ลั่วชิงยวนนอนหลับไปจนถึงบ่าย ตะวันโด่งฟ้าส่องแสงเจิดจ้า นางฝืนร่างกายที่เหนื่อยล้าให้ลุกขึ้นและตั้งใจจะออกไปนั่งอาบแดดแม่นมเติ้งนำอาหารและยาเข้ามาให้ “พระชายาเจ้าคะ ตื่นได้แล้ว กินอะไรสักหน่อยแล้วกินยา ยานี้เป็นโอสถบำรุงโลหิตที่ทางเรือนโอสถจ่ายมาให้เจ้าค่ะ”“โอสถบำรุงโลหิตงั้นรึ?” คนอย่างเขาก็มีจิตสำนึกเหมือนกันนะลั่วชิงยวนลุกนั่งและหยิบชามยาขึ้นมาดื่ม แต่หลังจากจิบไปอึกใหญ่ก็รู้สึกได้ว่า ยานั้นมีบางอย่างผิดปกติและรีบพ่นออกมานางนิ่วหน้าและวางชามยาลง อาการบวมและความเจ็บปวดของแผลบนแขนนางเกิดขึ้นมาทันที และเลือดก็ดูเหมือนจะเดือดพล่านซึมออกมาจากแผล“พระชายา เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?” แม่นมเติ้งตกใจดวงตาลั่วชิงยวนเย็นเยียบ นางปรายตามองไปที่ยาในชาม นี่ไม่ใช่ยาบำรุงเลยแม้แต่น้อย ตัวยาที่อยู่ในนี้มีแต่จะทำให้บาดแผลอาการเลวร้ายลงและเลือดไหลออกมาได้อีกโดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มแมลงเก้ากลิ่นซึ่งถือว่ารุนแรงมากเข้าไปด้วยหากว่านางกินน้ำแกงยาชามนี้เข้าไป ไม่เพียงแต่พลังชี่และเลือดของนางจะปั่นป่วน แต่บาดแผลของนางก็จะเปิดออกและเลือดจะไหลทะลักไม่หยุด ด้วยสภาพของร่างกายนางในตอนนี้หากไม่ตายก็คงจวนเจ
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นจ้องเล่นงานนาง ไม่ว่าสุดท้ายจือเฉาจะเป็นหรือตาย ตราบใดที่นางแตะต้องร่างกายของจือเฉาก็ต้องโดนพิษไปด้วยระหว่างทางไปเรือนโอสถโดยมือจือเฉาอยู่ในอ้อมแขน เลือดที่ร้อนลวกก็หลั่งออกมาจากรอยแผลปริแตกบนแขนของนาง เลือดทะลักออกมาทันใดจนอาบย้อมให้อาภรณ์เป็นสีแดงฉานนางไม่สนใจความเจ็บปวดที่แขน หัวใจของนางร้อนรนเพียงต้องการจะช่วยชีวิตจือเฉาเท่านั้น“พระชายา… บ่าวมีพิษ ปล่อยบ่าวไปเจ้าค่ะ…” จือเฉาอดกลั้นความเจ็บปวดเอ่ยออกมา พร้อมหลั่งน้ำตาอย่างเจ็บปวด“เด็กโง่ หากปล่อยเจ้าไปแล้วเจ้าจะเป็นเยี่ยงไร? ทั้งร่างเจ้าเต็มไปด้วยพิษหากปล่อยไว้ก็เป็นอันตราย แน่นอนว่าเจ้าต้องแก้แค้น” แววตาลั่วชิงยวนคมกริบพร้อมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นจือเฉายิ่งร่ำไห้หนัก นางไม่คิดว่าเรื่องจะกลับเป็นเช่นนี้และถึงกับลากพระชายาเข้ามาเกี่ยวด้วย……ภายในเรือนโอสถคนรับใช้หลายคนกำลังแทะเมล็ดแตงและพูดคุยกันอยู่ “พี่ซู แผนของเจ้านี่เฉลียวฉลาดเสียจริง โอสถนั่นเป็นพิษทั้งนั้นแล้วก็ไม่มีใครกล้าจะทดสอบ คราวแรกเราต้องเสียหลายร้อยตำลึงเงินเพื่อหากคนเป็นร้อยมาทดลองยา ข้าไม่คิดเลยว่า วันนี้จือเฉาจะมาทดสอบให้ เรื่องนี้
จังหวะที่นางพุ่งเข้ามาก็มีเงาทาบทับมาพอดีลั่วชิงยวนรับรู้ได้ดังนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นพร้อมถือชามยาไว้แน่นในมือเพื่อปกป้องยาถอนพิษที่อยู่ในชามนั้นเฉียงเวยพุ่งเข้าหาชามยาแต่นางก็ไม่คาดคิดว่าลั่วชิงยวนจะผลุนผลันลุกขึ้นเช่นนี้ตอนที่ลั่วชิงยวนลุกขึ้นนั้นเอง หัวก็กระแทกเข้ากับคางของเฉียงเวยเต็มรักเมื่อเทียบขนาดร่างกายของลั่วชิงยวนเมื่อชนเข้ากับเฉียงเวยแล้ว แน่นอนว่าคนที่ต้องกระเด็นไปก็คือเฉียงเวยเฉียงเวยล้มลงนั่งจ้ำเบ้ากับพื้น นางยกมือกุมปากไว้พร้อมทั้งมีเลือดหยดลงมาไม่หยุดจนเต็มไปทั้งฝ่ามือ ฟันของนางก็หลุดออกมาถึงสองซี่“ท่าน ท่าน” เฉียงเวยชี้ลั่วชิงยวนอย่างโกรธเคือง นางกัดลิ้นตนเองจนเลือดออก ตอนนี้ก็เจ็บปวดจนไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ลั่วชิงยวนปรายตามองเล็กน้อยก่อนที่จะย่อตัวลงนั่งป้อนยาจือเฉาต่อ นางรู้สึกปวดใจมากเมื่อเห็นจือเฉาร้องไห้อย่างทรมาน“จือเฉาเร็วเข้า เจ้าต้องทนเจ็บปวดแล้วกินโอสถให้หมด”มีอีกเงาหนึ่งทาบทับมา แปลว่ามีอีกผู้หนึ่งเดินเข้ามานางนั้นไม่กลัวที่จะต้องรับมือกับใครหน้าไหนทั้งนั้น แต่นางกลัวเพียงแต่จะทำยาแก้พิษที่ยังกินไม่หมดนี้หกไปเสียก่อนเท่านั้นการช่วยถอน
เป็นเพราะลั่วชิงยวนนั้นขี้ขลาดและไม่มีความมั่นใจในตัวเองทำให้ลั่วเยวี่ยอิงสามารถทำร้ายนางได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ายามนี้ลั่วเยวี่ยอิงมีฟู่เฉินหวนคอยคุ้มครองก็ยิ่งเหิมเกริม หากว่านางไม่ตอบโต้กลับแล้วใครจะมาออกหน้าเรียกร้องความยุติธรรมแทนนางกันเล่า?ลั่วเยวี่ยอิงนั่นมีแต่คนคอยประคบประหงมและโดดเด่นมาตั้งแต่เกิดและไม่เคยต้องหัวเสียขนาดนี้ นางไม่อยากจะเป็นเหมือนลั่วชิงยวนคนก่อนลั่วเยวี่ยอิงจ้องนางอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเดินน้ำตาคลอจากไปอย่างโกรธเกรี้ยวคับแค้น……เป็นดังคาดว่าไม่นานนัก ก็มีคนมาเชิญให้นางไปที่เรือนของท่านอ๋องเมื่อนางไปถึงที่ห้องตำรา ลั่วเยวี่ยอิงก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ท่าทางโศกเศร้าอย่างมากราวกับบุพการีตายเฉียงเวยนั้นคุกเข่าอยู่ที่พื้นและดูเป็นทุกข์“ลั่วชิงยวน ข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร?” ดวงตาฟู่เฉินหวนฉายแววโทสะเขาเตือนนางแล้วว่าไม่ให้รังแกลั่วเยวี่ยอิงอีกลั่วชิงยวนยังคงรู้สึกว่า ตนไม่ได้ทำอะไรผิด นางไม่ได้เป็นฝ่ายไปยั่วยุลั่วเยวี่ยอิงและไม่ได้ไปรังแกนาง แต่ว่าเป็นลั่วเยวี่ยอิงที่มาหาเรื่องนางถึงที่ แล้วเช่นนี้จะตำหนินางได้อย่างไร?แต่นางก็ไม่ได้อธิบายและไม่คิดว่าจะอ้าปากอธิ
”ท่าน… ร้อย…กลาง… องค์ชาย”จือเฉาอ่านอย่างตั้งใจ แต่คนรอบตัวที่ฟังอยู่ล้วนไม่มีใครฟังเข้าใจฟู่เฉินหวนรู้ได้ในทันทีว่าจือเฉาอ่านอักษรบนนี้ไม่ได้หมดทุกตัวลั่วเยวี่ยอิงยังไม่เข้าใจ นางเพียงคิดว่าเฉียงเวยลงมือหนักนัก ทำให้จือเฉาพูดได้ไม่เป็นภาษาเยี่ยงนี้แถมฟังแทบไม่รู้เรื่องฟู่เฉินหวนนิ่วหน้าและถามเสียงเย็น “จือเฉา ข้าถามเจ้าว่าเจ้าลงนามในหนังสือนี้เพื่อเหตุใด?”จือเฉาตอบอย่างตรงไปตรงมา “กราบทูลท่านอ๋อง บนนี้เขียนว่าการทดลองยานั้นมีความเสี่ยง บ่าวต้องลงนามก่อนถึงจะทำการทดลองได้ เขาบอกว่านี่เป็นกฎเพคะ”สีหน้าฟู่เฉินหวนบิดเบี้ยวดูไม่ได้ กฎเช่นนั้นหรือ? ใครเป็นคนตั้งกฎนี้ขี้นมากัน?“ผู้ใดบอกให้เจ้าลงนามในหนังสือนี้?”“กราบทูลท่านอ๋อง เป็นแม่นางสวีเซียงเซียงจากตำเรือนโอสถเพคะ” จือเฉาตอบอย่างสงบเสงี่ยม “พระชายาทรงบาดเจ็บ บ่าวเลยไปขอโอสถบำรุงโลหิตมาให้ แต่แม่นางสวีเซียงเซียงบอกว่า บ่าวต้องทดสอบยาก่อน ไม่เช่นนั้นนางจะไม่ให้ยาพิเศษกับบ่าวเพคะ”เมื่อได้ยินเช้นนี้ฟู่เฉินหวนก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นตอนนั้นเองลั่วเยวี่ยอิงถึงได้เข้าใจว่า จือเฉาอ่านหนังสือไม่ออก แล้วเช่นนี้การให้นางลงนามใ
ซูโหยวรีบเข้ามาช่วยฟู่เฉินหวน “ท่านอ๋อง เป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ?”ฟู่เฉินหวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในทรวงร้อนรุ่มดั่งไฟสุม หัวก็ปวดแทบระเบิด ความเจ็บปวดนั้นมันมากเกินทนไหว เหมือนว่าหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยง“รีบไปตามท่านหมอกู้มาเร็ว”เซียวชูรีบไปตามท่านหมอกู้มา ท่านหมอกู้ตรวจชีพจรดูลิ้นและดาของฟู่เฉินหวน เขาลอบตกใจ ปกติแล้วสุขภาพของฟู่เฉินหวนนั้นแข็งแรงมาโดยตลอด แต่เหตุใดถึงมีคนฉวยโอกาสจากเขาได้ง่ายนัก?“ท่านหมอกู้ ท่านอ๋องเป็นอะไรหรือขอรับ?” ซูโหยวถาม“ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก เพียงท่านอ๋องฉุนเฉียวมากไป และอ่อนล้าจากหลายเรื่อง น่าจะต้องกินยาสักเดือนก็จะฟื้นกำลังมาได้แล้ว” หมอกู้ตอบ“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับท่านหมอกู้เพื่อรับยามา” ซูโหยวเดินไปส่งท่านหมอกู้เมื่อเขาหันหลังไป ก็มีรอยยิ้มแฝงนัยปรากฏบนริมฝีปากของหมอกู้ครึ่งชั่วยามต่อมาซูโหยวก็กลับมาพร้อมยา หลังจากที่ฟู่เฉินหวนกินยาเข้าไป อาการปวดหัวของเขาก็ทุเลาลงอย่างมาก“ท่านอ๋อง ช่วงนี้ท่านอ๋องอย่าเพิ่งกังวลกับเรื่องในตำหนักอ๋องดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ แม่บ้านเติ้งนั้นรับผิดชอบเรื่องของเรือนชั้นใน กระหม่อมจะดูแลเรื่องอื่น ๆ เอง สุขภาพของท่านอ๋องสำคัญที่ส
พิษในร่างจือเฉาโดนถอนออกไปและสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ส่วนสวีเซียงเซียงและคนอื่น ๆ จากเรือนโอสถก็โดนขับไล่ออกไป ชุนเยวี่ยซึ่งทำงานในเรือนโอสถได้รับการสนับสนุนจากแม่นมเติ้งเพื่อเป็นการขอบคุณเธอสำหรับคำให้การของนางแม่นมเติ้งนำยาตามใบเทียบยาของลั่วชิงยวนกลับมาให้ และลั่วชิงยวนเองก็นั่งบดยาอยู่“พระชายา บ่าวคิดว่า สวีเซียงเซียงคงมิกล้าคิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเองเป็นแน่ อย่างน้อยก็ภายใต้การดูแลของบ่าว นางมิกล้าประมาทเยี่ยงนี้” แม่นมเติ้งยังคงคิดไม่ตกลั่วชิงยวนยิ้ม “แน่นอนว่านางมิกล้า ข้าถามจือเฉาโดยละเอียดแล้ว นางบอกว่ามีเฉียงเวยเป็นคนคอยชี้นำอยู่”“เช่นนั้นเหตุใดสวีเซียงเซียงจึงไม่เอ่ยถึงเรื่องเฉียงเวยเล่าเจ้าคะ?” แม่นมเติ้งตกใจ“เรื่องนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยาก ต้องมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังเฉียงเวยซึ่งมอบตำลึงเงินให้สวีเซียงเซียงมากพอที่จะให้นางหุบปากสนิท หรือสวีเซียงเซียงก็อาจโดนผู้นั้นข่มขู่จึงไม่กล้าสารภาพออกมา” นางเดาว่าเรื่องทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวพันกับลั่วเยวี่ยอิงมีเพียงลั่วเยวี่ยอิงเท่านั้นที่จ้องเล่นงานและอยากเห็นนางตาย“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นพระชายาจะยอมปล่อยวางเรื่องในคราวน
เมื่อลั่วเยวี่ยอิงตามมาทัน นางก็เห็นยาที่กลิ้งออกมาจากกล่อง นี่มันยาที่ท่านหมอกู้มอบให้นางเพื่อรักษาแผลมิใช่รึ? ยาพวกนี้ทำจากเครื่องยาสมุนไพรที่ล้ำค่าทั้งนั้น นางยังรู้มาอีกว่า ยาพวกนี้จะช่วยให้บาดแผลบนใบหน้าของนางไม่เป็นรอยแผลเป็น“ลั่วชิงยวน นี่เจ้ามาขโมยยาของข้าสินะ” ลั่วเยวี่ยอิงเข้าใจได้ในทันที นางจะต้องมาขโมยยานี้เพื่อเอาไปรักษานางบ่าวไร้ค่าจือเฉานั่นเป็นแน่สารเลวนัก ข้าวของของนาง ทาสไร้ค่าคู่ควรมาแตะต้องหรือ?เมื่อโดนจับได้ ลั่วชิงยวนก็ยิ่งตื่นตระหนก นางรีบคว้ากล่องยาแล้ววิ่งหนีต่อลั่วเยวี่ยอิงกัดฟันกรอดแล้วรีบไล่ตาม“หยุดนะ”ลั่วชิงยวนนั้นตื่นตระหนกเหมือนโจรที่โดนไล่ตามจับ นางวิ่งสุดฝีเท้าจนหอบหายใจแทบไม่ทัน ลั่วเยวี่ยอิงเองก็ตามนางมาไม่ลดละจนมาถึงเรือนเล็กลั่วชิงยวนเกือบจะล้มกลิ้งไปแล้ว นางโผเข้าหาจือเฉาแล้วรีบเปิดกล่องยา ละล่ำละลักพูดว่า “เร็วเข้า จือเฉารีบกินเร็ว”จือเฉาหยิบยาขึ้นมาพร้อมอ้าปากเตรียมกลืนลงไปลั่วเยวี่ยอิงรุดตามมาและไม่รอช้ายกมือขึ้นฟาดอย่างแรงจนเม็ดยากระเด็นร่วงจากมือจือเฉาเม็ดยานั้นกลิ้งไปตามแผ่นหินปูทางเดิน ลั่วชิงยวนรีบพุ่งตัวตามไปเก็บ มีหรือ
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา
ฟู่จิ่งหานมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พระราชโองการนั้นทำให้ลั่วชิงยวนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ จึงพูดว่า “มิเป็นอะไร การประลองครั้งนี้ก็มิได้ห้ามมิให้แคว้นเพื่อนเรือนเคียงเข้าร่วม”“พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการสามารถเอาชนะองค์ชายเผ่านอกด่าน แล้วยกให้เป็นน้องชายได้ นับว่าความสามารถเป็นที่ประจักษ์แก่ข้าแล้ว!”“พระชายามีบาดแผล อนุญาตให้พระชายาและองค์ชายหล่างมู่ออกไปก่อนได้”ลั่วชิงยวนก้มหน้าลงเล็กน้อย “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”แล้วหล่างมู่ก็พยุงลั่วชิงยวนออกไปเนื่องจากหอฝูเสวี่ยอยู่มิไกลและสามารถมองเห็นการประลองจากชั้นสามได้ ลั่วชิงยวนจึงพาหล่างมู่ไปพักผ่อนที่หอฝูเสวี่ยก่อนซิ่งอวี่ต้มยามาให้นางกินลั่วชิงยวนนั่งข้างหน้าต่าง มองดูการประลองที่ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อเห็นฟู่อวิ๋นโจวเอาชนะทุกคนได้ นางก็รู้ว่าเขากำลังจะเข้าสู่ราชสำนักแล้ว“พี่หญิง ยังเจ็บบาดแผลอยู่หรือไม่ขอรับ?” หล่างมู่ยกชามาให้หนึ่งถ้วยลั่วชิงยวนส่ายหน้า “มิเป็นอะไรแล้ว บาดแผลมิสาหัส พักสักสองสามวันก็หาย”“หล่างมู่ เจ้ามาเมืองหลวงได้อย่างไร? ในเผ่านอกด่านเกิดเรื่องใหญ่อันใดหรือไม่? รีบร้อนมาเช่นนี้เลยหรือ?
ฟู่อวิ๋นโจว!หล่างมู่กำหมัดแน่น แล้วกระโจนเข้าไปอีกครั้งผู้คนมากมายต่างเป็นห่วงฟู่อวิ๋นโจว หล่างมู่เป็นคนเผ่านอกด่าน ฝีมือของเขาเป็นที่ประจักษ์ของทุกคนแล้วร่างกายที่อ่อนแอของฟู่อวิ๋นโจวจะรับมือได้อย่างไรแต่ลั่วชิงยวนรู้ดีว่าเวลาที่ฟู่อวิ๋นโจวปรากฏตัวนั้นเหมาะสม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะแสดงความสามารถฟู่อวิ๋นโจวรับหมัดของหล่างมู่ได้อย่างแน่นอนจากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดหลายสิบกระบวนท่าทำให้ผู้คนในที่นั้นต่างตกตะลึง“นี่คือองค์ชายห้าหรือ?”“ฝีมือของเขาแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”“ใช่แล้ว มิใช่ว่าเขาป่วยอยู่หรอกหรือ?”ขณะที่ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ฟู่อวิ๋นโจวก็พบจุดอ่อนของหล่างมู่แล้ว จึงเหวี่ยงหล่างมู่ลงไปกับพื้น แล้วชกเข้าที่ใบหน้าของหล่างมู่ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าไปห้าม “หยุดนะ!”ฟู่อวิ๋นโจวสะดุ้งแล้วลดมือลงหล่างมู่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะตอบโต้ แต่ถูกลั่วชิงยวนดึงไว้“หล่างมู่แพ้แล้ว” ลั่วชิงยวนประกาศผลทันทีสายตาของนางมองฟู่อวิ๋นโจวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ขอแสดงความยินดีกับองค์ชายห้าเพคะ”เขายังคงมิได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและเรียบง่าย แต่กลั
ฟู่เฉินหวนใจตึงเครียดจนฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อลั่วชิงยวนพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เหยียนผิงเซียวชกเข้าที่ท้องของลั่วชิงยวนอีกครั้ง เลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากปากนางเหยียนผิงเซียวจิกผมของนางแล้วกระซิบข้างหูอย่างร้ายกาจว่า “เจ้าเก่งนักมิใช่หรือ! ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องลาออกจากตำแหน่งกลับไปยังเมืองฉิน เจ้าเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตำหนักอ๋องนี่!”“เจ้าลองเดาดูสิว่าฟู่เฉินหวนจะช่วยเจ้าหรือไม่?”“แต่มิสำคัญแล้ว เพราะข้าต้องการเพียงให้เจ้าตายเท่านั้น!”เหยียนผิงเซียวใช้ร่างของลั่วชิงยวนบังสายตาของผู้คนส่วนมืออีกข้างที่กำหมัดแน่นมีแผ่นเหล็กแหลมคมติดอยู่ แล้วกระแทกลงไปที่ท้องของลั่วชิงยวนอย่างแรงลั่วชิงยวนเห็นอาวุธลับนั้นแล้วก็ตึงเครียดมากฟู่เฉินหวนแทบขาดใจ ความรู้สึกมิสบายใจอย่างรุนแรงถาโถมเข้ามาฟู่อวิ๋นโจวผู้นั่งอยู่มุมห้องใต้หลังคาก็กำมือแน่นด้วยความตึงเครียดเช่นกันแม้ว่าฝีมือของลั่วชิงยวนจะสู้เหยียนผิงเซียวมิได้ แต่ก็มิควรจะไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เช่นนี้จะลงมือช่วยนางตอนนี้เลยดีหรือไม่!ฟู่อวิ๋นโจวลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วในวินาทีนั้นเองเงาร่
ในมิช้าการประลองก็เริ่มขึ้นโชคดีที่ลั่วเยวี่ยอิงมิได้ก่อเรื่องวุ่นวายอีก นางเฝ้าดูการประลองอย่างสงบลั่วชิงยวนใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ ดาบและกระบี่นั้นไร้ตา ดังนั้นการประลองครั้งนี้จึงห้ามใช้ดาบและอาวุธลับแต่เมื่อปรมาจารย์ต่อสู้กันก็อาจจะควบคุมมือมิทัน เพื่อให้ทุกคนได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ การประลองครั้งนี้ ความเป็นความตายจึงเป็นเรื่องของชะตาฟ้าลิขิตชัยชนะครั้งสุดท้ายมิใช่ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดสิ่งสำคัญคือการแสดงผลงานในระหว่างการประลอง ฟู่เฉินหวนจะคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นบางคนสำหรับฟู่จิ่งหาน การประลองครั้งนี้มิใช่เพียงการคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการชมการประลองที่น่าตื่นเต้นด้วย ดังนั้นจึงมีความอิสระสูงทุกคนสามารถขึ้นไปท้าทายได้ หนึ่งรอบมีผู้แข่งขันสิบคน ผู้ชนะจะได้พักแล้วเข้าสู่รอบที่สองดังนั้นผู้ชนะในแต่ละรอบจะสามารถท้าทายคู่ต่อสู้ที่ตนคิดว่าแข็งแกร่งกว่าได้อย่างอิสระการประลองรอบแรกจบลงอย่างรวดเร็ว ฟู่เฉินหวนกับฟู่จิ่งหานวิเคราะห์ผู้ที่เหมาะสมในรอบนี้อย่างจริงจังฟู่จิ่งหานพยักหน้าให้ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างจดบันทึกชื่อทุกอย่าง
“พระชายา เหตุใดมิลงไปหามาให้ข้าเล่า? หากขุดพบรากบัวได้สองหัว ข้าจะเมตตาตกรางวัลให้อย่างงาม!”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและหยิ่งผยองนั้น มิใช่ปฏิบัติต่อลั่วชิงยวนดุจพระชายา หากแต่ปฏิบัติเสมือนทาสบริวารเหล่าผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึงพรึงเพริดตำแหน่งของลั่วชิงยวนในตำหนักอ๋องนั้นต่ำต้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?ฟู่เฉินหวนอดรนทนมิไหวอีกต่อไป จึงพูดเสียงเย็นเยียบว่า “ฤดูกาลนี้จะมีรากบัวอยู่ได้อย่างไร มิต้องลำบากเช่นนั้นเลย”ลั่วเยวี่ยอิงกลับคว้าแขนฟู่เฉินหวนพลางทำท่าทางออดอ้อน“ไม่เพคะ ท่านอ๋อง เผื่อว่าจะมีก็ได้! โปรดให้พระชายาลงไปค้นหาดูเถิดเพคะ!”นางกล่าวจบก็ถอดกำไลหยกที่ข้อมือ แล้วขว้างลงไปในบึงจากนั้นเชิดหน้าพูดกับลั่วชิงยวนว่า “ไปสิ กำไลหยกวงนี้เป็นรางวัลของเจ้า!”ท่าทางเช่นนี้ประหนึ่งว่ากำลังสั่งการสุนัขตัวหนึ่งฟู่เฉินหวนกำมือแน่น รู้สึกปวดร้าวที่ศีรษะอย่างยิ่งลั่วชิงยวนเห็นดังนั้นก็กังวลเพราะอาการของฟู่เฉินหวน นัยน์ตานางฉายแววเย็นชาขณะมองหน้าลั่วเยวี่ยอิง แล้วหันหลังกระโดดลงไปในสระน้ำเมื่อเสียงน้ำกระเพื่อมดังขึ้น เสียงฮือฮาต่างก็ดังมาจากทั่วบริเวณ“นางกระโดดลงไปจริง ๆ
“องค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งว่าการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ต้องการให้ท่านอ๋องคัดเลือกผู้มีความสามารถ จึงอนุญาตให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปชมการประลองได้พ่ะย่ะค่ะ!”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วฟู่เฉินหวนรับพระราชโองการมาดู แล้วพบว่าเป็นพระราชโองการจริงจิ่นชูมองแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปด้วย เหตุใดจึงมิเห็นพระชายารองหรือเพคะ?”ยามนี้ลั่วเยวี่ยอิงรู้ข่าวการประลองยุทธ์แล้ว นางส่งเสียงโวยวายอยากไปด้วยอยู่หน้าประตู “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องเพคะ! พาหม่อมฉันไปด้วยเถิดเพคะ!”จิ่นชูได้ยินเสียงนี้แล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านอ๋องอย่าลืมพระชายารองนะเพคะ”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “การประลองยุทธ์มิเกี่ยวกับนาง นางมิจำเป็นต้องไปก็ได้”จิ่นชูถามด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นท่านอ๋องจะขัดต่อพระราชโองการหรือเพคะ?”คำพูดนี้ทำให้ฟู่เฉินหวนจำต้องพาลั่วเยวี่ยอิงไปด้วยเพราะสุดท้ายแล้วนั่นก็คือพระราชโองการมหาราชาจารย์เหยียนเพิ่งลาออก ตระกูลเหยียนกำลังตกต่ำ หากเขาขัดพระราชโองการในเวลานี้ก็จะดูเหมือนอวดดี มิเคารพองค์จักรพรรดิฟู่เฉินหวนสบตากับลั่วชิงยวน ทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าครั้
ฟู่เฉินหวนตกใจเมื่อได้ฟังถ้อยคำของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนอธิบาย “หม่อมฉันได้คำนวณดูแล้ว เหตุการณ์วุ่นวายในแคว้นเทียนเชวียกำลังจะอุบัติขึ้น เริ่มต้นจากทางทิศใต้เพคะ”“และเมืองฉินก็ตั้งอยู่ทางทิศใต้พอดี!”“ตระกูลเหยียนรุ่งเรืองมาจากเมืองฉิน มีอิทธิพลสูงส่งยิ่งนัก การที่มหาราชาจารย์เหยียนลาออกจากตำแหน่งแล้วกลับไปยังเมืองฉินอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เกรงว่าจะมีอำนาจมืดใหญ่หลวงซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเพคะ”เมื่อฟู่เฉินหวนก็ได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม“เช่นนั้นก็แสดงว่าตาแก่ผู้นี้จะเริ่มแผนการแล้วสินะ”กล่าวจบ ฟู่เฉินหวนก็คว้ามือของลั่วชิงยวนไว้ “ชิงยวน ขอบใจเจ้ามาก”ลั่วชิงยวนถึงกับตะลึงงันไป “ขอบใจหม่อมฉันเรื่องอะไรเพคะ?”“ขอบใจเจ้าที่บอกเรื่องสำคัญเช่นนี้แก่ข้า”ลั่วชิงยวนถามด้วยความสงสัย “แล้วท่านจะทำอย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นชา “เมื่อเขาลาออกจากตำแหน่งแล้วออกจากเมืองหลวง เช่นนั้นก็อย่าให้เขากลับมาได้อีกเลย!”ลั่วชิงยวนก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้มีเพียงมหาราชาจารย์เหยียนสิ้นชีพลงเท่านั้น ทุกอย่างจึงจะสงบลงได้“หม่อมฉันจะ
ฟู่เฉินหวนเก็บขนมกุ้ยฮวาไปด้วยความผิดหวัง แล้วพูดปลอบโยน “มิเป็นอะไร รอชิมฝีมือหัวหน้าพ่อครัวเถิด”ดูเหมือนจะมิถูกใจ ถึงแม้เขาจะเรียนรู้จากหัวหน้าพ่อครัว แต่รสชาติก็ยังแตกต่างออกไป ดูเหมือนต้องฝึกฝนให้มากขึ้นลั่วชิงยวนเห็นความผิดหวังในสายตาของเขา จึงยกยิ้มหวานแล้วพูดว่า “หวานมาก! อร่อยมากเพคะ!”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เย้ายวนใจ ใจชายหนุ่มก็รู้สึกหวั่นไหว จึงอดมิได้ที่จะประคองหน้าลั่วชิงยวนแล้วจุมพิตถึงแม้จะรู้ว่านางอาจจะปลอบใจเขา แต่เพียงเห็นรอยยิ้มของนางเขาก็สุขใจมากแล้วหัวหน้าพ่อครัวมองไปทางอื่น ทำเป็นมิเห็นในมิช้า อาหารและขนมก็ถูกยกมาอย่างต่อเนื่องทั้งสองกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขจนดึกดื่นเมื่อออกจากหอหมื่นสุข ลั่วชิงยวนอิ่มจนแทบจะเดินมิไหวฟู่เฉินหวนจับมือลั่วชิงยวนเดินไปข้างหน้า “เดินเล่นสักหน่อย แล้วเดี๋ยวข้าค่อยส่งเจ้ากลับ”ลั่วชิงยวนเรอเบา ๆ “ท่านตั้งใจจะทำให้หม่อมฉันอ้วนขึ้นหรือเไร หากหม่อมฉันอ้วนเหมือนเดิม ท่านก็จะดีใจใช่หรือไม่เพคะ?”ฟู่เฉินหวนอุ้มนางขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าฉลาดมาก”“ท่าน!” ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นฟู่เฉินหวนจับมือน