เซิ่งไป่ชวนพยักหน้าทันใดนั้น ลั่วชิงยวนก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคาที่ถูกเจาะเป็นรูด้วยวิชาตัวเบาในขณะนี้ จักรพรรดิสูงสุดกำลังบรรทมอยู่บนหลังคาลั่วชิงยวนแบกร่างจักรพรรดิสูงสุดไว้บนหลังแล้วกระโดดลงมาจากหลังคาเซิ่งไป่ชวนรีบก้าวไปประคองจักรพรรดิสูงสุด และอุ้มเขาขึ้นไปที่เตียงในเวลานั้น เพื่อมิให้จักรพรรดิหวาดกลัว จึงให้ยานอนหลับแก่เขาเล็กน้อย ดังนั้นตอนนี้เขาจึงยังคงหลับอยู่เพื่อความปลอดภัย จึงได้ซ่อนจักรพรรดิสูงสุดไว้บนหลังคา……“พี่สาม!” ในที่สุดเมื่อฟู่จิ่งหลีมาถึงห้องมืด และได้เห็นฟู่เฉินหวนที่ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยเลือด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมากฟู่เฉินหวนจวนจะตายอยู่รอมร่อแล้ว เขามองเห็นเพียงร่างเลือนรางที่อยู่เบื้องหน้า และตะโกนอะไรบางอย่างด้วยสติเลื่อนลอยฟู่จิ่งหลีก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนปลดเชือกออกจากร่างของเขาแล้วแบกเขาไว้บนหลัง "มิเป็นไรแล้ว พี่สาม ข้าจะพาท่านกลับไปรักษาเดี๋ยวนี้"หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็รีบแบกฟู่เฉินหวนขึ้นหลังแล้วจากไปมุ่งตรงออกจากวังหลวงอย่างมิหยุดพักฟู่เฉินหวนนอนหงาย และตะโกนอะไรบางอย่างด้วยสติเลื่อนลอยฟู่จิ่งหลีฟังอยู่นาน ก่
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หมอหลวงมู่ก็ตกใจ“แล้วจักรพรรดิสูงสุด...”เมื่อไทเฮาได้ยินดังนั้น ดวงตาของนางก็เย็นชาลง "หลายครั้งก่อนหน้านี้นางทำให้พระพลานามัยขององค์จักรพรรดิสูงสุดดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เกรงว่าคงจะเป็นเพียงการตบตา!"“ตอนนี้มิสามารถรักษาองค์จักรพรรดิสูงสุดได้แล้ว ดังนั้นนางจึงหนีไป!”“ข้าว่าแล้ว นางจะมีความสามารถยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้อย่างไร!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟู่จิ่งหลีก็ตกใจเป็นอย่างมาก "อะไรกัน? นางหลอกข้าด้วยรึ?""มิเช่นนั้นจะเป็นอะไรได้?"ฟู่จิ่งหลีโกรธมากและสั่งทันที "ใครก็ได้! ปิดประตูพระราชวังบัดเดี๋ยวนี้แล้วค้นหาลั่วชิงยวน ในชั่วข้ามคืนต้องนำตัวนางมาหาข้าให้จงได้!"เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิได้ออกคำสั่งแล้ว ไทเฮาก็มิได้ตรัสอะไรอีกเมื่อมองไปที่จักรพรรดิสูงสุดที่หมดสติอยู่บนเตียง นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยพิษของเจ๋อเฉิง ลั่วชิงยวนรักษาได้เช่นไร?ในมิช้า ประตูทุกบานของพระราชวังก็ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา และองค์รักในวังก็กำลังตามหาพวกเขาในขณะนี้ ลั่วชิงยวนได้มาถึงตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการแล้วและมาที่ลานบ้านในห้องมีแสงไฟส่องสว่างอยู่ลั่วชิงยวนต้องการเข้าไปดู
“ท่านอ๋อง!” ลั่วเยวี่ยอิงอุทานด้วยความตกใจในเวลานี้ ซ่งเชียนฉู่เดินเข้ามาพร้อมกับยา เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็ก้าวไปข้างหน้าและดึงลั่วเยวี่ยอิงออกไปทันที"นี่เจ้าทำอะไรลงไป?"ลั่วเยวี่ยอิงล้มลงกับพื้น เอ่ยทั้งน้ำตาว่า "ข้าจะทำอันใดได้ ข้าเพียงห่วงใยท่านอ๋องเท่านั้น..."“ท่านหมอซ่ง…” ฟู่เฉินหวนพยุงร่างกายขึ้นพูดด้วยความยากลำบากซ่งเชียนฉู่วางยาลงอย่างรวดเร็ว ขับไล่ลั่วเยวี่ยอิงออกไปแล้วจึงปิดประตูนางคว้าข้อมือของฟู่เฉินหวนและตรวจดูชีพจรของเขา“ยามนี้ท่านยังมิควรขยับร่างกาย พลังเขี้ยวเหล็กนั้นรุนแรงเกินไป!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “ลั่วชิงยวนถูกตามล่าหรือไม่ นางอยู่ที่ใด?”ซ่งเชียนฉู่ตกใจ นางตระหนักได้ว่าลั่วเยวี่ยอิงได้เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง และนั่นทำให้เขาต้องกระอักเลือดเมื่อรู้ดังนั้นแล้วก็มิจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป“ยามนี้ยังไม่มีใครรู้ว่านางอยู่ที่ใด หม่อมฉันเดาว่านางคงออกจากเมืองไปแล้ว”“แต่หม่อมฉันมิคิดว่า นางจะหลบหนีไปเพราะกลัวความผิด”“หากนางมีคนไข้ที่รักษามิได้ นางก็ไม่มีวันจะหนีไปเฉย ๆ”ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อมินานมานี้ ฟู่จิ่งหล
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของฟู่เฉินหวนก็หนักอึ้ง“ถ้าเช่นนั้น ส่งข่าวถึงท่านแม่ทัพใหญ่ต่งเจิ้นซาน” ซูโหยวดูลำบากใจ “แม่ทัพใหญ่ต่งเจิ้นซานป่วยหนักมาหลายวันแล้ว ข่าวสุดท้ายที่พวกเราส่งกลับมาคือ ซือซิงรับหน้าที่บัญชาการแทน”“เกรงว่า ซือซิง เขาอาจจะเข้าร่วมกับตระกูลเหยียนไปแล้ว”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ การแสดงออกของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปถ้าลั่วชิงยวนไปที่อู่จิ้น...มิเท่ากับไปตายหรอกหรือ?……ลั่วชิงยวนขี่ม้าไปพันลี้ เร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อมาถึงเมืองอู่จิ้น นางก็เหนื่อยล้าจนแทบขาดใจหลังจากเข้าไปในเมือง ลั่วชิงยวนรีบหาทหารยามประจำประตูเมืองทันที "พวกท่านคือกองทหารอู่จิ้นหรือเปล่า? ข้าอยากพบแม่ทัพของท่าน!"อีกฝ่ายมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า “เจ้าเป็นใคร?”“ข้ามาจากเมืองหลวง ท่านพาข้าเข้าไปหน่อยสิ” ลั่วชิงยวนรู้สึกกังวลในใจล่าช้ามาหลายวันขนาดนี้ มิรู้ว่าที่ฉินเชียนหลี่เป็นเช่นไรบ้างนางไม่มีเวลาไปตรวจสอบได้เลย ต้องรีบมาที่นี่เพื่อเรียกระดมพลไปสนับสนุนทันทีทหารยามที่ประตูเมืองพานางขึ้นไปค้นหาทีละชั้น จนกระทั่งมาถึงลานที่มีการคุมเข้มอย่างแน่นหนา“แม่ทัพซือ มีคนจากเมืองหลว
เขาถูกวางยาพิษ!ปีกพญามัจจุราชที่นางคุ้นเคยอีกแล้ว!เพียงแต่พิษในร่างของกายของต่งเจิ้นซานนั้นซับซ้อนกว่านั้น มิเพียงแต่มีพิษจากปีกพญามัจจุราชเท่านั้น แต่ยังมีพิษชนิดอื่น ๆ อีกด้วยและพิษเหล่านี้ได้สะสมมาเป็นเวลานานหลายปีพิษของปีกพญามัจจุราชนั้นกลับมิได้สะสมมานานนักแต่เป็นเพราะพิษของปีกพญามัจจุราชที่ทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นจักรพรรดิสูงสุดก็ถูกพิษของปีกพญามัจจุราชเช่นกัน นางยังมิสามารถล้างพิษต่งเจิ้นซานได้ในขณะนี้ หากนางสามารถล้างพิษปีกพญามัจจุราชได้ ตระกูลเหยียนก็จะรู้ว่านางมีวิธีถอนพิษนี้แล้วซึ่งจะส่งผลให้พวกเขาทำร้ายจักรพรรดิสูงสุดทุกวิถีทางดังนั้น นางจึงทำได้เพียงต้องรักษาจักรพรรดิสูงสุดให้หายก่อน จึงจะสามารถล้างพิษให้ตงเจิ้นชานได้ทว่าในสถานการณ์ของต่งเจิ้นซาน คงมิสามารถรักษาให้หายขาดได้ในเวลาอันสั้น“อาการป่วยของแม่ทัพใหญ่นั้นร้ายแรงจริง ๆ ทั้งร่างกายของเขาแข็งเกร็ง พูดมิได้ และขยับตัวมิได้ ดูเหมือนเป็นโรคเรื้อรังที่สะสมมานานหลายปี”“เราคงทำได้แค่ค่อย ๆ บำรุงรักษาไปอย่างช้า ๆ เท่านั้น”ทันทีที่นางพูดจบเซี่ยงจิ้งก็ดูผิดหวังเขาพูดอย่างเย็นชา "หมอที่ข้าเชิญก่
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าความทะเยอทะยานในดวงตาของเหยียนหน่ายซินที่นางเห็นคือสิ่งใด“ก่อนหน้านี้เจ้าล้วนแสร้งทำหรือ?”เหยียนหน่ายซินยิ้มเบา ๆ “เจ้าหมายถึงเรื่องใดเล่า”“อาศัยตำแหน่งว่าที่ฮองเฮา ทำตัวตามอำเภอใจ ก่อความผิดมหันต์ กล่าวอ้างว่ามิอยากเป็นฮองเฮา และต้องการหนีไปกับคนรักของเจ้า ทั้งหมดนี้เจ้าล้วนแสร้งทำหรือ?”“ดังนั้นเจ้าจึงใจแข็งถึงขนาดลงมือฆ่าโม่เชียนด้วยมือของเจ้าเอง”เหยียนหน่ายซินได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะออกมา "ใช่แล้ว"“ท่าทางโง่เขลาและสิ้นหวังนั้นล้วนเป็นการแสร้งทำ ข้ามิอยากอภิเษกกับฝ่าบาทจริง ๆ เพราะถึงข้าจะเป็นฮองเฮาของเขา ข้าก็จะเป็นเพียงหุ่นเชิดของตระกูลเหยียน มิต่างอะไรจากการเป็นหุ่นเชิดในวังหลัง”“ข้ายอมรับมิได้ที่ต้องเป็นหุ่นเชิด ถึงจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงขนาดนี้ แต่กลับมิอาจครอบครองอำนาจที่ควรมีได้เลย”"เช่นนั้น ข้าจึงมาที่นี่"เหยียนหน่ายซินพูด พลางหยิบป้ายคำสั่งออกมาจากอกเสื้อและมอบให้ลั่วชิงยวน“เจ้าบอกซือซิงว่า ตระกูลเหยียนส่งเจ้ามา แต่หากเจ้าไม่มีป้ายคำสั่ง ซือซิงย่อมมิเชื่อแน่”“ตอนนี้กองทัพกว่าครึ่งของอู่จิ้นอยู่ในมือของเขาแล้ว มีเพียงต้องใช้สิ่ง
ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย และครู่หนึ่งเผลอคิดว่าตัวตนของนางถูกเปิดเผยแล้วแต่เมื่อคิดไปคิดมา หากซือซิงรู้ว่านางเป็นใคร แทนที่จะพูดเช่นนี้ เขาคงจะลงมือทันทีลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ "เช่นนั้นแม่ทัพซือคิดว่าข้าเป็นใครเล่า?"น้ำเสียงของซือซิงเย็นชา "ดูเหมือนเจ้าจะมิยอมบอกความจริง งั้นก็พาตัวไปเลย ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าพูดอยู่แล้ว"สตรีผู้นี้บอกว่านางถูกส่งมาจากตระกูลเหยียน แต่นางกลับรู้ทักษะทางการแพทย์ และยังช่วยรักษาต่งเจิ้นซานด้วยเหลวไหลนัก เขาเป็นคนวางยาพิษเอง แล้วตระกูลเหยียนจะส่งคนมารักษาต่งเจิ้นซานได้เช่นไรหากถามดี ๆ มิได้คำตอบ ก็ต้องใช้การทรมานอย่างรุนแรงเท่านั้นขณะที่ทหารกำลังเข้ามาจับนาง ลั่วชิงยวนก็หยิบป้ายคำสั่งออกมาโดยมิพูดอะไรแม้แต่คำเดียวแต่เมื่อซือซิงเห็นป้ายคำสั่ง การแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก“เจ้า… เจ้าคือ...”ลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง และเก็บป้ายคำสั่งกลับไปนางพูดด้วยน้ำเสียงมิพอใจ "ยังจะจับข้าอยู่อีกหรือ? ข้าเกรงว่าหากจับข้าแล้วจะมิสามารถรายงานต่อผู้บังคับบัญชาได้กระมัง"น้ำเสียงของซือซิงอ่อนลงทันที "แม่นาง เหตุใดท่านมิเอามันออกมาตั้งแ
ลั่วชิงยวนนำตราประทับมังกรออกมา“เห็นตราประทับมังกรก็เหมือนกับการได้เห็นองค์จักรพรรดิสูงสุด! ท่านยังมิเชื่ออีกหรือ?”เซี่ยงจิ้งดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง“ตราประทับมังกรรึ?” เขาจ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือของลั่วชิงยวนด้วยความลังเล“ข้าจะรู้ได้เช่นไรว่าตราประทับมังกรที่เจ้าถืออยู่นั้นเป็นของจริงหรือของปลอม?”ประการแรก ก่อนหน้านี้นางมีป้ายคำสั่งของมหาราชาจารย์เหยียนที่ใช่การให้ซือซิงระดมพลไปแล้วทำให้เซี่ยงจิ้งมิอาจปักใจเชื่อได้อย่างง่ายดายลั่วชิงยวนเก็บตราประทับมังกรไป และมองไปที่ต่งเจิ้นซานบนเตียง "แม่ทัพใหญ่ต่งถูกวางยาพิษด้วยพิษชนิดเดียวกับที่องค์จักรพรรดิสูงสุดได้รับ ข้ารักษาได้ แต่ตอนนี้ข้ายังมิอาจรักษาได้"“หลังจากที่จักรพรรดิสูงสุดพระอาการดีขึ้นแล้วเท่านั้นข้าจึงจะสามารถล้างพิษของแม่ทัพใหญ่ต่งได้ มิเช่นนั้นข้าจะถูกตระกูลเหยียนสงสัยเอาได้”“แต่ตอนนี้ข้าสามารถทำให้แม่ทัพใหญ่ต่งฟื้นตัวได้ชั่วคราว”เมื่อได้ยินสิ่งนี้เซี่ยงจิ้งตกใจอย่างหนัก“ว่ากระไรนะ?” ถูกพิษชนิดเดียวกันกับองค์จักรพรรดิสูงสุด?"ได้ ตราบใดที่เจ้าสามารถรักษาพิษของท่านแม่ทัพใหญ่ได้ ข้าจะเชื่อเจ้า!"ลั่วชิ
“ใครให้เจ้าใช้กลิ่นกล้วยไม้? คิดว่าตัวเองคู่ควรกับมันรึ?”แววตาอันชั่วร้ายและกลิ่นอายสังหารทั่วร่างที่แผ่ออกมาทำให้หลานจีหวาดกลัวจนต้องดิ้นรนอย่างสุดชีวิต“ท่าน… ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นให้ข้าใช้มันเองนะเจ้าคะ”ดวงตาของเฉินชีเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น เขาโยนหลานจีออกจากห้องอย่างโหดร้าย“นับตั้งแต่วันนี้ห้ามใช้น้ำหอมกลิ่นกล้วยไม้อีก ไสหัวไป!”หลานจีล้มออกมานอกห้องอย่างแรงจนกลิ้งตกขั้นบันไดและกระอักเลือดออกมา ทำให้ตกอยู่ในสภาพที่ดูมิได้อย่างยิ่งนางเงยหน้าขึ้นด้วยความมิอยากเชื่อ มิเข้าใจว่าเหตุใดอารมณ์ของท่านแม่ทัพถึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อก่อนเขาชอบดูนางร่ายรำเป็นที่สุด และชอบกลิ่นหอมของกล้วยไม้บนตัวของนางด้วยเช่นกันเหตุใดจู่ ๆ ถึง…หลานจีพยายามลุกขึ้นจากพื้นพลางมองไปที่เฉินชีที่ยังคงดื่มอยู่ในห้อง “ท่านแม่ทัพมีเรื่องอันใดมิสบายใจใช่หรือไม่เจ้าคะ หลานจียินดีช่วยแบ่งเบาความกังวลให้ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ!”ทันใดนั้นก็มีบุคคลหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลัง ร่างนั้นเดินผ่านหน้านาง และได้ตบนางอย่างแรงทำให้หลานจีล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“ไล่ให้เจ้าไสหัวไปแต่กลับมิทำ จะรอข้ามาถลกหนังรึไร?” ดวงตาของเก
ฟู่เฉินหวนหาได้แปลกใจไม่ คนที่ปรากฏตัวที่นี่ได้ย่อมมิใช่คนธรรมดาเขามิได้ตอบ เพราะกำลังครุ่นคิดฉินอี้พูดต่อ “คนของเฉินชีล้อมภูเขาทั้งลูกไว้แล้ว เจ้าบาดเจ็บสาหัส ออกไปเองมิได้หรอก”“มีเพียงการไปกับข้าเท่านั้น ข้าจึงจะพาเจ้าออกจากที่นี่ได้”“อีกอย่าง เจ้าก็น่าจะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเฉินชี ถึงแม้ว่าเจ้าจะรอดชีวิตออกจากภูเขาลูกนี้ก็เข้าเมืองหลวงมิได้อยู่ดี และไม่มีทางได้พบลั่วชิงยวน”“ทั่วแผ่นดินแคว้นหลี มีเพียงข้าเท่านั้นที่ช่วยเจ้าได้”ฟู่เฉินหวนหรี่ตาลง “เงื่อนไขคืออะไร?”“เจ้าอุตส่าห์มาช่วยข้า คงต้องมีเงื่อนไขกระมัง”ฉินอี้ยกยิ้ม “ข้าชอบคบหากับคนฉลาด!”“สิ่งเดียวที่ข้าอยากทำ ก็คือฆ่าเฉินชี!”แววตาของฉินอี้เต็มไปด้วยจิตสังหารเฉินชีควบคุมกองทัพ มักทำอะไรตามใจชอบถึงแม้ว่าภายนอกจะเชื่อฟังราชวงศ์ แต่ความจริงแล้วเขาแทบมิยอมรับข้อบังคับของราชวงศ์ มิเคยเห็นใครอยู่ในสายตายิ่งไปกว่านั้น เขามิเคยนับถือองค์ชายผู้นี้เลย คอยแต่จะเยาะเย้ยเสมอเมื่อมีโอกาสสิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในชีวิตคือ ฆ่าเฉินชี!ฟู่เฉินหวนดูออก ฉินอี้มิได้โกหกเรื่องนี้ ความเกลียดชังในดวงตาของเขาแทบจะพวยพุ่ง
นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อหลบ ทว่าหาได้มีทางหลบได้ไม่ เงาดำหลายร่างจับร่างจองนางเหวี่ยงไปมาร่างของนางราวกับใบไม้ที่ถูกลมพัดปลิวไปมา ชนกำแพง ชนประตู ชนต้นไม้จนเลือดไหลออกมาดูน่าเวทนายิ่งนักมีคนหลายคนยืนดูความเคลื่อนไหวในเรือนจากในที่มืดระยะไกล แล้วต่างหัวเราะอย่างพึงพอใจ“คิดว่าจะเก่งแค่ไหนกันเชียว กล้ามาท้าทายจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดารา สุดท้ายก็ได้แค่นี้”“ความจริงนางก็มิได้เก่งหรอก มิรู้ว่าปราบสิบวายร้ายได้อย่างไร”“ส่งไปอีกสองตัว! ทรมานอีกสักรอบ อีกสองวันข้างหน้าเมื่อไปหอรักษ์ดารา นางอาจจะยอมแพ้ไป!”พูดจบ พวกเขาก็เปิดกล่องที่ผนึกด้วยยันต์แปดทิศ และกระดาษยันต์หนึ่งแผ่นก็เริ่มควบคุมสิ่งของในกล่องให้บินออกมาทันใดนั้นก็มีเท้าข้างหนึ่งยื่นออกมาเตะกล่องคว่ำสิ่งที่พุ่งออกมาทันทีนั้นส่งเสียงคำรามอันน่าสยดสยอง ทำให้หลายคนตกใจพลันรีบถอยหลังหลบกันไป“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึไร!” หลายคนรีบลุกขึ้นตะโกนใส่อวี๋โหรวที่เตะกล่องคว่ำพวกเขาลุกขึ้นยืน ทุกคนตัวสูงกว่าอวี๋โหรวยิ่งทำให้อวี๋โหรวดูตัวเล็กดูน่ารังแกแต่อวี๋โหรวกลับมองพวกเขาด้วยแววตาเย็นชา “พอได้แล้ว!”“หากทำให้นางตาย ข้าจะดูว่าเ
เวินซินถงเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา เซี่ยหลิงรีบตามหลังไป“ซินถง เจ้าโกรธหรือ?” เซี่ยหลิงรีบแก้ตัวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าก็มินึกว่าจะเป็นเช่นนี้”ในที่สุดเวินซินถงก็ทนมิไหว พลันหยุดเดิน“เจ้ามาพูดกับข้าจะมีประโยชน์อันใด? จะแก้ไขอย่างไร เจ้าก็ไปคิดเอง” เวินซินถงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชากล่าวจบก็หันหลังเดินจากไปเซี่ยหลิงร้อนใจ รีบตามไปด้วยความกังวล “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องโกรธ เจ้าสบายใจได้ ข้าจะมิยอมให้นางคุกคามตำแหน่งของเจ้า!”“ข้าเคยบอกแล้วว่าจะช่วยให้เจ้าได้ครองตำแหน่งนักบวชระดับสูง คำสัญญานี้จะคงอยู่จนกว่าชีวิตจะหาไม่”เซี่ยหลิงแสดงท่าทีจริงจังแต่เวินซินถงกลับขมวดคิ้ว “นั่นเป็นเรื่องของเจ้า ข้ามิสนใจ”“อย่าคิดว่าช่วยข้าแล้ว ข้าจะสำนึกบุญคุณ เจ้าอย่าหวังจะได้อะไรจากข้า นี่คือสิ่งที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก”“ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าก็ให้มิได้”เวินซินถงแวบมองเซี่ยหลิงด้วยแววตาลึกซึ้ง“อย่าตามข้ามา ข้ามิชอบ” กล่าวจบ เวินซินถงก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็วเซี่ยหลิงมิได้ตามไป ได้แต่มองแผ่นหลังของเวินซินถงด้วยความเศร้าใจ......ลั่วชิงยวนพักผ่อนในห้องหนึ่งวันถึ
แม้แต่นักทำนายก็มิสามารถทำนายเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ได้เมื่อจู่ ๆ ก็ถูกลั่วชิงยวนท้าทาย จั๋วฉ่างตงจึงทำอะไรมิถูกไปชั่วขณะ แรงกดดันหายไปหมด“เจ้ารอได้เลย!” จั๋วฉ่างตงจ้องมองนางอย่างดุดัน แล้วหันหลังเดินจากไปคนอื่น ๆ ก็เดินออกไปด้วยทุกคนต่างรู้สึกสับสน“ช่างแปลกประหลาด เหตุใดนางจึงรู้ทุกอย่าง? บนใต้หล้านี้คงไม่มีผู้ใดเก่งกาจปานนั้นกระมัง? มิต้องทำนายก็รู้แล้วน่ะหรือ?”“ใครจะรู้ ดูท่าทางอ่อนแอของนาง มิรู้ว่าสามวันหลังจะเป็นเช่นไร รอดูเรื่องสนุกกันดีกว่า”หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว ลั่วชิงยวนก็พยายามพยุงตัวเองเดินเข้าไปในเรือนเมื่อเข้าไปในเรือน ลั่วชิงยวนก็ทนมิไหว พลันทรุดตัวลงกับพื้นนางเป็นฝ่ายท้าทาย กำหนดวันประลองคืออีกสามวัน นางจึงมีเวลาพักสามวันหากให้ประลองตอนนี้ ร่างกายของนางคงทนมิไหวเมื่อนางพักผ่อนได้สักพักแล้ว ก็พยายามลุกขึ้นไปปิดประตูทันใดนั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ขวางนางไว้เมื่อเห็นผู้มาเยือน ลั่วชิงยวนก็ตกใจเล็กน้อยอวี๋โหรวถือขวดยามายื่นให้นางอวี๋โหรวเตี้ยกว่านาง ตัวเล็ก หน้าตาน่ารักอ่อนโยน“รับไปเถิด ข้าจะมิทำร้ายเจ้า”“ข้ารู้” ลั่วชิง
ลั่วชิงยวนมองทุกคนด้วยแววตาเย็นชา ถึงแม้ภายนอกจะดูอ่อนแอ แต่แววตากลับดุร้ายราวกับสัตว์ป่าทำให้ทุกคนใจกระตุกเริ่มรู้สึกหวาดกลัวจั๋วฉ่างตงจ้องมองนาง “เจ้าเก่งนักก็ฆ่าข้าสิ ข้ามิเชื่อหรอกว่าเจ้าจะกล้าฆ่าคนที่นี่!”“เจ้าอยากลองดูรึ?” ลั่วชิงยวนออกแรงบีบ บีบจนจั๋วฉ่างตงหายใจมิออก ดิ้นรนสุดกำลังอย่างสิ้นหวังตอนนี้ลั่วชิงยวนใช้พลังทั้งหมดที่มี ร่างกายอ่อนแอ แต่ยังพยายามฝืนไว้บุรุษที่สั่งให้ตีนางเอ่ยขึ้น “ลั่วชิงยวน อย่าคิดว่าเจ้าถูกเลือกเข้ามาเป็นกรณีพิเศษแล้วจะมีอภิสิทธิ์”“หากเจ้ากล้าทำร้ายนาง ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างไร้ที่ฝัง”ลั่วชิงยวนหันไปมองคนพูดแล้วยกยิ้มเย้ยหยัน “แน่นอนว่าข้ามีอภิสิทธิ์มากกว่าคนไร้ค่าเช่นเจ้า”รอยยิ้มและแววตาที่ดูถูกเหยียดหยามนั้น ทำให้เซี่ยหลิงรู้สึกกระทบอย่างแรง เขาจ้องมองลั่วชิงยวนด้วยความโกรธ“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?!”ลั่วชิงยวนมิกลัวการข่มขู่ ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม“อายุยี่สิบแปดแล้ว ยังเป็นแค่นักบวชชั้นผู้น้อย”“หากเจ้ามิใช่คนไร้ค่าแล้วคืออะไรเล่า?”สิ้นคำนั้น คนรอบข้างก็กลืนน้ำลายด้วยความประหม่าพูดเช่นนี้ได้หรือ?อายุเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสำนักนั
โฉวสือชีเป็นห่วง จึงรีบขึ้นหลังม้าไปหาสมุนไพรเมื่อตื่นขึ้นมา ลั่วชิงยวนอยู่บนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าเข้าวังหลวงบนรถม้ามีเพียงนางผู้เดียวหน้าอกยังคงเจ็บปวด นางพยายามพยุงตัวเองขึ้นนั่งแล้วเปิดม่านถามสารถี “ใครสั่ง?”“แม่ทัพเฉินชีขอรับ”เดิมทีลั่วชิงยวนอยากให้สารถีหยุดรถม้า แต่มินานก็เข้าวังหลวงแล้วจึงมิทันนางนั่งสมาธิปรับลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดจึงบรรเทาลงบ้างนางมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่สลบไปเหตุใดเฉินชีจึงส่งนางเข้าวังที่อยู่ของสำนักนักบวชก็อยู่ในวัง เพียงแต่ที่ตั้งค่อนข้างห่างไกลและพื้นที่กว้างขวาง ปกติแล้วคนในวังจะมิไปที่นั่นหลังจากที่สารถีส่งนางเข้าวังแล้ว นางก็ลงจากรถม้าแล้วเดินต่อไปอีกไกลร่างกายและจิตใจอ่อนล้า อยากจะพักผ่อนให้เพียงพอเมื่อผลักประตูเข้าไป แล้วเห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจประตูห้องเปิดกว้างข้าวของเครื่องใช้ของนางถูกโยนออกมากองระเกะระกะเต็มลานไปหมดหลังจากที่เลือกเรือนนี้ในวันนั้น นางก็ออกจากวังและมิได้มาหลายวัน และกลับกลายเป็นเช่นนี้ทันใดนั้น ก็มีจิตสังหารพุ่งมาจากด้านหลังลั่วชิงยวนรีบหันกลับไป เห็นตาข่ายขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาคลุมตัวนางไ
“เขามีค่าพอหรือ?”“เขามิคู่ควรได้รับความรักจากเจ้า!”“เขานึกว่าฉายามัจจุราชอำมหิตของข้าได้มาเปล่า ๆ หรือไร? แล้วเหตุใดข้าจึงต้องคืนเจ้าให้เขาด้วย?”“มาถึงจุดจบเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะเขาทำตัวเอง”เฉินชียิ้มอย่างผู้มีชัย มิเสียใจกับสิ่งที่ทำ ยังรู้สึกดีใจที่สังหารได้รวดเร็วมิเช่นนั้นหากลั่วชิงยวนมาขวางเสียก่อน คงมิได้สังหารเขาเป็นแน่“หุบปาก!” ลั่วชิงยวนรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง ความรู้สึกที่ซับซ้อนถาโถมจนทำให้นางรู้สึกอึดอัดลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ส่งศพเขากลับไป!”เฉินชียกยิ้มมุมปาก “ได้”ลั่วชิงยวนเสียใจมาก เสียใจที่มิได้บอกเฉินชีว่ามิให้เขาฆ่าฟู่เฉินหวนนางเองก็มินึกว่าฟู่เฉินหวนจะมาที่แคว้นหลีเพื่อตามหานางถึงแม้ว่าจะตัดสินใจมิหันหลังกลับไปแล้ว แต่นางก็มิเคยคิดว่าเขาจะตายเมื่อออกจากป่า ลั่วชิงยวนใช้มือยันต้นไม้ พลันกระอักเลือดออกมาคำโต“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่!” โฉวสือชีตกใจ รีบเข้าไปพยุงนางลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปากออก แล้วหันกลับไปมอง เห็นทหารแบกศพออกไปแต่ลั่วชิงยวนมิกล้ามองต่อแล้วหัวใจเจ็บปวด น้ำตาไหลอาบแก้มนางกำมือแน่น พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เฉินชี
โลหิตสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนชายกระโปรงของลั่วชิงยวนในพริบตาร่างไร้วิญญาณบนพื้นเจิ่งนองไปด้วยเลือด เนื้อหนังปะปนจนแยกมิออก อนาถเกินกว่าจะมองภาพตรงหน้าของลั่วชิงยวนเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน นางเจ็บแปลบที่อก ความโกรธแค้นเต็มอกทำให้นางพลันชักกระบี่ออกมาอย่างแรงแล้วชี้ไปที่เฉินชีด้วยความดุดันเฉินชีมองนางด้วยแววตาที่ซับซ้อน นัยน์ตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและความก้าวร้าว เขาหัวเราะออกมา“ไยเล่า? เจ้ายังคงปวดใจอีกรึ? มิใช่ว่าตัดใจแล้วรึ?”“มิใช่ว่าตัดขาดกับเขาแล้วหรือไร?”“เหตุใดจึงโกรธเช่นนี้? มิกล้ามองแม้แต่ศพของเขาเลยงั้นรึ?”ทันใดนั้น เฉินชีใช้มือคว้าใบมีดที่คมกริบเดินเข้าหานางโลหิตไหลลงตามข้อมือของเขาลั่วชิงยวนจ้องมองเขาด้วยแววตาดุดัน นางดึงกระบี่ออกมาแทงเข้าที่หน้าอกของเฉินชีอย่างแรงแล้วตะโกนด้วยความโกรธ “ข้าเกลียดเขา ข้าจะฆ่าเขาด้วยมือของข้าเอง! ใครใช้ให้เจ้ามายุ่ง!”เฉินชีตกใจ มองนางด้วยความประหลาดใจจากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองหรือ?”ทันใดนั้น เฉินชีก็คุกเข่าลงแต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “เรื่