โหวผู้เฒ่าเงียบไป เสี้ยวพริบตาหนึ่งก็โพล่งถามออกมา “เจ้าคิดว่า เมื่อคืนนางไปที่ใดมาหรือ?” บอกว่าชีหยวนไปอยู่เคียงกายองค์หญิงใหญ่ พวกเขาย่อมไม่มีทางเชื่อ พูดให้ถูกที่กล่าวว่าไปอยู่เคียงกายองค์หญิงใหญ่ก็แค่ข้ออ้างที่ชีหยวนบอกให้เซียวอวิ๋นถิงตอบพวกเขาเท่านั้น และบอกพวกเขาว่า นางมีขุนเขาที่พึ่งพิงแล้ว ชีเจิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง กระนั้นก็คิดไม่ออกว่าชีหยวนไปทำอะไรที่ไหนมากันแน่ เคราะห์ดีที่พวกเขาไม่ต้องครุ่นคิดอยู่นานนัก เพราะเมื่อพวกเขาไปถึงศาลาว่าการกรมยุทธนาการ ก็ได้รู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่หออี้หงซึ่งตั้งอยู่ในเขตชานเมือง เพลิงไหม้ใหญ่ เผาเจ้ากรมการลำเลียงขนส่งขั้นห้าประจำกรมการลำเลียงขนส่งเสียชีวิตไปแล้วหนึ่งราย และเผาที่ปรึกษาประจำหน่วยคลังศัสตราวุธในสังกัดศาลาว่าการกรมยุทธนาการบาดเจ็บสาหัสไปแล้วหนึ่งราย เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นภายหลังจากที่หออี้หงถูกเพลิงไหม้ ดรุณีจำนวนไม่น้อยเข้ามาร้องทุกข์กับทางการ โดยแจ้งว่าพวกนางล้วนถูกบีบบังคับให้มาเป็นหญิงคณิกา ทุกคนล้วนถูกบังคับขืนใจให้ขายร่างกายแลกกับเงินทอง เรื่อ
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น มากมายเกินกว่าเหตุการณ์ทั้งชีวิตของหงเสี่ยวในยี่สิบปีรวมกันเสียอีก นางตั้งคำถามกับตนเองว่าหลายปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เหตุการณ์ที่เคยประสบพบเจอมามีมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าเหตุการณ์สะเทือนขวัญเหมือนอย่างเมื่อคืนนี้ ความจริงแล้วนับเป็นครั้งแรก ธารน้ำในเหมันต์ฤดูเยียบเย็นบาดกระดูก นางวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า กลับหนาวสั่นไปทั้งสรรพางค์ จากนั้นค่อยเอนหลังพิงบนเนินดิน ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง บาดแผลบนลำคอและใบหน้าจนบัดนี้ยังคงเจ็บระบมอยู่จาง ๆ นางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนเองถูกเด็กสาวกดลงกับพื้น จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกของนางไม่มีทางผิดพลาด ดรุณีผู้นั้นเป็นมือสังหารที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง นางบอกว่านางคือคนที่ท่านอ๋องส่งมา… ท่านอ๋อง… หงเสี่ยวหลับตาลง ซับคราบน้ำตรงมุมปากออกเบา ๆ ก็หยัดกายขึ้นยืนและกระชับเสื้อคลุมบนตัว ก่อนจะวูบหายเข้าไปในป่าสนริมธารน้ำด้วยความรวดเร็ว ความเร็วของนางช่างว่องไวนัก ก่อนท้องฟ้าจะสาง ก็มาถึงเรือนอันเงียบสงบแห่งหนึ่งตรงเชิงเขาแล้ว ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้บ่อน้ำร้อน จึงมีเศรษฐีจำนวนไม่น้อยซื้อที่
และนี่เป็นอาวุธป้องกันตัวที่นางตั้งใจเก็บไว้กับตัวตั้งแต่ก่อนอาบน้ำเสร็จ จากนั้นแทบจะเป็นเวลาเดียวกัน กระเบื้องหลังคาก็แตกออก บุคคลในอาภรณ์สีดำสองคนกระโดดลงมาจากหลังคา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พุ่งเข้าใส่หงเสี่ยวที่ยืนอยู่ข้างประตูทันที ฉินซูไม่ทันตั้งตัวก็กรีดร้องพร้อมยกมือขึ้นปิดหน้า อึ้งไปด้วยความหวาดกลัว คนชุดดำสองคนจ้วงกระบี่แทงหงเสี่ยวด้วยความรวดเร็ว หงเสี่ยวทำได้เพียงเอนตัวไปด้านหลังเต็มแรงเพื่อหลบการโจมตี จนเอวเกือบหัก ถึงจะรอดพ้นจากอันตราย ยังไม่ทันให้นางกลับมาตั้งสติ มือสังหารสองคนก็พลิกตัวกลับมาโจมตีนางอีกครั้ง สองคนรุกไล่อย่างดุเดือดรุนแรง กระบวนท่ามุ่งหมายเอาชีวิต เจตนาชัดเจนว่าต้องการพรากชีวิตของนางไป หงเสี่ยวพลาดพลั้งเสียท่าไปนิดเดียว หัวไหล่ก็ถูกมือสังหารคนหนึ่งฟันเข้าเป็นแผลลึก ทันใดนั้นเลือดเนื้อเหวอะหวะน่าสยดสยอง นางกุมหัวไหล่ไว้ เจ็บปวดคับแค้นใจอย่างถึงที่สุด ทันใดนั้นก็ควักผงยาออกมาจากถุงที่เหน็บไว้ข้างเอวโปรยใส่สองคน ก่อนจะสบโอกาสตอนที่พวกมันทุรนทุรายตาพร่าเพราะผงยา รีบเปิดประตูหลบหนีออกไปทันที เคราะห์ดีที่เรือนพำนักหลังนี้จานเหวินฮุยกับนางร่วมซื้อด้วยกัน พ
ชีหยวนช่างฉลาดเฉลียวยิ่งนัก นางไปที่หออี้หงก่อนและสร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่โต ทั้งยังขอให้เซียวอวิ๋นถิงลงมือวางเพลิงที่นั่น กลายเป็นเหตุโกลาหลขึ้นจนบรรดาขุนนางระดับสูงที่เข้าไปใช้บริการด้านในถูกสังคมล่วงรู้ความลับหมดเปลือก จากนั้นยังตั้งใจปลอมตัวเป็นมือสังหารแสร้งไปเอาชีวิตหงเสี่ยวอีก เมื่อเรื่องราวบานปลาย และเหตุการณ์เพลิงไหม้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ข่าวก็แพร่สะพัดไปถึงเมืองหลวง แน่นอนว่าทางเมืองหลวงฝั่งนั้นย่อมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ฝ่าบาททรงกริ้วอย่างหนักและมีราชโองการให้สืบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวดเต็มกำลัง เมื่อสืบสวนอย่างเข้มงวดเต็มกำลังแล้ว ใครเล่าจะขลาดกลัวที่สุด? คนผู้นั้นย่อมเป็นอ๋องฉี! อ๋องฉีจะต้องสังหารหงเสี่ยวเพื่อปิดปากแน่! เรื่องนี้แม้จะจริงบ้างปลอมบ้าง แต่ท้ายที่สุดหงเสี่ยวจะต้องคิดแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของอ๋องฉีที่ต้องการจะฆ่าผู้เกี่ยวข้องเพื่อปิดปาก ขุดรากถอนโคนกำจัดภัยคุกคามทิ้งไปทั้งหมด! มีอสรพิษกำลังมุดโพรงเอาตัวรอด ขณะเดียวกันก็มีคนกำลังนั่งชมความครึกครื้นอยู่อย่างสบายอารมณ์ ชีหยวนกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ใต้ซุ้มบุปผาในสวน กระทั่งหมอหลวงหูออกมาจากด้านใน นางค่อย
หมอหลวงหูไม่กล้าอืดอาดล่าช้า ใครจะไม่รู้บ้างว่ากุ้ยเฟยพระองค์นี้นี้เป็นดวงใจฝ่าบาท? เขาอดไม่ได้กระซิบเสียงเบาถามฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนอีกครั้ง “ใต้เท้า เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ?” กุ้ยเฟยมีพระพลานามัยแข็งแรงดีมาตลอด เพิ่งจะตรวจชีพจรไปเมื่อไม่กี่วันก่อนมิใช่หรือ? เหตุใดจึงประชวรขึ้นมากะทันหัน? ฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนส่งเสียงกระแอมออกมาหนึ่งที ก่อนจะหรี่ตาลงเชิงว่าตักเตือนเขา “เจ้าเองก็ระวังตัวไว้บ้าง องครักษ์เสื้อแพรจับตัวเด็กสาวคนหนึ่งไว้ได้ เด็กสาวคนนั้นยังกล่าวอีกว่า นางต้องการฟ้องร้องอ๋องฉี และวันนี้ยังคิดจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่หน้าประตูวังด้วย! เรื่องลุกลามบานปลายไปกันใหญ่แล้ว” ตีกลองร้องทุกข์ หมอหลวงหูสูดหายใจเย็นเยียบเฮือกหนึ่ง เขาเพียงเปล่งเสียงออกมาหนึ่งคำ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ เด็กสาว จะฟ้องร้องอ๋องฉี? มิหนำซ้ำยังต้องการตีกลองร้องทุกข์ด้วย เรื่องนี้ต้องมีความอยุติธรรมมากมายเพียงใดกัน? เหตุใดระยะนี้อ๋องฉีถึงได้มีแต่ปัญหารุมเร้าเพียงนี้? ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือหนาหู ว่ามีความสัมพันธ์คลุมเครือกับหานเยว่เอ๋อบุตรีบุญธรรมของจวนหย่งผิงโหว ต่อมาหานเยว่เอ๋อก็ปล่อยปละ
ภายในใจของขันทีสวีบัดนี้ทนไม่ไหวแล้ว ทว่าเขาต้องทำใจดีสู้เสือไว้ ถึงอย่างไรจินเป่าก็เป็นเด็กที่เขาเลี้ยงดูมากับมือ เขาไม่มีบุตร จินเป่าก็ไม่ต่างจากบุตรคนหนึ่งของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงกัดฟันแน่น ก่อนจะตัดสินใจฝ่าอันตรายเข้าไปด้านหน้าและคุกเข่าร้องขอความเมตตาด้วยเช่นกัน “ท่านอ๋อง! บัดนี้มิใช่เวลาจะมาโกรธกริ้วขอรับ มาคิดหาหนทางกันก่อนเถิดขอรับ ว่าควรจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดีท่านอ๋อง!” จะแก้ไขปัญหาอย่างไรหรือ?! สีหน้าของอ๋องฉีเคร่งขรึมดุจน้ำลึก โทสะพลุ่งพล่านถึงขีดสุดแล้ว ทว่าเขากลับเยือกเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว ชีหยวนขุดหลุมพรางหลอกเขามากมายเพียงนี้ ก็เพื่อให้เขาถูกคนนับพันรุมชี้นิ้วประณาม แต่คิดจริงหรือว่ามันจะง่ายดายเพียงนั้น? เขาเลื่อนมือไปเช็ดโลหิตที่ไหลซึมออกมาเพราะทุบตีข้าวของจนถูกบาดเป็นแผลบนตัวจินเป่าซึ่งอยู่ด้านข้างอย่างเลือดเย็น ก่อนจะเดินออกไปด้วยสีหน้ามืดครึ้ม จินเป่าตัวสั่นเทิ้ม เขารู้ดีแก่ใจ หากเมื่อครู่ท่านอาจารย์มิได้กล่าวประโยคนั้นออกมา บัดนี้ตนเองคงกลายเป็นศพไปแล้ว หนีรอดจากความตายออกมาได้ เขาก็ร่ำไห้ปล่อยโฮออกมาอย่างอดไม่ไหว ขันทีสวีสะบัดมือตบหน้าเขาไปอีกหนึ่งฉา
องค์หญิงน้อยตัวอ่อนยวบในอ้อมแขน น้ำเสียงยังฟังอ้อแอ้น่าเอ็นดู ฮ่องเต้หย่งชางแม้จะเดือดดาลเพียงใดในยามนี้ก็ต้องคลายโทสะลงในทันใด เขาผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก็มองอ๋องฉีพลางตำหนิอย่างเย็นชา “เจ้ายังรู้ประสาไม่เท่าเด็กสามขวบคนนี้เสียด้วยซ้ำ!” องค์หญิงเป่าหรงส่งสายตาให้อ๋องฉีทันที อ๋องฉีคลานเข่าไปด้านหน้ากอดขาฮ่องเต้หย่งชางไว้พลางร้องเรียกเสด็จพ่อ “เสด็จพ่อ ลูกสมควรตาย! ลูกสมควรตาย! เสด็จพ่อ ลูกสมควรตาย!” ทันทีที่เขาร่ำไห้ออกมา องค์หญิงหมิงเฉิงที่กำลังสะอื้นเบา ๆ อยู่ในตอนแรกก็ส่งเสียงร้องไห้โยเยดังสนั่นออกมาอีกครั้ง พลางดีดดิ้นจะลงไปด้านล่าง “พี่สาม! พี่สามอย่าร้องไห้ พี่สามอย่าร้องไห้!” องค์หญิงเป่าหรงรีบสาวเท้าเข้าไปพลางยื่นมือออกไปรับองค์หญิงหมิงเฉิงเข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะอุ้มขึ้นมาพลางกระซิบเอ่ยวาจาปลอบโยน กับสิ่งที่เรียกว่าน้ำตาต้องรู้จักเลือกจังหวะและโอกาสให้เหมาะสม ร้องไห้ครู่หนึ่งจะทำให้คนรู้สึกสงสารเห็นใจ หากว่าร้องไห้นานเกินไป กลับจะทำให้คนมีแต่รู้สึกรำคาญและโมโหง่ายขึ้น ฮ่องเต้หย่งชางเห็นองค์หญิงเป่าหรงเชื่อฟังรู้กาลเทศะ องค์หญิงหมิงเฉิงก็ไร้เดียงสาน่าเอ็นดู โทสะที
เขากล่าวหนึ่งประโยค ดวงหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟยก็ยิ่งซีดเซียวขึ้นอีก จนกระทั่งท้ายที่สุด สีหน้าก็ซีดเหมือนกระดาษนางเริ่มไอไม่หยุดและหอบหายใจถี่ “ทั้งหมดนี้ล้วนเพราะหม่อมฉัน หม่อมฉันผิดที่ตามใจเจ้าสามเกินไป! ทำให้เขาทำตัวไร้กฎเกณฑ์ คิดว่าตนเองสำคัญ...”น้ำตาของนางไหลพรูไม่หยุด สะอื้นอย่างห้ามไม่ได้ “หากพี่สาวบนสวรรค์รับรู้ว่าหม่อมฉันได้สั่งสอนเขาให้เป็นเช่นนี้ คงโกรธหม่อมฉันแน่ หม่อมฉันจะมีหน้าไปพบพี่สาวผู้ล่วงลับได้อย่างไร?”เมื่อกล่าวถึงพระชายาหลิ่ว นางก็ร้องไห้หนักยิ่งขึ้น ตอนแรกยังพยายามกลั้นเสียงร่ำไห้เบา ๆ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็คุมอารมณ์ไม่อยู่สีพระพักตร์ของฮ่องเต้หย่งชางก็ไม่สู้ดีนัก พระองค์หลับตาลง และตำหนิว่า “พูดเรื่องเหล่านี้ไปทำไม?! มันเกี่ยวข้องอะไรกับนาง?”แต่ในขณะทั้งสองคนกำลังพูดกัน ในที่สุดก็รบกวนองค์หญิงหมิงเฉิงที่อยู่ข้าง ๆเมื่อองค์หญิงหมิงเฉิงลืมตาขึ้น ทันทีที่ได้ยินเสด็จพ่อเสด็จแม่พูดคุยกัน โดยเสด็จพ่อมีน้ำเสียงไม่ดีนัก นางก็ตกใจจนร่ำไห้ว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่อย่าทะเลาะกันเลยเพคะ อย่าทะเลาะกัน!”เด็กน้อยร่ำไห้มากจนดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำราวกระต่ายน้อยหลิ่วกุ้ยเฟ
นางยืนตัวตรงหลังตรงไม่ไหวติงจากนั้นพูดอย่างสงบนิ่งว่า “มีคนจงใจสับเปลี่ยนยาของหม่อมฉัน”ขณะนั้นเอง พระชายาหลิ่วก็วิ่งร้องไห้เข้ามา “เซียวเสี่ยนเจียว! เจ้ารีบไปดูอาโม่เร็วเข้า อาโม่เขาอาเจียนไม่หยุด ถ่ายท้องไม่หยุด อาการหนักมาก เจ้ารีบหาหมอมาดูเขาทีเถอะ!”แม้ว่าในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง จะยุ่งเหยิงไปหมด แต่ชีวิตของลูกก็ต้องช่วยไว้ก่อนพระองค์จึงสั่งหมอทั้งหลายทันที “รีบไปตรวจดูอาการอ๋องเร็วเข้า! หากอ๋องเป็นอะไรไป พวกเจ้าก็อย่าหวังจะรอดเหมือนกัน!”หมอหลวงแต่ละคนขาสั่นพากันรีบออกไปจู่ ๆ ชีหยวนก็เอ่ยถามพระชายาหลิ่ว ที่กำลังจะออกไป “พระชายา ท่านบอกว่าท่านอ๋องอาเจียนไม่หยุด ถ่ายท้องไม่หยุดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”พระชายาหลิ่วตอบรับด้วยเสียงสะอื้น สีหน้าของชีหยวนเคร่งขรึมลงทันที นางคุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะต่อหน้าฮ่องเต้หย่งชาง “ฝ่าบาท! ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันไปดูอาการของท่านอ๋องด้วยเพคะ บางทีหม่อมฉันอาจจะรู้สาเหตุโรคของท่านอ๋องก็เป็นได้เพคะ!”ถึงตอนนี้แล้ว อย่างไรพระโอรสที่มีชีวิตก็สำคัญกว่ามิฉะนั้น บรรดาขุนนางคงจะด่ากันขรม กฎเกณฑ์ราชสำนักก็คงกดดันพระองค์ ไหนจะพวกเมืองขึ้นเล็ก ๆ
ช่างเป็นเด็กสาวที่ประหลาดจริง ๆแม้ว่าไล่เฉิงหลงจะคิดเช่นนั้น แต่ก็ยังทำตามหน้าที่ ก้าวไปข้างหน้าหมายจะไปจับคุมตัวนางแต่ในตอนนั้นเอง ชีหยวนกลับก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าลงตรงหน้า ฮ่องเต้หย่งชาง “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีทั้งตระกูลโหวอยู่เบื้องหลัง บิดาของหม่อมฉันก็เป็นขุนนางคนสำคัญของพระองค์ เว้นเสียแต่ว่าหม่อมฉันจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ มิเช่นนั้นหม่อมฉันจะลอบวางยาพิษกุ้ยเฟยได้อย่างไรเพคะ?”ฮ่องเต้หย่งชางจ้องมองนางอย่างไร้ความรู้สึกชีหยวนไม่แม้แต่จะหวาดหวั่นเกรงกลัว นางยกเปลือกตาขึ้นประสานตากับฮ่องเต้หย่งชางโดยตรง ครั้งนี้แม้แต่ไล่เฉิงหลงก็อดสะดุ้งไม่ได้ จ้องตาฮ่องเต้ตรง ๆ เด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆฮ่องเต้หย่งชางทรงพระสรวลอย่างเย็นชา แล้วทรงชี้ไปที่เหล่าหมอพื้นบ้าน และตะกอนยาเหล่านั้น “แล้วเจ้าจะอธิบายอย่างไร? ในนี้มีโหราเดือยไก่ ซึ่งมีพิษร้ายแรง?! ยานี่เจ้าต้มเอง เขียนตำรับยาเองกับมือ หรือว่านี่มันผิดงั้นหรือ?!”ชีหยวนพยักหน้า “ไม่ผิดเพคะ เป็นใบจ่ายยาที่หม่อมฉันเขียนเองจริง ๆ ดังนั้นหม่อมฉันมีหลักฐานบันทึกไว้”นางหันไปมองนางกำนัลชื่อซวงฮวา ที่ยืนอยู่ข้างหลังองค์หญิงเป่าหรง “กูกูผู้น
อย่าว่าแต่คุกเข่าเลย ต่อให้องค์หญิงเป่าหรงจะเอาหัวโขกพื้นจนแตกอยู่ที่นี่ ชีหยวนก็สมควรได้รับ!เซียวอวิ๋นถิงรีบคว้าโอกาสทันที เขาขมวดคิ้ว “เสด็จอาหญิงเป่าหรง ท่านทั้งร้องไห้และโวยวาย พวกเราเพิ่งเข้ามา ท่านก็ลงมือบีบคอคน แถมยังลงไม้ลงมือตบตีคน ตอนนี้ยิ่งแล้ว ลงไปนั่งคุกเข่าให้อีก ท่านนี่มันเสียเกียรติของราชวงศ์เราโดยแท้!”เขาฉวยโอกาสก่อนที่ฮ่องเต้หย่งชางจะโกรธ รีบพูดขึ้นว่า “เสด็จปู่ยังอยู่ที่นี่ เสด็จปู่ยังอยู่ที่นี่ ความจริงยังไม่ถูกตรวจสอบให้ชัดเจน สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือหาสาเหตุการตายของกุ้ยเฟยให้ได้ ท่านทำแบบนี้ มิเท่ากับทำให้กุ้ยเฟยจากไปอย่างไม่สงบหรือ?”ฮ่องเต้หย่งชางก็คิดเช่นนี้เหมือนกันพระองค์สูดหายใจลึก พระพักตร์เคร่งขรึม แล้วหันไปถามชีหยวน “เจ้าเป็นคนรักษากุ้ยเฟย และเป็นคนจ่ายยาให้กุ้ยเฟยเอง? และเป็นคนต้มยาให้กุ้ยเฟยเอง?”องค์หญิงเป่าหรงรู้สึกพึงพอใจนางตระเตรียมไว้นานแล้ว ทุกเรื่องให้ชีหยวนเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง ไม่มีทางให้นางพ้นผิดไปได้เลยแค่คิดไม่ถึงว่าชีหยวนจะวางยาจริง ๆ!นางอยากให้ชีหยวนตาย แต่จะคิดให้เสด็จแม่ตัวเองตายได้อย่างไรเล่า? เสด็จแม่เป็นที่โปรดปรานขนาด
เดิมทีตอนที่องค์หญิงเป่าหรงพุ่งเข้าหาตนนั้น ชีหยวนสามารถหลบได้อย่างสบาย ด้วยฝีมือห่วย ๆ ของเป่าหรง ชีหยวนแค่เตะเข้าที่หัวเข่าเบา ๆ สักที ก็สามารถส่งนางไปนั่งเป็นคู่ขากับพี่ชายของนาง กลายเป็นคนขาพิการไปอีกคนได้แล้วทว่านางมีประสาทหูที่ไวมาก นางได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคนดังมาจากข้างหลัง รู้ได้ทันทีว่า ฮ่องเต้หย่งชาง น่าจะได้ข่าวแล้ว กำลังรีบมาแน่ ๆ นางเลยปล่อยให้องค์หญิงเป่าหรงกระโจนเข้ามาบีบคอตนเองแต่บีบคอสินะ?นางโดนบีบคอ ยืนไม่ไหว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรใช่หรือไม่ล่ะ?ดังนั้นนางเลยแอบเกี่ยวขาองค์หญิงเป่าหรงอย่างมีชั้นเชิง ทิ้งตัวล้มลงกับพื้นทันที และตัวนางผ่อนแรงไปกว่าครึ่ง ทว่าองค์หญิงเป่าหรงนี่สิ ล้มหัวทิ่มพื้นไม่เป็นท่า จนหน้าผากบวมเป็นลูกเท่าหน้าผากของเทพเจ้าซิ่วแชกงในขณะนี้นางไม่มีแรงและความคิดที่จะบีบคอชีหยวนต่อแล้วเมื่อเห็นฮ่องเต้หย่งชางเดินเข้ามาพอดี ก็รีบกระโจนเข้าไปซบอกฮ่องเต้หย่งชางอย่างน่าสงสาร ร้องไห้สะอื้น “เสด็จพ่อ! เสด็จพ่อ! เสด็จแม่ของลูกสิ้นแล้ว เสด็จแม่ของลูกสิ้นแล้ว!”นางเสียใจจริง ๆ ความเจ็บปวดที่แท้จริงเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนเห็นอกเห็นใจน้ำตาของนางราวกั
เขาเมินเฉยต่อคำเตือนของขันทีเซี่ย ก้าวขึ้นบันได แล้วเอ่ยเสียงดังว่า “เสด็จปู่ ข้า…...”เขาจะรับทุกอย่างแทนชีหยวนเองเขาจะทำให้นางรู้ว่า นางไม่ได้มีแค่ตัวคนเดียว นางก็มีคนที่เป็นที่พึ่งพิงได้เหมือนกัน!ขันทีเซี่ยเหงื่อแตกพลั่กด้วยความร้อนรน หากพระองค์เอาตัวเองไปพัวพันกับเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่ตำแหน่งจะหมดหวัง แม้แต่ชีวิตก็อาจรักษาไว้ไม่ได้เลย!โชคดีที่ในจังหวะนั้นเอง ราชบุตรเขยลู่จากเรือนกรรมฐานองค์หญิงใหญ่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาดึงเซียวอวิ๋นถิงออกไป แล้วรีบทูลรายงานต่อฮ่องเต้หย่งชางและพระชายาหลิ่วว่า “ฝ่าบาท พระชายา เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายทรงอาเจียนไม่หยุด ท้องเสียอย่างหนัก พระวรกายอ่อนแรงมาก เกรงว่าจะไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”จะไม่ไหวแล้ว?!เซียวโม่?!ฮ่องเต้หย่งชางถึงกับชะงักไป เดิมที่โกรธเกรี้ยวอยู่เต็มอก ตอนนี้กลับรู้สึกสับสนเพิ่มขึ้นอีก พระองค์รีบหันไปสั่งการกับไล่เฉิงหลง “ไล่เฉิงหลง! รวมคนทั้งหมดในอารามไป๋อวิ๋น ค้น ค้นให้ทั่ว ตรวจสอบให้ดี! ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่! เริ่มจากตำหนักของอ๋องก่อน ส่วนข้าจะไปหากุ้ยเฟยก่อน!”เดิมทีพระชายาหลิ่วค
ผู่อู๋ย่งเป็นขันทีคนสนิทข้างกายของฮ่องเต้หย่งชาง เขาและขันทีเซี่ย คนหนึ่งเป็นผู้ดูแลงานนอกวัง อีกคนเป็นผู้ควบคุมงานภายในวัง ต่างฝ่ายต่างไม่ก้าวก่ายกัน แต่กลับมักจะคอยจ้องจับผิดกันตลอดเวลาคนที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นกรมขันทีพระราชพิธี รับหน้าที่เขียนและประทับตราแทนฮ่องเต้ เขาไม่เคยมีท่าทางตื่นตระหนกขนาดนี้มาก่อนนี่มันเจ็บปวดยิ่งกว่าการสูญเสียแม่เสียอีก! เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยตายแล้วจริง ๆ!ถ้าเป็นอย่างนั้นฮ่องเต้จะไม่คลั่งไปเลยหรืออย่างไร?คนที่อยู่ที่นี่คืนนี้ บางทีอาจล้วนต้องตายกันหมดก็ได้!เมื่อโอรสสวรรค์พิโรธ ศพจะกองพะเนินนับแสน คนที่อยู่ที่นี่วันนี้จะเหลือรอดกี่คน ก็ไม่อาจรู้ได้เลยพระชายาหลิ่วก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเช่นกัน ในขณะที่รู้สึกสะใจที่ได้ระบายความแค้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเสียวสันหลังวาบรู้สึกสะใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นเฉียบอย่างหวาดหวั่นนางนึกถึงเด็กสาวคนนั้นขึ้นมา!ชีหยวน!เด็กที่ช่วยเหลือนางไว้มากมาย เด็กที่พูดจาเกินวัยอย่างผู้ใหญ่ นางเป็นคนที่ไปช่วยรักษาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย แล้วตอนนี้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยตาย นั่นจะเกี่ยวกับนางด้วยหรือไม่?!ถ้ามันเป็นเช่น
“ขอบคุณ แต่ข้าไม่ต้องการ!”ชีหยวนปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและหนักแน่น “ถ้าข้าน้อยเป็นท่าน ตอนนี้ข้าน้อยจะไปอยู่ข้าง ๆ ฝ่าบาทกับพระชายาหลิ่วเสีย ท่านอ๋องมิต้องห่วง ข้าน้อยจะไม่ตายหรอก ข้าน้อยไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจ”เขาเชื่อก็บ้าแล้ว!เซียวอวิ๋นถิงทั้งโกรธ ทั้งร้อนใจ แต่สุดท้ายก็ได้แต่สูดลมหายใจลึก “ระวังตัวให้ดี! หากเรื่องไม่สำเร็จ ก็โยนความผิดทั้งหมดมาไว้ที่ข้าเอง!”……ชีหยวนหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง ดวงตาไม่มีความยินดีแม้แต่น้อย ก่อนจะโบกมืออย่างขอไปทีนางไปพบเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก่อนเมื่อเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยและองค์หญิงเป่าหรงเห็นหน้านาง ก็พากันทำหน้าบึ้งตึงทันทีโดยเฉพาะองค์หญิงเป่าหรง พอเห็นนางคุกเข่าทำความเคารพแล้วกำลังจะลุกขึ้น ก็ตวาดเสียงดัง “ข้าอนุญาตให้เจ้าลุกขึ้นแล้วหรือไร?! เจ้าไม่รู้กฎระเบียบเลยหรือ?”ชีหยวนเป็นคนรู้จักยืดหยุ่น นางไม่ใส่ใจอะไรพวกนี้อยู่แล้ว ถึงอย่างไรคุกเข่าก็ไม่ได้เสียหายอะไรทว่าองค์หญิงเป่าหรงกลับเดินเข้าไปหานาง เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนมือของนางนี่เป็นวิธีที่องค์หญิงเป่าหรงทำจนเคยชิน ไม่ว่าจะในยุคปัจจุบันหรือตอนอยู่ในวัง นางก็ชอบทรมานคนด้วยวิธีน
ทันทีที่โทษลวงเบื้องสูงสี่คำถูกเอ่ยออกมา ขาของชีเจิ้นก็ถึงกับอ่อนแรงแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังพยายามรักษาท่าทีให้มั่นคง สมกับฐานะของท่านโหวแห่งจวนโหวท่านโหวผู้เฒ่าชีสูดลมหายใจลึก มองไปที่ชีหยวน “แม่หนูหยวน ครั้งนี้อันตรายไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ ปู่หวังว่าเจ้าจะคิดทบทวนให้ดีก่อนลงมือ ตระกูลชีทั้งครอบครัว ทั้งตระกูลขึ้นอยู่กับเจ้า ฝากไว้ที่เจ้าแล้ว!”เขาไม่เคยสงสัยในความสามารถของชีหยวนเลยตอนนี้ ฮ่องเต้หย่งชางก็เหมือนยื่นดาบให้ชีหยวนกับมือแล้วหากชีหยวนคิดจะสังหารเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยจริง ๆ แค่ฟันครั้งเดียวก็จบเรื่องทว่า เช่นนั้นคนของตระกูลชีและตระกูลชีก็จะพินาศไปด้วยผู้เฒ่าดูเหมือนจะชราลงไปในพริบตา ไม่ใช่ผู้นำครอบครัวที่เคยตัดสินใจเด็ดขาด ลูกหลานต้องคอยเชื่อฟังทุกคำพูดอีกต่อไปแล้วชีหยวนมองเขาอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะพูดเพียงสองคำว่า “วางใจ”พูดจบ นางก็หมุนตัวเดินจากไปทันทีชีเจิ้นหน้าซีดเหมือนคนร้องไห้ “จะวางใจได้อย่างไรล่ะ?! ท่านพ่อ…… ตอนนี้เราจะทำอย่างไรกันต่อดี?”ท่านโหวผู้เฒ่าไม่สั่นอีกต่อไปแล้ว แม้แต่น้ำเสียงกลับมาหนักแน่นกว่ามาก “เข้าไปรอที่เรือนกรรมฐาน! ข้าเชื่อในตัวนาง!”นางบ
ชีหยวนค่อย ๆ เก็บเข็มทองกลับไป ก้มหน้าลงเล็กน้อยปิดบังไอสังหารในดวงตา ก่อนเอ่ยตอบเสียงเรียบ “กราบทูลฝ่าบาท อาการลมปราณติดขัดของพระสนมรุนแรงนัก หากไม่เร่งกระตุ้นจุดลมปราณให้ไหลเวียน ทันทีที่ลมหายใจติดขัด เช่นนั้นนางอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย ดังนั้นหม่อมฉันจึงต้องใช้วิธีรุนแรงมากหน่อยเพคะ”ถ้อยคำของนางมีเหตุผลและหลักฐานชัดเจนไม่ว่าจะเป็นเช่นไร แต่เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ฟื้นคืนสติแล้วนี่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ฮ่องเต้หย่งชางไม่รอให้องค์หญิงเป่าหรงเอ่ยคำใด รีบถามชีหยวนต่อ “เช่นนั้น ตอนนี้อาการของพระสนมเป็นอย่างไร ดีขึ้นแล้วหรือไม่?”“หาไม่เพคะ” ชีหยวนถอนหายใจเบา ๆ “ก่อนหน้านี้ พระสนมทรงโขกศีรษะจนแตก เดิมทีเลือดลมก็เสียสมดุล ภายหลังยังถูกความโกรธโจมตีหัวใจ นอกจากนี้ ระยะหลังมานี้ พระสนมมีภาวะอารมณ์อัดอั้น อารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดง่าย จึงมักรู้สึกเจ็บบริเวณซี่โครงที่สองใต้กระดูกไหปลาร้าใช่หรือไม่เพคะ?”......ท่านโหวผู้เฒ่าชีตกตะลึงชีเจิ้นก็ตกตะลึงองค์หญิงเป่าหรงยิ่งตกตะลึงนางคนนี้มีฝีมือจริงหรือ!แต่ก่อนนางทำอะไรกันแน่?!ความสงสัยนี้ไม่ได้มีเพียงองค์หญิงเป่าหรงเท่านั้นที่อยากถ