็นคนรักษาสัจจะแต่ตอนนี้ เมื่อคำพูดของโจวคุนดังออกมา เกรงว่าในอนาคต หญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวงคงพากันเกลียดชังโจวผิงเข้ากระดูกดำก็จริงไม่ใช่หรือ?สตรีตระกูลโจวยอมเสียชีวิตไปเพื่ออะไร? เพื่อแลกมากับการที่บุรุษในตระกูลจะใช้ชีวิตเหลวแหลกโดยไร้ความยับยั้งชั่งใจอย่างนั้นหรือ?เดิมที การมีเล็กมีน้อยไม่ใช่เรื่องผิดอะไรสำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มักเป็นเรื่องปกติในยามที่ยังไม่ได้แต่งภรรยาก็ติดพันสถานเริงรมย์ พอแต่งงานแล้วก็มักมีสามภรรยาสี่อนุสิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นเรื่องแสนธรรมดาแต่มีเพียงตระกูลธรรมดาเท่านั้นที่เป็นเช่นนั้นทว่าสำหรับตระกูลโจว ในเมื่อตระกูลโจวยึดถือชื่อเสียงอันดีงามเช่นนี้ ก็ควรให้ทั้งชายและหญิงได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันมิใช่หรือ?ไป๋จื่อที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลถึงกับถ่มน้ำลายออกมาอย่างอดไม่ไหว “คนบ้าอะไร! สตรีต้องแต่งงานกับป้ายวิญญาณหลังคู่หมั้นตาย แต่บุรุษกลับเสเพลเลี
ตระกูลโจวนั้น แม้จะเป็นขุนนางแต่ก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก สิ่งที่ทำให้ตระกูลโจวเป็นที่รู้จักอย่างแท้จริง ก็คือซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ที่ตั้งอยู่หน้าศาลบรรพบุรุษตระกูลโจว!ห่างออกไปเพียงหนึ่งหรือสองจั้ง ก็จะเห็นซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ตั้งตระหง่านอยู่สูงส่ง ตามแนวถนนรอบศาลบรรพบุรุษตระกูลโจว มีซุ้มประกาศเกียรติคุณเรียงรายถึงสิบสองถึงสิบสามซุ้มดังนั้น ถนนสายนี้จึงถูกเรียกว่าถนนซุ้มประกาศเกียรติคุณโจวผิงริมฝีปากสั่นระริก เมื่อเห็นผู้คนกลุ่มใหญ่มากมายมุงล้อมถนนซุ้มประกาศเกียรติคุณอยู่ไกล ๆ เขาควบม้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกระโดดลงจากหลังม้า พลางตะโกนเสียงดังลั่น “ใครทำ?! ใครกล้ามาแตะต้องซุ้มประกาศเกียรติคุณของตระกูลโจวข้า?!”แน่นอนว่าทุกคนในตระกูลโจวไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนเดียวกันทั้งหมดดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องขึ้น คนในตระกูลที่อยู่ใกล้ศาลบรรพบุรุษก็รีบมาดูสถานการณ์ทันทีในเวลานี้ นายท่านผู้เฒ่ารองโจวที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่สุดในตระกูลคนหนึ่ง ได้จับแขนโจวผิงไว้ พลางขมวดคิ้วแน่นและถามว่า “พวกเจ้าทำอะไรลงไป!”......โจวผิงทำหน้าตางุนงง ซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ถูกทุบ
นางร้องไห้พลางพูดว่า “ไม่ได้ ข้าต้องกลับไป! หรูอี้สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้ว หากข้าไม่อยู่ที่จวน ไม่รู้ว่าแม่สามีจะทำอย่างไรกับนางบ้าง!”ฮูหยินผู้เฒ่าชีโกรธจนมือสั่นเพิ่งจะกลับมาบ้านเดิมไม่ทันไร เด็กก็ป่วยเสียแล้ว ไหนเลยจะบังเอิญเช่นนี้?นี่มันชัดเจนว่ากำลังใช้ลูกมาเป็นเครื่องมือบีบคั้นตระกูลชี คิดว่าตนเองเหนือกว่าจึงไม่หวาดกลัว พวกเขามั่นใจว่าชีฟางอวิ๋นไม่อาจทิ้งลูกได้ฮูหยินผู้เฒ่าชีอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วมองไปที่ชีหยวน “อาหยวน เจ้ามีวิธีอะไรบ้างหรือไม่?”“วิธีมีมากมายเจ้าค่ะ” ชีหยวนยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบ “เพียงแค่ต้องดูว่าท่านป้าจะยอมเสียสละอะไรหรือไม่เท่านั้น”ฮูหยินผู้เฒ่าชีตัดสินใจแทนบุตรสาวทันที “ยอม! หากพวกเขากล้าก่อเรื่อง เราก็จะตอบโต้ด้วยเรื่องที่ใหญ่กว่า! เจ้าลงมือจัดการไปได้เลย!”พอเห็นชีหยวนเดินออกไป ชีฟางอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองคนทั้งสามในห้อง “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไรกัน? ทำไมพวกท่านถึงให้ชีหยวนเป็นคนจัดการเรื่องนี้เล่าเจ้าคะ?”ชีเจิ้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยแต่ฮูหยินผู้เฒ่าชีกลับยิ้มบาง ๆ “เพราะไม่มีใครเหมาะที่จะช่วยเจ้าแก้แค้นไ
นางฟังผิดไปหรือไม่?เรื่องแบบนี้ ไฉนจึงไปถามเด็กสาวผู้ยังมิได้ออกเรือน?จริงสิ ตั้งแต่นางมาถึงก็ไม่เห็นสะใภ้ใหญ่ หวังซื่อ เลยสักครั้ง!ตามปกติแล้ว หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่ใช่ว่าควรที่จะเรียกสะใภ้ใหญ่มาคิดหาวิธี แล้วจึงเอ่ยปลอบหรอกหรือ?หรือว่าในจวนนี้มีเรื่องใดเกิดขึ้น?สุนัขที่ฮูหยินผู้เฒ่าชีเลี้ยงไว้เดินวนเวียนอยู่รอบปลายเท้าของชีหยวน นางจึงอุ้มมันขึ้นมาลูบเล่นเบา ๆ ครั้นได้ยินคำถามของฮูหยินผู้เฒ่าชี นางจึงหันไปมองชีฟางอวิ๋น และกล่าวด้วยเสียงทุ้มว่า “ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านป้าอยากให้เป็นเช่นไร?”......ชีฟางอวิ๋นกล่าวด้วยความขมขื่นเต็มอกว่า “ข้าจะทำอะไรได้เล่า? บ้านพวกเขาก็แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการบีบคั้นข้า เห็นว่าตอนนี้ลูกของข้าก็โตจนถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ จะทะเลาะกับพวกเขาก็ทำไม่ได้!”ฮูหยินผู้เฒ่าชีก็อดกลั้นความโกรธไว้อย่างสุดกำลัง “เรื่องภรรยาเท่าเทียมนี้มันไร้สาระสิ้นดี! ภรรยาเท่าเทียมอะไร ตระกูลที่มีกฎเกณฑ์ไม่เคยยอมรับเรื่องเหล่านี้ มีแต่พวกพ่อค้าต่ำศักดิ์เท่านั้นที่ทำกัน พูดว่าเท่าเทียมกัน แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็แค่ปัญหายุ่งเหย
แต่ก่อนไม่มีการเปรียบเทียบ ดังนั้นท่านโหวผู้เฒ่าจึงรู้สึกว่าแม้บุตรชายจะไม่มีความสามารถมากนัก แต่อย่างน้อยก็สามารถรักษาสิ่งที่มีไว้ได้แต่ตอนมีชีหยวน หลานสาวที่เด็ดขาดและเฉียบขาดเป็นตัวเปรียบเทียบ เขาจึงรู้สึกว่าบุตรชายช่างลังเลและไม่มีความกล้าหาญเช่นบุรุษเสียเลยเขาจึงไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป พูดตรงไปตรงมาว่า “บุตรสาวของเจ้าได้เลือกทางเดินให้เจ้าแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ เจ้ากำลังเพ้อฝันอยู่หรือไง?”ชีเจิ้นยิ้มขมขื่นใช่แล้ว เหตุผลที่ชีหยวนยอมลดตัวกลับมา ท้ายที่สุดก็คงเป็นเพราะข่าวของพระชายาหลิ่วที่เขามีอยู่ในมือเขาถอนหายใจช้า ๆ “เช่นนั้นลูกจะไปหานาง...”ก่อนที่คำพูดจะจบ หลิวจงเคาะประตูพลางหอบหายใจ “ท่านโหวผู้เฒ่า ท่านโหว! เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”......ไยถึงมีเรื่องอีกแล้ว?ชีเจิ้นนวดหัวคิ้วตัวเอง มองไปทางผู้เป็นบิดาอย่างอ่อนใจ แล้วตะโกนเสียงต่ำ “เข้ามา!”เมื่อหลิวจงเข้ามา เขาก็รีบถามทันที “คุณหนูใหญ่ทำอะไรอีกหรือ?”หลิวจงอุทานอย่างสงสัยออกมาหนึ่งที ก่อนจะเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตน “คุณหนูใหญ่? ท่านโหว ไม่ใช่คุณหนูใหญ่หรอกขอรับ!”โหวผู้เฒ่ากระแอมไอออกมาเบา ๆ หน
อ๋องฉีไม่รู้สึกว่านี่เป็นความโชคดี เมื่อเซี่ยกงกงยิ้มแย้มอีกครั้งและนำพระราชโองการมา เขาก็รู้สึกว่าโลหิตในร่างกายไม่ไหลเวียนตั้งแต่ยังเยาว์วัย อ๋องฉีได้รับความรักความเอ็นดูมากที่สุด ความยากลำบากที่สุดที่อ๋องฉีเคยได้ประสบคือสมรสพระราชทานที่ให้เขาแต่งหญิงกำพร้าเป็นพระชายาแต่เรื่องนั้นก็ถูกเขาจัดการได้ในทันที เขาก็เป็นคนแบบนี้ เห็นอะไรที่ไม่ถูกใจก็ไม่ทนแต่ครั้งนี้ เขาถึงกับถูกลดบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง!จวิ้นอ๋องกับชินอ๋อง ต่างกันเพียงตัวอักษรเดียว แต่สิ่งที่ได้รับห่างไกลกันมาก สิ่งที่เขาต้องเสียไปไม่ใช่เพียงแต่เงินทองปีละน้อยนิดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองครักษ์ด้วยตามปกติ ชินอ๋องที่ไปเขตปกครองมักจะมีกองทหารองครักษ์ตั้งแต่สามถึงห้าหมื่นนาย ซึ่งเป็นกองทหารองครักษ์ส่วนตัวและเป็นรากฐานความปลอดภัยในชีวิตของอ๋องผู้นั้นแต่หากเป็นจวิ้นอ๋อง ไม่เพียงจำนวนกองกำลังจะต้องลดลงกว่าครึ่งหนึ่งเท่านั้น ยังมีผลประโยชน์อื่น ๆ ที่ได้รับน้อยลงทั้งหมดอีกด้วยเขากัดฟันขอบพระทัย พอกลับเข้ามาก็ทำลายทุกสิ่งที่สามารถทุบทำลายได้ในห้องหนังสือในราชวงศ์ต้าโจว อ๋องฉีผู้ซึ่งเคยได้รับเกียรติเหนือกว่ารัชทายาท พลั
จวนอ๋องนั้นถูกสร้างเสร็จสิ้นหลังจากผ่านไปสามปีพวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ร่วมทุกข์สุขด้วยกันจริง ๆ ได้ไปยังจางโจวแดนดินที่แสนจะทุรกันดาร ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครอง ร่วมกันสร้างจวนอ๋องจากที่ไม่มีอะไรเลย ให้ความรู้ชาวบ้านและสร้างท่าเรือรอคอยจนกระทั่งสถานการณ์พลิกผัน เขาได้เข้าเมืองหลวงขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่พระชายาหลิ่วกลับเป็นแค่พระชายาเอกในอ๋องตลอดไปถึงแม้ทุกวันนี้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางยังคงรู้สึกเจ็บปวดหลังจากที่อ๋องฉีประสูติ จำนวนครั้งที่เขาฝันถึงพระชายาหลิ่วก็ค่อย ๆ ลดลงด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงรู้สึกยิ่งว่าอ๋องฉีคือพระโอรสที่เขาและพระชายาหลิ่วสูญเสียไป และเด็กคนนั้นได้กลับมาเกิดใหม่เพื่อเป็นพระโอรสของเขาอ๋องฉีคือพระโอรสที่เขาได้อุ้มบ่อยมากที่สุดความรู้สึกผิดที่ยากจะบรรยายเหล่านั้นกลายเป็นความรักที่เขามีต่อพระโอรสผู้นี้หลิ่วกุ้ยเฟยทราบดีถึงพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางในเวลานี้สิ่งที่นางเพียรพยายามทำมาโดยตลอด ในที่สุดบัดนี้ก็ได้ผลแล้วนี่ก็คือเหตุผลที่นางใช้วิธีต่าง ๆ ทุกวิถีทาง เพื่อให้ฮ่องเต้หย่งชางมีส่วนร่วมในการเติบโตของอ๋องฉีความรู้สึกนั้นเกิดขึ